บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1147 ผิดปกติ
อ๋องฉีและตี๋เว่ยหมิงมาถึงสถานที่เก็บศพ ผู้เฒ่าที่เฝ้าสถานที่เก็บศพไม่รู้จักอ๋องฉี และไม่รู้จักตี๋เว่ยหมิงด้วย แต่เห็นทั้งสองสวมเสื้อผ้าที่หรูหราและยังพาคนติดตามเข้ามาด้วย ไม่กล้าเมินเฉย จุดธูปที่มุมประตูก่อน แล้วจึงพาทั้งสองคนเข้าไป
ศพของตี๋จงเหลียงวางอยู่ด้านใน เพราะว่าที่ทำการปกครองได้ชี้แจงไว้โดยเฉพาะแล้ว ดังนั้น ด้านใต้เตียงไม้ก็จุดธูปเซ่นไหว้ไม่เคยขาด ทั้งยังโปรยเงินเบิกทางไว้เล็กน้อย เงินเบิกทางเหล่านี้ถูกเหยียบย่ำจนขาดเละเทะ ติดเข้าไปในดินเหนียวแล้ว ดูแล้วค่อนข้างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
แสงไฟในสถานที่เก็บศพมืดสลัว แม้ว่าจะจุดตะเกียงน้ำมัน ก็ส่องได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ผู้เฒ่าเปิดผ้าห่มขึ้น ใบหน้าของตี๋จงเหลียงก็โรยด้วยปูนขาว อันที่จริงก็มองได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก “นายท่าน ท่านแยกดูสักหน่อย ว่ามีผิดหรือไม่ขอรับ?”
ตี๋เว่ยหมิงยืนอยู่ด้านหน้าของศพ มองจากบนลงล่างแวบหนึ่ง จึงพยักหน้า “อืม ถูกแล้ว”
ผู้เฒ่าตะลึงแล้ว “ท่านไม่ดูให้ละเอียดสักหน่อยหรือขอรับ?”
ตี๋เว่ยหมิงหมุนตัว “ไม่จำเป็นต้องดู คนผมหงอกส่งคนผมดำ เป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่งในโลก จะทนมองดูอย่างละเอียดได้อย่างไร?”
น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเจ็บปวด แต่บนใบหน้ากลับไม่ได้อะไรเปลี่ยนแปลง ทนซ่อนไว้ถึงที่สุด
ผู้เฒ่าจึงกล่าว “เช่นนั้นก็เอาเถอะขอรับ หากว่าแยกแยะแล้วว่าไม่ผิด เช่นนั้นข้าน้อยก็จะบรรจุโลงให้เขาก่อน โลงศพส่งมาหรือยังขอรับ?”
ตี๋เว่ยหมิงกล่าวอย่างเฉยเมย “ไม่จำเป็นแล้ว ก็ใช้ผ้าห่มนี้ห่อ จะมีคนยกออกไป”
อ๋องฉีรู้สึกเหนือความคาดหมาย “ท่านไม่ได้เตรียมโลงศพหรือ? ในเมื่อต้องการรับกลับไปประกอบพิธีฝังศพ ข้าคิดว่าจะบรรจุโลงที่นี่ก่อน ไม่ตอกโลงศพ กลับไปค่อยทำการตกแต่ง…..”
อ๋องฉียังพูดไม่จบ ตี๋เว่ยหมิงก็กล่าวอย่างเย็นชา “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องลำบาก ก็ไปโดยม้วนไว้เช่นนี้ก็ได้ เขาลอบสังหารรัชทายาท เป็นความผิดใหญ่หลวง มีผ้าห่มห่อศพไว้ ก็เป็นบุญของเขาแล้ว”
ผู้เฒ่าคนนั้นได้ยินอ๋องฉีเรียกตัวเองว่าท่านอ๋อง จึงได้รู้ฐานะของเขา แต่ว่า เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามาแยกแยะโดยไม่ได้นำโลงศพมาก็ห่อไปเช่นนี้ อีกทั้งเขาก็แต่งตัวดูมีฐานะสูงส่งเพียงนี้อีก
ผู้เฒ่าไม่กล้าถาม เพียงแค่เดินเข้าไปม้วนผ้าห่มให้ดี ตี๋เว่ยหมิงสั่งให้คนเข้ามา กล่าวว่า “นำกลับไปเถอะ”
คนสองคนเข้าไปหามศพของตี๋จงเหลียง แม้จะบอกว่าโรยปูนขาวแล้ว อีกทั้งม้วนด้วยผ้าห่มแล้ว แต่สุดท้ายก่อนที่จะจัดการศพก็เริ่มเน่าแล้ว ขณะเคลื่อนย้ายจึงส่งกลิ่นเหม็นออกมา ฉุนจนอ๋องฉีคลื่นไส้เล็กน้อยแล้ว
ออกจากสถานที่เก็บศพ ผู้เฒ่าก็เฝ้าอยู่ด้านนอกด้วยความกังวล รอจนกระทั่งก่อนหน้าที่ตี๋เว่ยหมิงจะขึ้นม้า เขาโค้งตัวลงแล้วเข้าไป ต้องการเอาธูปในมือกำหนึ่งยื่นให้ตี๋เว่ยหมิง แต่ตี๋เว่ยหมิงกลับไม่ได้มองผู้เฒ่าคนนี้แม้แต่น้อย เพียงแค่ตำหนิคำหนึ่งว่าถอยไปแล้วควบม้าจากไปทันที โดยไม่ได้บอกอ๋องฉีสักคำ
ผู้เฒ่ามึนงงครู่หนึ่ง หันกลับไปมองดูอ๋องฉี อ๋องฉีก็ยังรู้สึกแปลกใจ จึงเอาเศษเงินก้อนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าในแขนเสื้อยื่นให้ผู้เฒ่า “รับไว้!”
ผู้เฒ่าเห็นเศษเงิน ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทิ้งธูป “ขอบคุณท่านอ๋องมากๆ ขอบคุณท่านอ๋องมากๆขอรับ!”
ผู้คนทั่วไปมาดูศพ ล้วนให้แค่ห้าสิบเหวิน นี่ออกมือก็เป็นเงิน อย่างไรก็เป็นท่านอ๋อง ใจกว้างน่ะ
อ๋องฉีมองดูตี๋เว่ยหมิงและรถม้าลากศพด้านหน้า อดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ ตี๋จงเหลียงผู้นี้นับว่าเป็นคนมีความกตัญญู คิดไม่ถึงว่าจุดจบจะอนาถเพียงนี้ ตลอดทางที่กลับไปนี้ แม้แต่โลงศพก็ไม่มี อีกทั้งฟังคำพูดของตี๋เว่ยหมิง ฝังศพก็คงไม่ให้โลงศพแล้ว
เขาควบม้ากลับกรมการพระนคร หยู่เหวินเห้ายังคงเปิดดูข้อมูลอยู่ในที่ทำการปกครอง อ๋องฉีกลับไปก็นั่งลงอย่างเหม่อลอย หยู่เหวินเห้าเอ่ยถาม “ทำไมยังเหม่อลอยอีก? รับกลับไปแล้วไม่ใช่หรือ? เจ้ายังจะกลุ้มใจเพราะเรื่องนี้อีกหรือ?”
อ๋องฉีกล่าว “รับก็รับกลับไปแล้ว แต่หดหู่มาก แม้แต่โลงศพก็ไม่ให้เขา”
หยู่เหวินเห้าวางข้อมูลลง มีความแปลกใจเล็กน้อย “ตี๋เว่ยหมิงใจจืดใจดำเพียงนี้เชียว?”
อ๋องฉีกล่าว “ข้าดูแล้วก็ไม่ได้ใจจืดใจดำ เขาสะกดความเศร้าเสียใจไว้ตลอดทาง น่าจะกลัวว่าจะถูกคนตำหนิ ยังไงซะตี๋จงเหลียงก็เคยลอบสังหารท่าน ตอนนี้ตระกูลตี๋ของพวกเขารับการตำหนิจากคนภายนอกไม่ได้สักคำแล้ว ดังนั้นจึงใช้ผ้าห่มม้วนแล้วจากไป ตี๋เว่ยหมิงก็จิตใจหดหู่เป็นอย่างมาก ขณะที่จากไปแม้แต่ธูปนำทางก็ไม่เอา และไม่ได้ให้อั่งเปากับผู้เฒ่าที่สถานที่เก็บศพ ยังเป็นข้าที่ให้เศษเงินไปอีก”
หยู่เหวินเห้านั่งลง “แม้แต่ธูปนำทางเขาก็ไม่ได้หยิบ?”
“จะไม่ใช่ได้ยังไงล่ะพ่ะย่ะค่ะ? จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็จากไปเช่นนี้แล้ว” อ๋องฉีกล่าว
ลูกตาดำที่งดงามของหยู่เหวินเห้าหรี่ลง หากบอกว่าตี๋เว่ยหมิงเป็นคนอายุน้อย ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์นี้ก็สามารถเข้าใจได้ แต่มีเรื่องทางโลกอะไรที่เขาไม่เคยเผชิญมาก่อนอีก? จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคนที่ตายอย่างอนาถภายนอกนั้นหากว่าต้องการรับกลับบ้าน จะต้องถือธูปนำทางตลอดทาง? นั่นคือลูกชายแท้ๆของเขา เขาคงไม่ถึงขั้นไม่สนใจขนาดนี้หรอก?
“ท่านพี่ห้า คิดอะไรน่ะพ่ะย่ะค่ะ?” อ๋องฉีเห็นเขาใจลอยกะทันหัน จึงมองดูเขาแล้วเอ่ยถาม
แต่หยู่เหวินเห้าถามเขากลับ “นอกจากนี้แล้ว เจ้ายังเห็นตี๋เว่ยหมิงมีอะไรผิดปกติอีกบ้าง?”
“ผิดปกติ?” อ๋องฉีคิดแล้วคิดอีก “นอกจากแก่ไปเล็กน้อย เดินอย่างทุลักทุเล ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะพ่ะย่ะค่ะ ยังไม่ใช่เย่อหยิ่งอวดดีเหมือนแต่ก่อนอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ? ถึงตอนนี้แล้ว ยังจะวางมาดเป็นพ่อตาฮ่องเต้อีกน่ะ”
“เจ้าได้กลิ่นยาบนตัวของเขาบ้างหรือไม่?” ทันใดนั้นหยู่เหวินเห้าก็นึกถึงตอนที่พบหน้ากับเขาที่ประตูใหญ่ขึ้นมา คล้ายกับว่าจะไม่เคยได้กลิ่นยาสมุนไพรบนตัวของเขา
อ๋องฉีส่ายหน้า “ไม่ได้สังเกต แต่น่าจะไม่มี จมูกของข้าว่องไวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะต่อกลิ่นของยาสมุนไพร ข้าสังเกตไม่ได้ ก็น่าจะไม่มีแล้ว……ถูกแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาป่วยรักษาสุขภาพอยู่ในบ้านพักหรือ? ทำไมไม่ต้องกินยา?”
หยู่เหวินเห้าคิดแล้วคิดอีก “ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ที่ไหน?”
“ถนนว่านจ้างหมายเลขห้าสิบหก นั่นคืออสังหาริมทรัพย์ของตระกูลตี๋ ตอนนั้นไม่ได้ยึดไป เพราะคำนวณอย่างเคร่งครัด นั่นคือสินสมรสติดตัวตอนแต่งงานของฮูหยินตี๋พ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องฉีเห็นหยู่เหวินเห้าถามมาตลอด จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “ตี๋เว่ยหมิงมีอะไรผิดปกติหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้ากล่าว “เจ้าคิดว่าไงล่ะ? เขามีอะไรแตกต่างกับเมื่อก่อน?”
อ๋องฉีคิดแล้วคิดอีก “ที่ไม่เหมือนกันนี้ก็มี ยังไงซะตระกูลตี๋ผ่านพ้นภัยคราวนี้ได้ เขาไม่ได้กลับมายิ่งใหญ่เหมือนอดีต จะต้องล้มเหลวแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้เป็นแน่ คนนี่……ก็แก่ไปมาก สิ่งนี้สามารถเข้าใจได้ คนที่ป่วยอยู่จะไม่แก่ชราได้ที่ไหนกัน?”
“นอกจากรูปลักษณ์ภายนอก อย่างอื่นเจ้ารู้สึกว่าผิดปกติบ้างหรือไม่?” หยู่เหวินเห้าถามอีก
อ๋องฉีนึกถึงการกระทำทุกอย่างของตี๋เว่ยหมิง ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความแตกต่างมากนัก หากจะเทียบปัจจุบันนี้กับเมื่อก่อนจะต้องเทียบกันไม่ได้เป็นแน่ ดังนั้น เขาส่ายหน้า “อย่างอื่นก็ไม่รู้สึกว่ามีจุดที่ไหนผิดปกติแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้ากล่าว “เรื่องนี้ จริงๆแล้วสามารถมอบหมายให้ผู้ติดตามไปทำได้ กระทั่งการออกปากพูดต่อลูกชายไม่กี่คนของเขา หากว่าเขาเอ่ยปาก ลูกชายของเขาจะกล้าไม่มาหรือ? รองลงมา เขาทั้งคนสุขุมจนน่ากลัว เจ้าบอกว่าเขาเศร้าเสียใจ แต่ข้ามองไม่ออก ความเจ็บปวดของการสูญเสียลูกชายจะระงับไว้เพียงใด ก็ระงับนัยน์ตาแห่งความเจ็บปวดไม่ได้ ขณะที่ข้ามองเขา มีแค่การสร้างความแค้นและความเย็นยะเยือกเท่านั้น”
อ๋องฉีจะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง “สร้างความแค้นและความเย็นยะเยือก? นี่จะแบ่งแยกเช่นไร? บางทีเขาอาจจะแค้นท่านจริงๆก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้าตบไหล่ของเขา “น้องเจ็ดเอ๋ย มองคนอย่างมองภายนอก เจ้าลองสับเปลี่ยนฐานะสักหน่อย เจ้าเป็นตี๋เว่ยหมิง เจ้าเห็นข้า เจ้าจะทำอย่างไร?”
อ๋องฉียักไหล่ “ข้าจะเหมือนตี๋เว่ยหมิงได้อย่างไร? แม้ว่าพวกเราจะประสบกับเรื่องเช่นเดียวกัน แต่ท่าทีที่แสดงออกมาเป็นปัญหาของนิสัยและความสามารถในการอดทน ล้วนแตกต่างกันไป”
หยู่เหวินเห้ากล่าว “แต่จะต้องมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันแน่ นั่นก็คือความเจ็บปวดของการสูญเสียลูกชาย เขาสามารถปิดบังความเกลียดความแค้นได้ แต่ความเศร้าเสียใจปิดบังไม่อยู่ แต่ไหนแต่ไรตี๋เว่ยหมิงก็ไม่ใช่คนที่ชำนาญในการปิดบังความรู้สึก เพียงแค่เขารู้จักหนทางที่จะอดทนแอบซ่อนไว้ ก็คงจะไม่ตกลงถึงขั้นนี้แบบเวลานี้ตอนนี้”
เขาพูดจบ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว