บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 1270 ฉันไปได้เหรอ?
หยวนชิงหลิงบันทึกเสียง บอกเล่าสถานการณ์ทั้งหมดในตอนนี้ของนางให้ฟางหวูได้รู้ นางบอกว่าสถานการณ์ของนางเป็นอะไรที่ค่อนข้างพิเศษ อารมณ์และนิสัยของนางก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย โดยเฉพาะเรื่องของอารมณ์จะชัดเจนที่สุด โกรธง่ายใจร้อน อะไรนิดอะไรหน่อยก็ขัดตา อยากจะเข้าไปตะโกนด่าดัง ๆ สถานการณ์นี้ทำให้นางลำบากใจมาก จึงขอให้ฟางหวูช่วยหาคำตอบให้หน่อย
นางสั่งให้คนนำกล่องโยนกลับลงไปในทะเลสาบจิ้ง แต่เพื่อความปลอดภัย นางจึงให้เปาจื่อส่งต่อข้อความซ้ำอีกครั้ง เผื่อกรณีที่ฟางหวูไม่สามารถรับกล่องใบนี้ได้
ผลคือฟางหวูไม่ได้รับกล่องใบนี้จริง ๆ แต่ฟางหวูได้รับของหลายชิ้นที่นางส่งไปเมื่อหลายวันก่อน หรือกล่าวได้ว่า ของที่นางส่งไปจะเกิดความคลาดเคลื่อนของเวลาอยู่ระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายพวกมันจะสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ในที่สุด
เปาจื่อรับภาระหนักในการสื่อสารข้อมูล เขาทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังมาก ไม่กล้าสื่อสารผิดหรือตกหล่นไปแม้แต่คำเดียว ก่อนหน้านี้ฟางหวูบอกว่าคลื่นสมองของนางผิดปกติ และเป็นไปได้ว่าอาจเกิดการยุติสัญญาณ จนถึงตอนนี้ ความผิดปกติของคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า ได้ทำให้สมองเกิดการปล่อยคลื่นไฟฟ้าที่รุนแรงยิ่งขึ้น เธอจึงไม่รู้ว่าควรจะละลายร่างของหยวนชิงหลิงที่แช่แข็งอยู่ตอนนี้ดีไหม แต่ก่อนหน้านี้ก็ได้ทำงานบางอย่างไปบ้างแล้ว ดังนั้น เธอจึงรู้สึกค่อนข้างขัดแย้งในตัวเอง รู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันเริ่มจะควบคุมไม่ได้ขึ้นมาแล้ว
ที่จริงแล้ว ฟางหวูก็อยากให้หยวนชิงหลิงเป็นคนตัดสินใจเหมือนกัน แต่ว่าหยวนชิงหลิงเองก็ตัดสินใจไม่ได้ เพราะนางไม่รู้แน่ชัดว่า ร่างกายของนางในยุคปัจจุบันมีสภาพเป็นอย่างไรกันแน่ คำพูดที่เธอถ่ายทอดมา หรือแม้แต่รูปภาพ รวมถึงข้อมูลที่ส่งมาให้ก็ล้วนมีข้อจำกัด
แต่ถ้าไม่ละลายการแช่แข็ง เมื่อไหร่ที่คลื่นสมองหยุดส่งสัญญาณ ก็จะไม่สามารถใช้ความนึกคิดมาควบคุมสมองได้อีก นั่นหมายความว่าสิ่งที่จะตายลงคือสมองสองสมอง กับร่างสองร่าง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ นางจะต้องตายแน่นอนแล้ว
แต่ถ้าละลาย แล้วตัวนางจะมีชีวิตอยู่ที่ด้านไหนกันแน่ล่ะ? การที่ตอนนี้สามารถควบคุมร่างกายนี้ได้ก็เพราะว่าอีกร่างหนึ่งกำลังถูกแช่แข็งในสภาพหลับลึก แต่หลังจากละลายการแช่แข็งแล้ว มันจำเป็นต้องมีร่างอีกร่างที่อยู่ในสภาวะหลับลึกอย่างนั้นใช่หรือไม่?
และสถานการณ์ที่ว่านี้ นางเลือกตามใจคิดไม่ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางจึงขอให้เปาจื่อสื่อสารข้อความประโยคหนึ่งไปให้ฟางหวูอีกครั้งในคืนวันพรุ่งนี้ นั่นคือนางฝันว่าได้กลับไปที่ห้องทดลอง ไม่รู้ว่ามันเกิดจากความคิดของนางหรือเปล่า อยากให้เธอกลับไปที่ห้องทดลองเพื่อตรวจสอบอะไรบางอย่าง
หลังจากที่ฟางหวูรู้ เธอก็รู้สึกแปลกใจมาก เพราะห้องทดลองของนางถูกขนย้ายข้าวของออกไปจนว่างเปล่าไปแล้ว พูดตามทฤษฎีคือมันไม่มีอีกต่อไปแล้ว และข้าวของทั้งหมดของนางต่างถูกย้ายไปที่สถาบันวิจัย สรุปว่าที่นางฝันถึงคือสถาบันวิจัย หรือว่าห้องทดลองกันแน่?
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ห้วงเวลาเกิดการสอดประสานเกี่ยวพันอยู่ในความคิดของนาง?
ฟางหวูขอให้เปาจื่อบอกหยวนชิงหลิงว่า เธอจะลองศึกษาค้นคว้าในทิศทางนี้ดู ถ้าหากมีผลลัพธ์ ก็จะรีบบอกนางทันที
หลังจากที่ฟางหวูสื่อสารจบ เธอก็ตรวจสอบของทุกอย่างในห้องทดลองของหยวนชิงหลิงรอบหนึ่ง ข้าวของพวกนี้หลังจากถูกขนย้ายมาแล้ว ที่จริงเธอก็ได้เห็นมันซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จนนับไม่ถ้วนแล้ว คุ้นเคยจนหลับตาหยิบได้ด้วยซ้ำ ดังนั้น เธอคงไม่น่าจะค้นพบอะไรใหม่ ๆ ได้หรอก
เมื่อกวาดตามองผ่าน ๆ รอบหนึ่ง ผลคือไม่พบอะไรตามคาด
เธอจำได้ว่า ยังมีข้าวของบางส่วนในห้องทดลองที่ยังไม่ได้เคลื่อนย้าย เช่น ตู้แช่แข็งที่ไม่เคยเปิด เธอจึงไปดูที่นั่นด้วยตัวเองรอบหนึ่ง ข้าวของในนั้นไม่ได้ถูกโยนทิ้ง แต่แค่ถูกย้ายไปไว้อีกห้องหนึ่งโดยบริษัทชีวภาพเฉย ๆ
เธอเปิดตู้แช่แข็ง ข้าวของหลายสิ่งหลายอย่างในนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เธอไม่ได้ศึกษาทิศทางนี้ต่อ ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้วสิ่งของเหล่านี้จึงไร้ประโยชน์
มีกลับมีสิ่งหนึ่ง ที่ดึงดูดให้เธอรู้สึกสนใจขึ้นมา
เป็นภาชนะโลหะที่มีฉลากติดอยู่ด้านนอก เขียนว่าระยะแรกของการสังเกตเซลล์สมองของลิง หรือพูดได้ว่า นี่คือหลอดทดลองที่เก็บผลการสังเกตเซลล์สมอง ซึ่งสกัดจากขั้นตอนแรกของการทดลองสมองของลิง แต่ทำไมถึงได้เอามาใส่ไว้ในตู้แช่แข็งล่ะ? ไม่ได้โยนทิ้งไปหลังทำการสังเกตเสร็จสิ้นหรอกเหรอ?
พอเปิดกล่องออกมา ชั่วขณะนั้นเธอถึงกับช็อค!
นี่มันใช่เซลล์สมองซะที่ไหนล่ะ? นี่คือมันสมองทั้งก้อนเลยต่างหาก
สมองก้อนนี้ถูกแช่แข็ง แต่สามารถมองเห็นเยื่อหุ้มสมอง หลอดเลือด หรือกระทั่งส่วนของเนื้อเยื่ออื่น ๆ ในสมอง ทั้งหมดล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ฟางหวูรู้สึกหายใจลำบากขึ้นมาแล้ว เมื่อดูจากฉลาก น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อจากก้านสมองหรือเซลล์อื่นๆ ของลิง ซึ่งดูไปแล้วไม่มีทางเป็นสมองเดียวกันได้
และแม้ว่าเซลล์สมองของลิงหลังจากการฉีดยา จะมีผลให้เกิดการแบ่งตัวและสร้างใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นใหม่ได้นอกร่างกาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการงอกใหม่ด้วยตัวเอง จนกลายเป็นสมองอีกก้อนหนึ่งเลยด้วย
เธอคิดว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่สิ่งนี้จะเป็นสมองของลิงอีกตัวหนึ่ง เป็นช่วงระยะแรก มีการใช้ลิงสองตัวมาทำการทดลอง แต่ตัวหนึ่งในนั้นเกิดตายไป ดังนั้นหยวนชิงหลิงจึงเอาสมองของมันออกมา คาดว่าคงจะเป็นแบบนี้แน่ ๆ
เธอใส่มันกลับเข้าไปในกล่อง แล้วนำกลับไปที่สถาบันวิจัย
ท่ามกลางข้าวของที่เธอขนย้ายออกมาจากห้องทดลองนั้น มีดีเอ็นเอของลิงอยู่ในนั้นด้วย เธอจึงเก็บตัวอย่างมาจำนวนหนึ่งเพื่อทำการเปรียบเทียบ
หลังจากผลการเปรียบเทียบออกมา เธอก็ถึงกับอึ้ง รู้สึกว่าตัวเองหายใจลำบากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน? สมองนี้เป็นของลิงตัวนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ?
เธอโทรหาพี่ชายของหยวนชิงหลิงทันที แล้วบอกเล่าทุกอย่างที่นี่ออกไปด้วยความสยองขวัญ
พี่ชายหยวนชิงหลิงเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยพูดขึ้นว่า“ฟางหวู เธออย่าลืมสิว่าลิงตัวนั้นตายเพราะอุบัติเหตุรถชนนะ หลังจากตายเพราะอุบัติเหตุ หลิงเอ๋อก็เอาสมองของมันออกมา ไม่มีอะไรน่าแปลกซักหน่อย แค่เพราะสมองของมันถูกดึงออกมา ดังนั้น ความคิดจึงสามารถควบคุมลิงในห้วงเวลาที่ต่างกันได้”
เมื่อพี่ชายหยวนชิงหลิงพูดแบบนี้ ฟางหวูก็ตกใจจนผงะไปครู่หนึ่ง คิดว่ามันก็มีความเป็นไปได้อยู่ แต่อีกใจก็นึกปฏิเสธ เพราะลิงตายในอุบัติเหตุรถยนต์ แล้วสมองก็ถูกนำออกมา ซึ่งหมายความว่าสมองนั้นต้องตายไปแล้วสิ ในเมื่อสมองตายไปแล้ว ยังจะควบคุมลิงในห้วงเวลาที่ต่างกันได้ยังไงล่ะ?
เธอจำเป็นต้องหาทางสื่อสารกับหยวนชิงหลิงด้วยตัวเองให้ได้ เพราะงานวิจัยทั้งหมดของหยวนชิงหลิง เธอเป็นคนเดียวที่รู้ชัดเจนกระจ่างแจ้งที่สุด แต่การวิจัยช่วงแรก ๆ ของเธอเคยถูกปฏิเสธไป หลังจากนั้นเธอก็ค่อยลองหันมามองหาทิศทางใหม่ในการวิจัยต่อ แต่เห็นได้ชัดว่าการทดลองในลิงระยะแรกนั้น เธอคิดว่ามันล้มเหลวแล้ว
เธอขับรถไปหาพี่ชายของหยวนชิงหลิงด้วยตัวเอง ไปขอความช่วยเหลือจากเขาว่าพอจะช่วยไปหาคนคนนึงให้หน่อยได้ไหม
“หยางหรู่ไห่? เธอจะไปหาหล่อนเหรอ? ไปหาหล่อนทำไมล่ะ?” พี่ชายหยวนชิงหลิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แม้ว่าชื่อเสียงของหยางหรู่ไห่ในวงการจะโด่งดังเลื่องลือ แต่การจะไปพบเธอนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ฟางหวูตอบว่า”ฉันต้องกลับไปที่เป่ยถังด้วยตัวเองอีกครั้ง ฉันต้องถาม Dr.หยวนเกี่ยวกับสมองของลิง มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แบบนั้น สมองก้อนนี้ มันทำให้ฉันเกิดความรู้สึกว่ามันเติบโตด้วยตัวมันเองอยู่ตลอดเวลาเลย”
พี่ชายหยวนชิงหลิงตกตะลึง “มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? นี่มันไร้สาระเกินไปแล้ว”
“ฟังดูมันไร้สาระมาก แต่ที่มาของชีวิตคนเรามันก็ไร้สาระเหมือนกันนี่ คุณอธิบายได้มั้ยล่ะ?”
“ต้องได้แน่อยู่แล้วสิ ต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ วิวัฒนาการของมนุษย์…..”
ฟางหวูมองเขานิ่ง ๆ “สิ่งมีชีวิตแรกสุดในโลกใบนี้คือสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ซึ่งอยู่ในรูปแบบของเซลล์โปรติสต์ของอาร์เคียแบคทีเรียหรือยูแบคทีเรีย ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะ ว่าคนเราจะสามารถวิวัฒนาการจากเซลล์เดียวมาสู่รูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ได้? มันก็เป็นอะไรที่ฟังดูไร้สาระมากใช่มั้ย? ถ้าตอนแรกคุณได้เห็นสิ่งมีชีวิตแบบเซลล์เดียวอยู่โดดเดี่ยวลำพัง แล้วมีคนมาบอกคุณว่า ในอนาคตจะมีสิ่งมีชีวิตหลากหลายระดับบนโลกใบนี้ กระทั่งจะมีสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ปรากฏขึ้น คุณจะเชื่อมั้ย?”
พี่ชายหยวนชิงหลิงยกยิ้มอย่างขมขื่น “จู่ ๆ หัวข้อนี้ก็เปลี่ยนเป็นลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูกไปซะงั้น แต่เธอแน่ใจเหรอว่าถ้าได้พบหยางหรูไห่แล้ว หล่อนจะสามารถส่งเธอกลับไปที่เป่ยถังได้?”
“หล่อนมีวิธีน่ะ แม้ว่าที่จริงแล้วฉันเองก็พอจะมีหนทางตามหาหล่อนจนเจอเองได้ แต่…” ฟางหวูเงยหน้าขึ้นมองเขา มีท่าทางลังเล “ประเด็นคือฉันอยากจะถามคุณหน่อยว่า คุณยินดีที่จะไปที่นั่นกับฉันสักครั้งมั้ย?”
พี่ชายหยวนชิงหลิงตกใจจนผงะ “ฉันไปได้เหรอ?”