บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 741 ความกังวลของพระชายาจี้
นางชี้ไปที่จมูกของพระชายาจี้ กิริยาท่าทางเหมือนหญิงที่ปากร้ายเสียสติ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะช่วยท่านอ๋องได้ ทำไมเจ้าจึงทำตัวอยู่เหนือปัญหา หรือว่าถ้าเขามีอำนาจแล้วจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ยุติธรรมหรือไร เจ้ามันเป็นผู้หญิงที่เข้าข้างคนอื่น หลักเหตุผลที่ว่าแต่งงานออกเรือนเชื่อฟังสามีเจ้าเข้าใจบ้างหรือไม่ ”
จวิ้นจู่เมิ่งเยว่ปีนี้อายุสิบสอง เป็นเด็กที่มีสติปัญญาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้ยินฉู่หมิงหยางประณามเสด็จแม่ของตัวเองเช่นนี้ ก็สีหน้าขรึมลงทันที พูดว่า “พระชายารอง ขอให้ท่านสำรวมด้วย ”
ฉู่หมิงหยางที่กำลังโมโหจนถึงขีดสุด ไม่คิดว่าจะถูกเด็กน้อยคนหนึ่งสั่งสอนเอาได้ จึงสะบัดฝ่ามือตบลงไปทันที พูดอย่างดุดันว่า “เจ้าหุบปากไปเลย เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น ”
ฝ่ามือนี้ ไม่ได้ตบไปที่หน้าของเมิ่งเยว่ ถูกพระชายาจี้จับข้อมือของนางที่สะบัดมาได้อย่างทันท่วงที หลังจากจับไว้แล้ว พระชายาจี้ก็โต้กลับด้วยการใช้ฝ่ามือตบไปที่ใบหน้าของฉู่หมิงหยาง แววตาในชั่วขณะนั้น กลายเป็นเย็นเยียบดุดัน เค้นน้ำเสียงอันเย็นชาพูดด้วยเสียงลอดไรฟันว่า “กล้าแตะต้องนางแม้แต่ขนหนึ่งเส้น ข้าจะทำให้เจ้าร่างแหลกเป็นหมื่นชิ้น”
ศีรษะของฉู่หมิงหยางตะแคงไปอีกข้าง นางหันขวับกลับมาอย่างกราดเกรี้ยว แล้วก็ต้องพบกับแววตาอันเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งของพระชายาจี้ นางไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหวอะไรเลยด้วยซ้ำ เอาแต่จ้องมองนางอยู่อย่างนั้น แต่กลับทำให้รับรู้ถึงความเหน็บหนาวได้อยู่ลึกๆอย่างไร้สาเหตุ
ตั้งแต่ฉู่หมิงหยางแต่งเข้ามาในจวนอ๋อง พระชายาจี้ก็มีนิสัยเฉยชาเกียจคร้านตลอดมา กับใครก็สามารถใช้คำพูดน่าฟังแต่ไม่จริงใจ สร้างตัวตนอย่างหนึ่งที่ง่ายจะถูกคนอื่นรังแกได้
แต่ว่า ฉู่หมิงหยางค้นพบในทันใดว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ภายใต้หน้ากากที่ดูสง่างามเป็นมิตรนั้น ได้ซ่อนสิงโตที่ดุร้ายเอาไว้ตัวหนึ่ง
ฉู่หมิงหยางที่มีนิสัยหยิ่งยโสอวดดี แม้จะค้นพบว่าพระชายาจี้นั้นไม่ใช่คนที่นางจะหาเรื่องได้ หลังจากนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก็ยังคงสวนกลับด้วยฝ่ามือฟาดลงไปบนใบหน้าของพระชายาจี้ พูดเสียงเย็นว่า “ข้าฉู่หมิงหยางไม่ใช่คนที่เจ้าจะรังแกได้ง่ายๆ ฝ่ามือนี้ข้าคืนให้เจ้า แต่นี่ก็แค่การเริ่มต้นเท่านั้น เจ้ารอก่อน ข้าจะทบต้นทบดอก……”
นางยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ก็ได้ยินเสียงของพระชายาจี้ที่สั่งการเสียงโหดเหี้ยมว่า “เด็กๆ เอาตัวพระชายารองไปที่ห้องด้านข้างของเรือนหย่าเก๋อ ขังนางเอาไว้ก่อนสองวัน ไม่มีคำสั่งของข้า แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ห้ามส่งเข้าไป ”
ฉู่หมิงหยางหัวเราะฮ่าฮ่า “ข้าจะดูสิว่าใครจะกล้า”
เสียงหัวเราะของนางยังไม่ทันสิ้นสุดลง ก็เห็นข้ารับใช้หญิงชราสองคนที่ร่างกายดูแข็งแรงบึกบึนเดินลงมาจากระเบียงทางเดิน บิดมือทั้งคู่ของนางและลากตัวออกไป
ฉู่หมิงหยางโมโหจนคลุ้มคลั่ง พลางดิ้นรนพลางตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าบังอาจนัก กล้าทำเสียมารยาทกับข้า ปล่อยข้า พวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรืออย่างไร ”
ข้ารับใช้หญิงชราสองคนนี้ราวกับหูหนวกไปแล้ว ใบหน้าไม่มีแววสะทกสะท้านใดๆ ลากตัวนางไปขังไว้ในห้องด้านข้างของเรือนหย่าเก๋อ ปิดประตูเสียงดังปัง และใส่กุญแจด้านนอกเอาไว้ด้วย
ฉู่หมิงหยางโถมตัวมาที่ประตู ตะโกนด่าและทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง พระชายาจี้มีคำสั่งล้างบาง นอกจากข้ารับใช้หญิงชราที่เฝ้าอยู่ภายนอก คนอื่นให้ถอยออกไปให้หมด
อ๋องจี้ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ก็เดินมาดู ได้ยินว่าฉู่หมิงหยางถูกขังเอาไว้ แล้วก็รับรู้ถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว เขาขมวดคิ้วมองเมิ่งเยว่แวบหนึ่ง “เจ้า ไร้ประโยชน์จริงๆ อายุแค่นี้ ก็รู้จักหาเรื่องหาราว จะปล่อยเจ้าอีกสองสามปี แล้วจะให้เจ้าแต่งงานออกไปซะ จะได้ช่วยเพิ่มอำนาจให้กับข้าด้วย”
ทันใดนั้นจวิ้นจู่เมิ่งเยว่ก็ตกใจจนต้องรีบหลบไปอยู่ทางด้านหลังของพระชายาจี้ พระชายาจี้เอ่ยเสียงดุว่า “ถ้าหากท่านกล้าทำอย่างที่พูดละก็ ข้าจะเอาชีวิตท่าน”
อ๋องจี้ฮึหนึ่งเสียง “เรื่องการแต่งงานของนาง ข้าจะเป็นคนตัดสินใจเอง”พูดจบ ก็ไม่สนใจแล้วว่าฉู่หมิงหยางจะยังคงร้องโวยวายอยู่ข้างใน หมุนตัวจากไปทันที
จวิ้นจู่เมิ่งเยว่ยื่นมือออกไปจับที่ใบหน้าของพระชายาจี้ ดวงตาแดงก่ำ “เสด็จแม่ หน้าของท่านเจ็บหรือไม่ แดงไปหมดแล้ว ”
พระชายาจี้ดึงมือของจวิ้นจู่เมิ่งเยว่เอาไว้ พูดเสียงอ่อนโยนว่า “เจ็บนิดหน่อย แต่ประเดี๋ยวก็ไม่เป็นไรแล้ว เมื่อครู่เจ้าเห็นกิริยาท่าทางของพระชายารองแล้ว รู้สึกไร้มารยาท น่าอายมากใช่หรือไม่ ”
จวิ้นจู่เมิ่งเยว่พยักหน้า “ใช้แล้ว น่าตกใจมาก และไร้มารยาทมากด้วย”
พระชายาจี้พูดว่า “ถูกต้อง ฉะนั้นภายหน้าหากเจ้าพบเจอเรื่องอะไรก็ตาม อย่างทำเหมือนนางเด็ดขาด ไม่ว่าอะไรก็ตามที่สามารถคุยเหตุผลกันได้ ปากร้ายรุนแรงไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าหากไม่สามารถพูดด้วยเหตุผล ปากร้ายไร้สติยิ่งไม่เป็นผล มีเพียงการครองสติและปัญญาให้มั่นคง จะสามารถทำให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบากได้แน่ ”
จวิ้นจู่เมิ่งเยว่พูดว่า “เสด็จแม่ ข้ารู้แล้ว ข้าจะไม่ทำตัวเหมือนนางอย่างเด็ดขาด ”
พระชายาจี้จึงยิ้มและพูดว่า “เมิ่งเยว่เชื่อฟังจริงๆ”
จวิ้นจู่เมิ่งเยว่พูดเสียงเบาว่า “ภายหน้าข้าต้องปกป้องเสด็จแม่ ไม่ให้ใครมารังแกท่านอย่างเด็ดขาด แม้แต่เสด็จพ่อก็ทำไม่ได้”
บนใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของจวิ้นจู่เมิ่งเยว่ มีความเด็ดเดี่ยวอยู่ลึกๆ
พระชายาจี้รู้สึกสบายใจมาก ยิ้มอย่างมีความสุข “มีลูกที่เชื่อฟังอย่างเจ้า แม่ต้องลำบากมากแค่ไหนก็ยินดี เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้แม่จะพาเจ้าออกไปข้างนอก ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ”
“ไปที่ไหน”จวิ้นจู่เมิ่งเยว่ถามขึ้น
“ไปจวนอ๋องฉู่ ไปหาอาสะใภ้ห้าของเจ้า แม่มีเรื่องจะขอร้องนางเรื่องหนึ่ง”เหมือนพระชายาจี้จะตัดสินใจได้ในชั่วขณะ
“ได้ ข้าก็อยากจะพบอาสะใภ้ห้าเหมือนกัน ”จวิ้นจู่เมิ่งเยว่นั้นมีความซาบซึ้งใจต่อหยวนชิงหลิงเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาการป่วยของเสด็จแม่ในตอนนั้น เกือบจะตายไปแล้ว เป็นอาสะใภ้ห้าที่ช่วยเสด็จแม่เอาไว้
พระชายาจี้พูดว่า “เมิ่งเยว่ แม่ไม่เพียงแต่จะพาเจ้าไปเยี่ยมอาสะใภ้ห้าของเจ้าเท่านั้น ยังจะฝากฝังเจ้าให้กับนางด้วย”
แววตาของเมิ่งเยว่ตื่นตระหนก “อะไรนะ”
พระชายาจี้ปลอบด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าคิดมาก อาสะใภ้ห้าของเจ้าจะเปิดโรงเรียนแพทย์ แม่จะให้นางสอนวิชาแพทย์ให้เจ้า”
“วิชาแพทย์?”เมิ่งเยว่อึ้งไปเล็กน้อย “แต่ว่า เสด็จพ่อบอกว่าเป็นผู้หญิง ควรจะเรียนรู้วิชาเย็บปักถักร้อยให้มาก หรือไม่ก็สามารถเรียนรู้วิชาเล่นขิมหมากรุกเขียนพู่กันวาดภาพ เรียนรู้วิชาปกครองเรือนกับเสด็จแม่ ภายหน้าหากแต่งงานจะได้ดูแลและทำงานบ้านได้ ”
พระชายาจี้เอ่ยอย่างจริงใจว่า “ไม่ เมิ่งเยว่ เสด็จพ่อบอกว่าต้องเรียน แต่ว่า อนาคตของหญิงสาวใช่ว่าจะมีแต่การแต่งงานเพียงหนทางเดียว เจ้าต้องเรียนรู้ความสามารถหลายๆด้าน แม่ไม่มีความสามารถ หลายปีมานี้ได้การช่วยเหลือจากตระกูลมารดา จึงสั่งสมสายสัมพันธ์กับผู้คนที่มั่นคงไว้ได้ ก่อนหน้านี้แม่คิดว่า ตอนนี้ต้องจัดการวางแผนให้กับเจ้า ปูทางในอนาคตไว้ให้เรียบร้อย เพื่อให้ภายหน้าเจ้าจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง แต่หลายวันที่ผ่านมานี้ แม่ได้คิดออกแล้วว่า ในทั้งชีวิตของคนเราที่ต้องเผชิญเรื่องราวนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ความเจริญรุ่งโรจน์ในวันนี้อาจเป็นหุบเหวในวันพรุ่งนี้ แม่ไม่สามารถดูแลเจ้าได้ตลอดชีวิต ย่อมมีสักวันที่ต้องจากเจ้าไป มีเพียงเจ้าที่แข็งแกร่งเท่านั้น จึงจะสามารถใช้ชีวิตตามใจตัวเองได้ ”
“แล้วเรียนวิชาแพทย์ไปจะมีประโยชน์อันใด นอกเสียจากภายหน้าลูกจะทำงานด้านการแพทย์”เมิ่งเยว่ยังคงไม่เข้าใจ
เรียนรู้ความสามารถนั้นจำเป็นก็จริง แต่เรียนวิชาแพทย์ก็ไม่ได้ใช้ ลูกสาวของราชวงศ์ ย่อมไม่สามารถออกไปทำการรักษาผู้คนได้
“การเรียนรู้ความสามารถ ไม่แน่ว่าต้องได้ใช้ แต่เราต้องมีความสามารถ เจ้าฟังแม่ที่แม่บอกก็พอ”พระชายาจี้พูด
“เพคะ”เมิ่งเยว่เชื่อฟังอย่างกตัญญู ฟังพระชายาจี้พูดเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ถามอะไรอีก
พระชายาจี้มองใบหน้าของนาง ในใจของถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างเงียบ การเรียนรู้วิชาแพทย์ไม่ใช่เรื่องที่เร่งด่วน และไม่จำเป็นต้องไปทำ แต่ว่า นางหวังจะให้เมิ่งเยว่กับหยวนชิงหลิงกำหนดสถานการณ์เป็นลูกศิษย์กันอาจารย์เอาไว้
วันนี้ฉู่หมิงหยางกระทำผิดอย่างกำเริบเสิบสานถึงเช่นนี้ อำนาจของตระกูลฉู่ก็ยิ่งใหญ่จนน่ากลัว ลำพังนางคนเดียวที่คอยปกป้องเมิ่งเยว่ อาจไม่ครอบคลุมทั้งหมด หากเกิดเรื่องเพียงนิดเดียวกับเมิ่งเยว่ก็อาจเป็นการเอาชีวิตนางไปได้ นางไม่อาจให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาด
และที่สำคัญก็คือ เจ้าผู้ชายต่ำช้าคนนั้นได้พูดเช่นนี้ออกมา นางจะไม่ป้องกันด้วยวิธีนี้ก่อนไม่ได้