บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 813 ชีวิตรันทดของรัชทายาท
หลังจากที่ทุกคนออกไปกันหมดแล้ว ในห้องโถงก็มีแต่ความเงียบ สายตาที่มีแววอึมครึมจ้องหยู่เหวินเห้าอยู่นาน จึงเอ่ยถามด้วยเสียงเบาว่า “พระองค์ ยังต้องการตามตัวหงเหมยคนนั้นมาถามหรือไม่”
หยู่เหวินเห้าได้ตกตะลึงจนนิ่งงันไปแล้ว สำหรับเบาะแสทางด้านฉู่หมิงหยางที่เขาตั้งตาเฝ้าคอยตลอดมา คิดว่าอย่างน้อยก็คงจะสามารถงัดสิ่งที่มีประโยชน์ออกมาได้บ้าง คิดไม่ถึงว่า กลับเป็นดาบที่แหลมคม ชี้ตรงมายังความสุขในชีวิตคู่ของเขา
“ท่านเชื่อหรือไม่”หยู่เหวินเห้าถามโสวฝู่ฉู่
โสวฝู่เอ่ยอย่างยากลำบากอยู่บ้างเล็กน้อย “ถ้าหากพระองค์ยืนยันว่าไม่ใช่ตัวท่านเอง เช่นนั้นข้าก็คงได้แต่เชื่อท่าน”
“ถามว่าใจท่านเชื่อหรือไม่ ไม่ได้ถามว่าปากท่านเชื่อหรือไม่ ”หยู่เหวินเห้ากระวนกระวายใจยิ่งนัก ดีที่เรื่องนี้มีคนรับรู้ไม่มากนัก และคนสองคนเมื่อครู่นั้นคงไม่กล้าจะปริปากแม้แต่คำเดียว ทางด้านยายหยวนนั้นคงจะปิดบังไม่ได้แน่
“คนอื่นจะเชื่อหรือไม่ไม่สำคัญ องค์รัชทายาทบริสุทธิ์ก็พอแล้ว”โสวฝู่ฉู่ส่ายหน้า ใช้น้ำเสียงอบอุ่นในการพูดจา “ความผิดที่รัชทายาทกระทำไปก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ก็แค่เหมือนกับพ่อตาของท่านเจ้าพระยาจิ้งเท่านั้น”
“ตาเฒ่า คำพูดนี้เกินไปแล้ว”หยู่เหวินเห้าเอ่ยอย่างโมโห เอาเขาไปเปรียบกับใครไม่เปรียบ แต่เอาไปเปรียบกับพ่อตาของเขา เจ้าพระยาจิ้งนับไม่ได้ว่าเป็นคนด้วยซ้ำไป
โสวฝู่ฉู่ตบโต๊ะทีหนึ่ง พ่นลมหายใจถลึงตากว้าง “ไม่เช่นนั้นจะให้พูดอย่างไร หาเรื่องเดือดร้อนให้ท่านหรืออย่างไร มีทั้งหลักฐานและพยาน ท่านจะให้ข้าปิดหูปิดตาเชื่อว่าท่านบริสุทธิ์หรืออย่างไร ”
หยู่เหวินเห้าโกรธจนนิ่งอึ้ง “ข้านั้นบริสุทธิ์ ข้าไม่เคยแตะต้องนางแม้แต่เส้นผมเส้นเดียว”
โสวฝู่พูดเสียงเย็นว่า “ใช่ ไม่แตะต้องเส้นผมแต่แตะต้องส่วนอื่น ไม่เช่นนั้นลูกในท้องของนางจะมาจากไหน เจ้าหยู่เหวินจุนนั่น……เป็นคนที่ไร้น้ำยา”
“ใต้หล้านี้ก็ไม่ได้มีแต่หยู่เหวินจุนคนเดียวเท่านั้น”
“ผู้ชายมากมายในใต้หล้านี้ ทำไมไม่ใส่ร้ายคนอื่น ทำไมต้องเป็นท่านเล่า”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ”หยู่เหวินเห้ากระทืบเท้า ไม่อยากจะเชื่อปฏิกิริยาของโสวฝู่จริงๆ “ทำไมท่านจริงเชื่อ ท่านไม่เข้าใจในนิสัยใจคอพื้นฐานของข้าสักนิดเลยหรือ ถ้าข้าต้องการย่อมมีผู้หญิงมากมาย ทำไมต้องเป็น ……”
“เป็นอะไร”โสวฝู่ฉู่ตัดบทเขาด้วยเสียงเย็น “นางทำให้ท่านไม่มีสง่าราศีหรืออย่างไร เป็นถึงสามีภรรยากันแล้ว ยังจะรังเกียจอะไรอีก ช่างเถอะ วันนี้เรื่องราวก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านกลับไปเตรียมการ แต่งงานรับนางเข้าบ้านซะ ลูกจะเกิดมาไม่มีพ่อไม่ได้ ”
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นมาคว่ำโต๊ะทันที “แต่งงานกับนาง หยุดคิดไปได้เลย ให้นางฝันไปเถอะ เด็กคนนั้นไม่ใช่ของข้า ตีข้าให้ตายก็ไม่ยอมรับ นางไม่ได้ทำให้ข้าไม่มีสง่าราศี แต่เป็นการทำให้ตระกูลฉู่ของพวกท่านต้องด้อยค่า พยานหลักฐานอะไรกัน คำรับสารภาพจากการบีบบังคับเชื่อไม่ได้ คำพูดจากปากพยานยิ่งเชื่อไม่ได้ ข้าเชื่อตัวข้าเอง ขอตัวลาก่อน”
หยู่เหวินเห้าหมุนตัวจะจากไป
“ช้าก่อน ”โสวฝู่เรียกตัวเขาเอาไว้
หยู่เหวินเห้าหันหน้ากลับมา ในแววตามีไฟแห่งโทสะลุกโชน “ทำไม ยังคิดจะบังคับยัดเยียดเด็กให้กับข้าหรือ”
สายตาของโสวฝู่ฉู่มีแววแห่งความมีสติปัญญาวาบผ่านอีกครั้ง “เห็นทีจะไม่ใช่ของท่านจริงๆ ใจเย็นๆ คิดดูดีๆ คิดซิว่าเรื่องนี้มีแผนการร้ายอะไรซ่อนอยู่”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองเขา “ท่านหยั่งเชิงข้าหรือ”
“ไม่เช่นนั้นจะให้ทำอย่างไร แม้จะไม่ได้ให้กินยาบังคับสารภาพ นางพูดปดหรือไม่ข้าดูแวบเดียวก็ดูออกแล้ว ยังมีคนเมื่อครู่ทั้งสองนั้น ยืนยันหนักแน่นว่าเป็นท่าน แต่หลังจากรู้สถานะของท่านก็กลับคำ แต่นั่นล้วนเป็นผลมาจากความตกใจ พวกเขาไม่ได้โกหก”
แม้ว่าหยู่เหวินเห้ายังคงโมโห แต่ได้ยินโสวฝู่พูดเช่นนี้เท่ากับเชื่อเขาแล้ว ไฟโทสะจึงค่อยๆมอดลง นั่งลงอีกครั้ง “เช่นนั้นท่านเชื่อข้าแล้วใช่หรือไม่ ”
โสวฝู่ใช้มือกดไว้ที่ตำแหน่งของหัวใจ “ได้แต่เชื่อท่าน ข้าเองก็กลัวเมียเหมือนกัน”
หยู่เหวินเห้ายืดคอยาวกลืนน้ำลายลงไป “เรื่องนี้ต้องรักษาเป็นความลับ พวกเราต้องตรวจสอบเป็นการส่วนตัว อย่าให้คนอื่นรู้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นคงไม่จบไม่สิ้น”
“จำเป็นต้องรักษาเป็นความลับ”โสวฝู่ฉู่พูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
ถ้าแม่นมสี่รู้ว่าลูกสาวของตระกูลฉู่ไปพัวพันกับรัชทายาทโดยไม่บริสุทธิ์ใจ เขาเองก็คงจะได้เห็นสีหน้าที่ไม่ดีนัก
หยู่เหวินเห้าหรี่ตาลง นึกถึงใบหน้าของท่านชายหงเย่ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วก็ตบโต๊ะอีกครั้ง “ต้องเป็นหงเย่ที่วางแผนใส่ร้ายข้าแน่ ไม่รู้ว่าเขาไปหาคนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับข้ามาจากที่ไหน ถึงว่าเขาบอกว่าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับข้า เจ้าคนเลวทรามต่ำช้า ”
“หงเย่มีความน่าสงสัยมาก แผนการทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นหงเย่เป็นผู้บงการ ”โสวฝู่พูดเสียงเรียบ “เสียดาย เขาไม่ได้ทิ้งเบาะแสร่องรอยอะไรไว้เลย แม้จะรู้ แต่ก็ไร้หลักฐานที่จะเอาผิดเขาได้”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกเย็นวาบในใจ “หงเย่ต้องการวางแผนในเป่ยถัง ถ้าหากไม่มีคนช่วยเหลือเขา เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก คนที่ช่วยเหลือเขาต้องเป็นคนที่ตำแหน่งสูง ข้าทำงานเหน็ดเหนื่อยทุกวัน ทำการป้องกันทั้งวันทั้งคืน แต่ไม่สามารถป้องกันโจรในบ้านได้”
“สงสัยใคร”โสวฝู่ฉู่ถามขึ้น
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ตอนที่หงเย่อยู่ในเมืองหลวง ข้าได้สั่งให้คนเฝ้าดูเขาอยู่ตลอด เขาเคยติดต่อกับพี่สี่ ข้าก็เคยถามพี่สี่ แม้เขาจะให้คำสัตย์สาบานต่อฟ้าว่าไม่เคยมอบผลประโยชน์ใดๆให้กับหงเย่ แต่คนอย่างหงเย่ไม่มีทางไปหาคนที่ไม่มีผลประโยชน์ ในเมื่อจ้องพี่สี่ไว้แล้ว แต่ไม่ได้รับอะไรจากตัวพี่สี่เลย ตีข้าให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ ”
“สงสัยได้สมเหตุสมผล”
หยู่เหวินเห้าค่อยๆสงบลง “ข้าถึงกับสงสัยว่าการที่เซียนเปยจะต่อกรกับต้าโจวนั้นเป็นเพียงข้ออ้างบังหน้าเท่านั้น ที่จริงเป้าหมายที่ต้องการจะต่อกรด้วยคือเป่ยถัง ต้าโจวเต็มไปด้วยคนที่มีความสามารถ ในราชสำนักทั้งบนล่างต่างก็รวมใจกันเป็นหนึ่ง ไม่มีการแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ ระหว่างราชสำนักกับราษฎรต่างก็หลอมรวมเป็นหนึ่งมีพลังแข็งแกร่งมาก เซียนเปยคิดจะครอบครองที่ละนิดไหนเลยจะเป็นเรื่องง่าย หันกลับมาดูเป่ยถังของเรา คนที่จริงใจต่อราชสำนักมีกี่คนกัน ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งรัชทายาท ในราชสำนักแบ่งพรรคแบ่งพวก ทุกคนต่างก็คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าหากใจคนไม่รวมเป็นหนึ่งแล้ว ต้องการจะรวบรวมขึ้นมาอีกครั้งไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในเวลาอันสั้น เกรงว่าหงเย่คงจะเคลื่อนไหวในประเทศเป่ยถังของเรามานานแล้ว ถึงเวลาที่เหมาะสมจึงบุกเข้าสู่เมืองหลวง ถ้าหากพี่สี่สมรู้ร่วมคิดกับเขาจริง คนของเขาจะยืนหยัดอย่างมั่นคงในเมืองหลวงนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก ”
“ยังมี……”ในสายตาของหยู่เหวินเห้ามีประกายไฟผุดขึ้นมา “ข้าจำได้ว่าตอนที่ถามพี่สี่ เขาบอกว่าหงเย่เคยเปิดเผยว่าไม่สนใจว่าเซียนเปยจะพ่ายแพ้ต่อต้าโจวหรือไม่ ตอนนี้มาคิดดูแล้ว นี่เป็นไปได้สูงมาก ถ้าหากไม่ได้มีการวางแผนจะสู้รบกับต้าโจวตั้งแต่แรก แล้วจะแพ้ให้กับต้าโจวได้อย่างไร ฉะนั้นหงเย่จึงได้พูดออกมาอย่างสบายใจไม่สนใจเช่นนั้นได้ ”
โสวฝู่ฉู่นิ่งอึ้ง “หงเย่เคยพูดเช่นนั้นจริงหรือ”
“พี่สี่บอกข้าอีกที จริงหรือไม่ไม่รู้”
โสวฝู่ฉู่ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งก่อนจะเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็มีความหมายลึกซึ้งต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง”
หยู่เหวินเห้ากำหมัดไว้แน่น “หงเย่เป็นบุตรนอกสมรสของแม่ทัพใหญ่หงเล่แห่งเซียนเปย หงเล่ควบคุมดูแลราชสำนักของเซียนเปยมาหลายปี ฮ่องเต้ก็เป็นแค่หุ่นเชิดของเขา และหลายปีมานี้หงเล่ได้อบรมเลี้ยงดูลูกชายของตัวเองอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ขึ้นรับตำแหน่ง กลับส่งหงเย่ไปรับตำแหน่งตามพื้นที่ต่างๆ ราวกับไม่ให้ความสำคัญ ฉะนั้น ที่ข้าสงสัยยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ สองพ่อลูกหงเย่ไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน บางทีเป้าหมายของหงเล่อาจจะอยู่ที่ต้าโจว แต่หงเย่คงเห็นว่าต้าโจวต้องทำลายเซียนเปยแน่ ฉะนั้นเขาจึงเริ่มเคลื่อนไหวในเป่ยถัง ถ้าหากจะพูดให้บังอาจขึ้นมาอีกหน่อย การเคลื่อนไหวทั้งหมดของหงเย่ในแคว้นต้าโจว เป้าหมายของเขาก็คือให้แคว้นต้าโจวต่อกรกับหงเล่ โจมตีเซียนเปยอย่างหนัก”
โสวฝู่ฉู่มองเขา ไม่พูดจาอยู่นาน
หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้นถามว่า “ทำไมหรือ ข้าพูดไม่ถูกต้องหรือ”
โสวฝู่ฉู่ส่ายหน้า พูดเสียงเบาว่า “ที่องค์รัชทายาทคาดเดามามีเหตุผลและการอ้างอิงมาก พระองค์โตแล้วจริงๆ”
เสียดาย เหมือนที่เขาพูดเมื่อครู่ไม่มีผิด หัวใจของคนเป่ยถังกระจายออกไปนานแล้ว ต้องการรวบรวมขึ้นมาใหม่ ไม่ได้อาศัยพระองค์แค่วันสองวันก็สำเร็จได้ ด้วยแรงของเขาเพียงคนเดียว คงจะต้องเหนื่อยตาย แต่ก็ป้องกันจิตใจที่ละโมบโลภมากราวกับน้ำที่ไหลบ่าไม่ได้