บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 967 ต้องรายงานเสด็จพ่อ
ฮูหยินเหยานิ่งอึ้งอยู่นาน อุ้มลูกสุนัขกลับไป นอกจากเก้าอี้ถูกทุบเสียหายไปสองตัว อย่างอื่นล้วนยังปกติ
เรื่องนี้นางเก็บเอาไว้ไม่พูดถึง และไม่ได้บอกให้หยวนชิงหลิงรู้ กลัวว่านางจะเป็นห่วง และเกรงว่าลูกๆจะเป็นห่วงด้วย
และในจวนอ๋องฉู่เอง ก็มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นนิดหน่อย
ช่วงนี้หยวนชิงหลิงปวดหัวและอึดอัดกับเรื่องของทะเลสาบจิ้งกับเรื่องของหงเย่เป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าทังหยวนเองช่วงนี้ก็ค่อนข้างเจ้าอารมณ์ ยังก่อเรื่องจนหนีออกจากบ้านไปหนหนึ่ง สองสามีภรรยาหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงย่อมจับตาอย่างแน่นหนาขึ้นมาบ้าง พาพวกเด็กๆออกไปข้างนอก นับว่าเป็นการท่องเที่ยวในครอบครัว
ฝาแฝดทั้งสองยังเล็กมาก จึงไม่ได้พาออกไปด้วย มอบหมายไว้ให้กับแม่นมทั้งสองและใต้เท้าทัง ฝาแฝดทั้งสองตั้งแต่เกิดมาก็เรียบร้อยมาก ไม่ร้องไห้ไม่งอแง กินแล้วก็นอน นอนตื่นแล้วก็กิน
ในการใช้ชีวิตหนึ่งเดือนเต็มๆของพวกเขา นอกจากกินนอนแล้วก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร แทบไม่ต้องกังวลใจอะไรเลยด้วยซ้ำ
ฉะนั้น ส่วนมากหลังจากแม่นมให้นมแล้ว ก็พาพวกเขาออกไปตากแดดที่ลานบ้าน ตากแดดครู่หนึ่งแล้วก็พากลับมานอนที่ห้อง
แต่ว่าวันนี้เพิ่งจะอุ้มไปถึงลานบ้าน เพราะเสือกำลังเล่นอยู่ในลานบ้าน แม่นมมองดูอยู่ชั่วครู่ พอหันหน้ามาอีกที ก็พบว่าฝาแฝดบนเตียงเล็กไม่อยู่แล้ว
แม่นมยังคิดว่าเป็นพวกแม่นมอุ้มไปแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจ เพราะก่อนหน้านี้แม่นมก็ทำเช่นนี้บ่อยๆ มีเวลาว่างก็มาอุ้มสองฝาแฝด ต้องทำงานแล้วจึงจะนำกลับมาวางให้นอนหลับ
แต่พอแม่นมกลับเข้าไปข้างในแล้วก็พบว่าแม่นมฉีกับแม่นมสี่กำลังพูดคุยกัน จึงถามขึ้นอย่างอึ้งตะลึงว่า “แม่นม ท่านไม่ได้อุ้มท่านชายมาหรอกหรือ”
แม่นมสี่หันหน้ากลับมามองนาง ถามอย่างประหลาดใจ “ไม่นี่นา ทำไมหรือ พวกท่านชายเล่า”
แม่นมตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “สวรรค์ ใครอุ้มไปแล้ว”
“ใครอุ้มไปเจ้าไม่รู้หรือ”แม่นมสี่ร้อนใจ เดินเข้าไปคว้ามือของนางลากตัวออกไปข้างนอก “ยังไม่รีบไปตามหาอีก”
ทันใดก็ตามหาท่านชายน้อยทั้งสองไปทั่วจวน คนในจวนต่างก็บอกว่าไม่เห็น ลู่หยาบอกว่าเห็นแม่นมพาท่านชายออกไป วางไว้บนเตียงเล็กบนลานบ้าน จากนั้นนางก็ไปทำงานของนาง ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นมีใครเข้าใกล้บ้าง
แม่นมสี่ตระหนกจนมือไม้สั่น “สวรรค์ มีคนแอบเข้ามาในจวนหรือไม่ ใต้เท้าทังเล่า รีบให้เขาไปถามที่คนเฝ้าประตูดู วันนี้มีใครเคยเข้ามาบ้าง”
ใต้เท้าทังรีบมาอย่างรวดเร็ว ได้ยินเรื่องนี้ก็กังวลใจมาก สองฝาแฝดไม่ใช่ทังหยวน ทังหยวนเดินได้วิ่งได้ สามารถออกจากบ้านไปได้ แต่สองฝาแฝดเพิ่งจะอายุเดือนกว่าเท่านั้น
หาจนทั่วจวนแล้ว และถามทุกคนที่อยู่ในจวนแล้วด้วย คนเฝ้าประตูแทบจะเอาศีรษะโขกกำแพงจนแตกแล้ว เอาแต่บอกว่าไม่มีใครเคยเข้ามา ในเมื่อไม่มีใครเข้ามา สองฝาแฝดไม่มีทางที่จะวิ่งออกไปเองได้แน่นอน แล้วหายไปไหน
ทังหยางรีบสั่งให้คนไปรายงานสวีอี ให้สวีอีไปหารัชทายาท ดีที่รัชทายาทไปยังสถานที่ที่ไม่ไกลนัก อยู่รอบนอกเมืองเท่านั้น
ทุกคนต่างก็ร้อนใจจนเหมือนมดในกระทะที่ถูกไฟลน หาอ๋องฉีให้ปิดประตูเมืองหลวง ตามหาให้ทั่วเมืองหลวง
และในวังนั้นในช่วงเวลากลางวันหากมีเวลาว่างฮ่องเต้หมิงหยวนจะพักผ่อนชั่วครู่ วันนี้เพิ่งจะเอนหลังลงในตำหนักตงหน่วน ยังไม่ทันหลับ ก็ได้ยินเสียงมู่หรูกงกงเข้ามาอย่างรีบร้อน สีหน้าขาวซีด “ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ เร็วเข้าเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรูกงกงรับใช้ฮ่องเต้หมิงหยวนมานาน ถ้าหากไม่มีเรื่องสำคัญจะไม่มารบกวนเวลาพักยามเที่ยงอย่างเด็ดขาด ฉะนั้นเมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินเสียงตื่นตระหนกของเขา ก็รีบลุกขึ้นมา “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ”
“ทรงดูที่โต๊ะทรงงานสิพ่ะย่ะค่ะ ……มีเด็กสองคน”มู่หรูกงกงตกใจแทบครองสติไม่อยู่ เขาจัดเก็บข้าวของอยู่ในห้องทรงพระอักษรอยู่ตลอด พอหันหน้ามาอีกที บนโต๊ะก็มีเด็กน้อยสองคนโผล่ขึ้นมา เขาไม่ได้ดูอย่างละเอียด ก็รีบร้องตะโกนขึ้น
ฮ่องเต้หมิงหยวนเลิกผ้าม่านเดินอย่างรวดเร็วออกไป เห็นเพียงบนโต๊ะมีห่อผ้าสองห่อวางเอาไว้ ในห่อผ้ามีเสียงของเด็กร้องไห้ของทารกดังขึ้นมา เขานิ่งอึ้ง เดินเข้าไปดูแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะทำตาโตพูดไม่ออก นี่มันหลานชายทั้งสองของเขามิใช่หรือ
“รัชทายาทเคยมาที่นี่หรือ”ฮ่องเต้หมิงหยวนถามมู่หรูกงกง
“ไม่พ่ะย่ะคะ ข้าน้อย อยู่ที่นี่ตลอด ไม่เคยเห็นใครเข้ามา เก็บกวาดชั้นวางของโบราณ พอ……หันหน้ากลับมาก็เห็นอยู่ที่นี่แล้ว”มู่หรูกงกงตกใจจนพูดจาแทบจะไม่ลื่นไหล
ฮ่องเต้หมิงหยวนอุ้มสองฝาแฝดขึ้นมาอย่างนิ่งงัน สองฝาแฝดราวกับได้รับการปลอบใจ ไม่ร้องไห้อีกแล้ว ดวงตาปิดลง นอนหลับไปอย่างสงบ
“ไปเชิญรัชทายาท”ฮ่องเต้รู้สึกประหลาดใจ เด็กๆไม่สามารถวิ่งออกมาเองได้ ต้องมีคนเข้าวังแล้วอุ้มเด็กมาด้วยแน่
หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงก็เข้าวังมารับสองฝาแฝด ทั้งสองทรงผมบิดเบี้ยว ห้อม้าด้วยความเร็วมาตลอดทาง กลับถึงจวนก็ได้ยินว่าลูกอยู่ในวัง
“เด็กมาได้อย่างไรกัน มู่หรูกงกงบอกว่าไม่เห็นใครเข้ามาในห้องทรงพระอักษรเลย”ฮ่องเต้หมิงหยวนมองสองสามีภรรยาอย่างสงสัย
ตอนที่มาหยวนชิงหลิงได้คิดข้อแก้ตัวไว้แล้ว พูดว่า “ลูกเป็นคนอุ้มมาเอง ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะเข้าวังเจ้าห้าก็ตามมาบอกว่าทังหยวนหนีออกจากบ้าน นี่จึงทำให้ ต้องเอาลูกมาวางไว้ที่พระองค์ คิดว่ามู่หรูกงกงจะช่วยดูได้บ้าง รีบร้อนออกไปตามหาทังหยวน มู่หรูกงกง ข้ายังเรียกท่านเสียงหนึ่ง ท่านไม่ได้ยินหรือ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองมู่หรูกงกงอย่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย มู่หรูกงกงสมองไม่ค่อยแจ่มใส อายุมากแล้วจริงๆ พระชายารัชทายาทมาเขาก็ไม่รู้ พูดด้วยเสียอ่อนๆว่า “เหมือน……เหมือนจะใช่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ไล่พวกเขาออกจากวังไป
สองสามีภรรยาอุ้มลูกเอาไว้ ออกไปด้วยสภาพตื่นตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ หยวนชิงหลิงได้แต่บอกว่าสองฝาแฝดก็มีพลังที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน หยู่เหวินเห้ารู้สึกปวดหัวมาก เพิ่งจะอายุเดือนกว่าก็รู้จักหนีออกจากบ้าน นี่มันถูกต้องซะที่ไหน
สองสามีภรรยาไม่กล้าจะคุยถึงปัญหานี้อย่างลึกซึ้ง ได้แต่ให้ซาลาเปาไปรายงานเรื่องสถานการณ์ของสองฝาแฝดให้ฟางหวูได้รับทราบ
ฮ่องเต้หมิงหยวนนึกถึงเรื่องที่ทังหยวนหนีออกจากบ้าน ก็รู้สึกสงสารหลาน กลางคืนจึงพูดคุยกับหวงกุ้ยเฟย หาเหตุผลสักข้อ จัดงานเลี้ยงให้ทุกคนได้เข้าวังรวมตัวกันสักครั้ง
เพราะเป็นการจัดงานเลี้ยงในครอบครัว ฉินเฟยจึงมาขอร้องต่อหน้าหวงกุ้ยเฟย ให้นางอนุญาตให้สองสามีภรรยาหยู่เหวินจุนเข้าวังด้วย
หวงกุ้ยเฟยลำบากใจมาก แม้ว่าหยู่เหวินจุนจะเป็นองค์ชายใหญ่ แต่ว่าฮ่องเต้เคยตรัสเอาไว้ ถ้าหากไม่มีรับสั่งก็ไม่อนุญาตให้เขาเข้าวัง แต่ว่าฉินเฟยก็วิงวอนขอร้อง รู้ว่าไม่สามารถตอบตกลงได้แต่ก็ไม่รู้จะปลอบใจฉินเฟยอย่างไร ได้แต่บอกกับนางว่า สามารถขอร้องให้นางได้ออกจากวังไปอยู่พร้อมหน้ากับองค์ชายใหญ่ได้หนึ่งวัน
ฉินเฟยแม้จะไม่สามารถให้ลูกชายเข้าวังได้ แต่สามารถออกไปพบสักครั้ง ก็นับว่าสมดังใจปรารถนาแล้ว
ที่สุดก็เป็นลูกชายบังเกิดเกล้าของตัวเอง แม้จะทำผิดเอาไว้มากมาย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป บวกกับอายุที่มากขึ้นตอนนี้ไม่ได้พบหน้า ที่สุดก็จะค่อยๆอภัยให้เอง
และแม้ว่าก่อนหน้านี้ฉินเฟยจะคิดว่าหยู่เหวินจุนนั้นไม่เอาไหน สำหรับเรื่องที่ทำผิดก็ไม่เคยจะตัดสินอะไร หยู่เหวินจุนมีชีวิตถึงขั้นนี้ คนที่นางกล่าวโทษมากที่สุดก็คือฮูหยินเหยา
ถ้าหากไม่ใช่เพราะนางหักหลังและทอดทั้งไปครานั้น หยู่เหวินจุนจะมีจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร
หวงกุ้ยเฟยยินดีจะออกหน้าให้ในเรื่องนี้ เพราะรู้ว่าแม้ว่าตอนนี้ฮ่องเต้ยังทรงโกรธหยู่เหวินจุนอยู่ แต่ว่าในใจไม่เคยทอดทิ้งลูกชายคนนี้มาก่อน เขาไม่มีทางไปพบหน้าแน่นอน เช่นนั้นฉินเฟยไปพบสักหน่อยก็ยังดี
เป็นอย่างที่คิด ฮ่องเต้ได้ยินคำขอร้องของหวงกุ้ยเฟย ก็พูดเสียงเรียบๆว่า “เรื่องในวังหลังไม่จำเป็นต้องมาถามข้า เจ้าจัดการก็พอ”
ฉินเฟยจึงนำคนขึ้นรถม้าออกจากวังไป แต่งตัวธรรมดาแอบมาเยี่ยมถึงในบ้าน
หยู่เหวินจุนไม่ได้พบหน้าฉินเฟยมานานมาก เดิมคิดว่าวาสนาในการเป็นแม่ลูกถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ชาตินี้คงไม่มีทางได้พบหน้ากันอีก ไหนเลยจะรู้ว่าเสด็จแม่จะมา สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้ขึ้นมาทันที
ฉู่หมิงหยางเข้ามาคำนับแม่สามี ฉินเฟยไม่ค่อยชอบนางนัก ได้แต่เย็นชาไม่สนใจ
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะฉู่หมิงหยางตั้งครรภ์จึงได้กลับมาอยู่ข้างกายหยู่เหวินจุนอีกครั้ง และนางก็ได้รับรู้จากปากของฮูหยินเหยามาแล้วว่าหยู่เหวินจุนให้กำเนิดทายาทไม่ได้อีกแล้ว รู้ถึงการหักหลังของนาง ไหนเลยจะยอมทำสีหน้าดีๆให้นางดู
สองแม่ลูกพูดคุยกัน ได้รู้ว่าหยู่เหวินจุนมือหัก และบอกว่าเขาถูกคนรังแก ก็โมโหมาก
ฉู่หมิงหยางนั่งฟังอยู่ข้างๆ เดิมทีนั้นไม่ค่อยพอใจในท่าทีที่ฉินเฟยมีต่อนาง ฉะนั้นจึงได้พูดเสียงเย็นชาว่า “รู้หรือไม่ถูกใครตีจนมือหัก เป็นชายชู้ของถงเหยาที่ลงมือ”
ฉินเฟยนิ่งอึ้ง “อะไรนะ ถงเหยามีคนรักแล้วหรือ”
ฉู่หมิงหยางพูดเสียงเย็น “อยู่ด้วยกันแล้ว”
ฉินเฟยหันไปมองหยู่เหวินจุนทันที “เป็นเรื่องจริงหรือ”
พูดถึงฮูหยินเหยา หยู่เหวินจุนก็มีแต่ไฟโทสะเต็มอก “หญิงชั่วช้าสารเลวคนนั้น อย่าพูดถึงอีกเลย พูดถึงแล้วลูกก็โมโหแทบทนไม่ไหว”
“นางยังเลี้ยงดูจวิ้นจู่อยู่ ทำไมจึงอยู่ร่วมกันกับชายชู้ได้ นี่ไม่เท่ากับทำให้ราชวงศ์เสียหายหรือ ไม่ได้ เรื่องนี้ข้าต้องรายงานเสด็จพ่อของเจ้า ”ฉินเฟยโมโหมาก เคยได้ยินมาว่าหญิงที่ถูกราชวงศ์ทอดทิ้งยังจะมีคนเอาหรือ ใครกันที่บังอาจถึงเช่นนี้