บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 214 การโจมตีจากสนามรบบรรพกาล
บทที่ 214 การโจมตีจากสนามรบบรรพกาล
ตรงห้าร้อยลี้ห่างจากชายแดนสนามรบบรรพกาล หุบเขามารโลหิต
ศิษย์สวมเครื่องแบบแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กลุ่มหนึ่งกำลังก้าวไปกลางหุบเขาอย่างระมัดระวัง
“ทุกคนระวังตัว หุบเขามารโลหิตเป็นทางผ่านเดียวที่จะเข้าไปวงในของสนามรบบรรพกาล บางทีอาจจะมีสิ่งชั่วร้ายซุ่มอยู่ก็ได้”
จางซานศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่เป็นผู้นำมีกลิ่นอายพลังแข็งแกร่งทั้งตัว
เขาอยู่สิบอันดับแรกในรายนามระดับสร้างฐานของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ มีศักยภาพในระดับพลังเดียวกันแข็งแกร่งมาก
ในความเป็นจริง ก่อนที่พวกเสิ่นเทียน จ้าวเฮ่าและกุ้ยกงกงจะเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ เขาอยู่อันดับสูงกว่านี้ กล่าวได้ว่าถ้าตัดฉินอวิ๋นตี๋ที่เปิดบัตรทองแล้ว ศิษย์ระดับสร้างฐานคนอื่นแทบไม่มีใครสู้เขาได้จริงๆ
เพียงแต่เมื่อเสิ่นเทียนเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็มาพร้อมกับกุ้ยกงกง จ้าวเฮ่าและฉินเกาด้วย เจ้าพวกนี้เป็นหน่ออ่อนเซียนที่ในกายมีอัสนีเทพกำเนิดฟ้า
หลังจากได้รับถ่ายทอดเคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรมจากแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ฝึกฝนพื้นฐานได้อย่างง่ายดาย
เมื่อมีวิชาอัสนีควบคู่กับอัสนีเทพกำเนิดฟ้า จึงทำให้ศักยภาพของหน่ออ่อนเซียนพวกนี้มีข้อได้เปรียบค่อนข้างมากในระดับสร้างฐาน
พวกเขาดูเหมือนไม่เตะตาเมื่ออยู่ข้างกายบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสิ่นเทียน เป็นเพียงตัวเสริมอันจืดชืดไร้ประกายแสง กระทั่งยังคุกเข่าเลียแข้งเลียขาประจบสอพลอ
แต่เมื่อวางไว้ในทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ วางไว้ในศิษย์ระดับสร้างฐานคนอื่น ทุกคนล้วนเป็นโอรสสวรรค์หน่ออ่อนเซียนที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด
โดยเฉพาะจ้าวเฮ่า ฉินเกาและกุ้ยกงกงสามคน เดิมทีมีมรดกคัมภีร์จักรพรรดิสุริยันส่วนหนึ่ง
จ้าวเฮ่าอาศัยอัคคีอรุณใต้ภายในกายกับเคล็ดกระบี่สุริยะฟ้าเก้าทิศ ก็แทบจะกวาดล้างระดับสร้างฐานทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้ ศักยภาพเป็นรองเพียงเสิ่นเทียนกับฉินอวิ๋นตี๋
ทางด้านฉินเกามาทีหลังแต่รุดหน้าไปก่อน หลังจากหลอมรวมของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานแล้วก็ทะลวงสร้างฐาน ฝึกฝนคัมภีร์มารสู่สุริยันจนเกือบถึงขั้นสูง
ใช้กระบี่ไวมือเดียวยิ่งใหญ่ในศิษย์สายตรง ศิษย์ระดับเดียวกันยากจะต้านเขาไว้ได้สามกระบี่
กระทั่งในฝ่ายนอกยังมีฉายาว่า ‘ฉินสามกระบี่’
ส่วนซ่งฟู้กุ้ย หลิวไท่อี่ เจินจื่อเจี่ย และสยงเหมิ่งก็อาศัยของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานกับเคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรมเพิ่มศักยภาพขึ้นมามาก ติดอันดับสามสิบคนแรกในรายนามระดับสร้างฐานของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์อย่างมั่นคง
การเข้ามาของพวกเขาทำให้ศิษย์ที่อยู่อันดับต้นๆ ถูกเบียดไปข้างหลัง
แต่ไม่มีศิษย์เทพสวรรค์คนใดคิดคับแค้นใจ เพราะสวัสดิการของพวกเขาดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว ตั้งแต่บุตรศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ปรากฏตัว ราคายันต์ระเบิดอัสนีในแดนศักดิ์สิทธิ์ลดฮวบ ถูกกว่าโลกข้างนอกมากกว่าครึ่งหนึ่ง
พวกศิษย์ใช้ยันต์ระเบิดอัสนีพวกนี้ออกไปฝึกฝน จึงมีความปลอดภัยขึ้นมากกว่าเดิม กระทั่งมีศิษย์บางคนซื้อยันต์ระเบิดอัสนีแทนสหาย ได้รายได้พิเศษไม่น้อย
ศิษย์ทุกคนจึงเลื่อมใสและสนับสนุนศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์คนใหม่จากใจจริง
‘เฮ้อ ไม่รู้ว่าศิษย์พี่อวิ๋นตี๋กับศิษย์พี่จ้าวตามบุตรศักดิ์สิทธิ์ไป ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว’
จางซานถอนหายใจอยู่ภายใน ‘ได้ยินศิษย์ในสำนักเล่าลือว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นบุตรแห่งโชคที่มีสวรรค์พิทักษ์ แค่เดินๆ ไปก็เจอมหาโชคลิขิตแล้ว
น่าแค้นใจนักที่ข้าจางซานไม่แข็งแกร่งพอ! ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพหรือทักษะการประจบ ก็สู้พวกศิษย์พี่ฉินกับศิษย์พี่ซ่งไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นบางทีบุตรศักดิ์สิทธิ์อาจจะพิจารณาพาข้าไปร่วมฝึกด้วย คิดแล้วน่าอิจฉาชะมัด!’
จางซานไม่ได้บอกความเสียดายในใจกับคนอื่น แต่เขารู้ว่าทุกคนที่นี่ก็คิดเช่นนี้
เพราะตอนนี้ศิษย์ทุกคนบนสนามรบบรรพกาลล้วนเป็นผู้โดดเด่นในระดับสร้างฐานของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ แม้จะเป็นผู้โดดเด่นแบบรุ่นห้าปี แต่แบบรุ่นนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นอัจฉริยะหรือ
ศิษย์เทพสวรรค์พวกนี้ไม่ว่าใครไปอยู่สำนักใดล้วนเป็นหัวใจสำคัญทั้งนั้น!
ยิ่งมีพรสวรรค์กับศักยภาพเหนือกว่าคนธรรมดามากเท่าไร ก็ยิ่งได้สัมผัสกับความลึกลับไม่อาจคาดเดากับความเหนือชั้นของบุตรศักดิ์สิทธิ์มากเท่านั้น
ในช่วงที่เข้ากลุ่มสวรรค์พิทักษ์มา เสน่ห์และแรงส่งผลกระทบเฉพาะตัวของบุตรศักดิ์สิทธิ์กำราบพวกเขาอย่างอยู่หมัดแล้ว
ถึงอย่างไรก็ไม่มีศิษย์หญิงคนใดต้านรอยยิ้มของเสิ่นเทียนได้
และไม่มีศิษย์ชายคนใดต้าน…ข้อเสนอลดราคายันต์ระเบิดอัสนีสี่ส่วนได้
เพียงแค่เข้ากลุ่มสวรรค์พิทักษ์ก็มีสวัสดิการน่าเหลือเชื่อเช่นนี้แล้ว ถ้าติดตามข้างกายบุตรศักดิ์สิทธิ์จะไม่สุดยอดกว่านี้หรือ
ในดวงตาจางซานเต็มไปด้วยความเฝ้าใฝ่ฝัน สนามรบบรรพกาลมีโชคลิขิตไร้ขีดจำกัด ตอนนี้บุตรศักดิ์สิทธิ์กับพวกศิษย์พี่ต้องได้ของมาเต็มชามแล้วกระมัง!
อิจฉาพวกศิษย์พี่ซ่งกับศิษย์พี่หลิวจริงๆ
ดังคำกล่าวว่า ‘ประจบบุตรศักดิ์สิทธิ์ให้ดี โชคลิขิตไม่หนีไปไหน’ ชนะอย่างขาดลอยเลย!
ซี้ด~!
จะคิดไม่ได้ คิดแล้วจะเปรี้ยวจนฟันร่วง!
จางซานทำหน้าขมขื่น เขาหยิบของเหลวสีขาวขวดเล็กออกมาจากแหวนเก็บของ
“ศิษย์ทุกคนเพิ่มการระวังตัว หากมีอันตรายแจ้งสหายทันที เตรียมของเหลวศักดิ์สิทธิ์รอฟังคำสั่ง!”
ศิษย์เทพสวรรค์สิบคนเดินเข้าไปในหุบเขามารโลหิตอย่างระมัดระวัง ในมือกำยันต์ระเบิดอัสนีหยินหยางหลายแผ่น
จากประสบการณ์การฝึกฝนในสนามรบบรรพกาลทุกครั้ง หุบเขามารโลหิตจะต้องมีวิญญาณร้ายระดับแก่นพลังทองอยู่ตัวถึงสองตัว
ผู้โดดเด่นในระดับสร้างฐานสิบคนร่วมมือกันรับมือกับวิญญาณร้ายระดับแก่นพลังทองพวกนี้ไม่ยาก แต่ก็ต้องระวังเช่นกัน
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีระดับสูงกว่าหนึ่งขั้นใหญ่ๆ!
จางซานพาพวกศิษย์น้องเดินอยู่ในหุบเขามารโลหิตทีละก้าว เตรียมพร้อมรับมือตลอดเวลา
ช่วงที่ทุกคนเดินมาถึงใจกลางหุบเขานั้นพลันมีไอโลหิตอบอวลมา กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นโชยเข้ามา
“มารโลหิต ทุกคนระวัง!”
ก่อนที่จะเข้ามาในสนามรบบรรพกาลนั้น ศิษย์ทุกคนได้อ่านกลยุทธ์การฝึกฝนอย่างละเอียดมาแล้ว
จางซานตะโกนเสียงดัง “ศิษย์น้องทุกคนวาง ‘ค่ายกลกระบี่ปราบมารเทพสวรรค์’!”
ต้องบอกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ ศักยภาพของศิษย์จึงสูงมาก
หลังจากจางซานออกคำสั่ง กระบี่ยาวในมือศิษย์ทุกคนก็พุ่งออกไปพร้อมกัน วนเวียนรอบตัวทุกคน
แสงเทพที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อขยับประกายบนกระบี่ยาวสิบเล่ม ก่อขึ้นเป็นปราการป้องกันรางๆ ปกป้องศิษย์ทุกคนไว้ในนั้น
กลิ่นคาวเลือดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงฝีเท้าดังขึ้นในหูทุกคนอย่างชัดเจน
ไม่นานก็มีมารโลหิตยักษ์สูงสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งปรากฏตรงหน้าทุกคน
ทุกส่วนของมันรวมขึ้นจากโลหิตสีแดงเข้ม มีเพียงส่วนศีรษะที่สวมหมวกเกราะสีแดงเหมือนกับเกราะกระดูก
ตอนที่มันปรากฏตัวในหุบเขามารโลหิตนั้น ใจของจางซานดำดิ่งลง เพราะเขารู้สึกถึงอำนาจคุกคามรุนแรง
นี่…นี่ไม่ใช่อำนาจคุกคามของวิญญาณมรณะระดับแก่งพลังทองเลย!
“นี่มันวิญญาณมรณะเทียบเท่าระดับดวงจิตดรุณ!”
จางซานหน้าเปลี่ยนไป “เราสู้มันไม่ได้เลย โจมตียันต์ระเบิดอัสนีทั้งหมดใส่มันให้มันถอยไป แล้วก็แยกกันหนี!”
ต้องบอกว่าจางซานมีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่สูงมาก ไม่ได้โดนความกลัวขึ้นสมองเลย
และการสั่งการของเขาก็ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ได้สติกลับมาทันที!
ฟุบ~!
ฟุบๆๆ~!
ฟุบๆๆๆ~!
ยันต์ระเบิดอัสนีหยินหยางพุ่งใส่มารโลหิตทีละแผ่นๆ ระเบิดลงบนผิวกายมารโลหิต
ทว่าพวกเขาก็ยังไม่ใช่ฉินอวิ๋นตี๋ที่เคยเรียนทักษะการระเบิดมาโดยเฉพาะ อานุภาพของยันต์ทุกแผ่นจึงกระจัดกระจายไป
ยันต์ทุกแผ่นระเบิดแล้วยังทำได้แค่ให้มารโลหิตเดินหน้ามาช้าลงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้โลหิตบนผิวกายมันเกิดคลื่นกระเพื่อม ทำอะไรมันไม่ได้เลย
ไม่นาน ยันต์ก็หมดทุกแผ่น
และตอนนี้ มารโลหิตตามหลังศิษย์เทพสวรรค์พวกนั้นมาแล้ว
ก่อนจะเห็นว่ามารโลหิตนั้นตบใส่พื้น แผ่นดินสีโลหิตในตอนแรกพลันเกิดคลื่นเบาๆ เหมือนกับผิวทะเลสาบและบึงน้ำ
แผ่นดินสีโลหิตหมุนวนดั่งน้ำวน พวกลูกศิษย์ที่กำลังหนีถูกตรึงเอาไว้ พวกเขาเข้าไปใกล้น้ำวนสีโลหิตมากขึ้นเรื่อยๆ โดนพลังงานสีโลหิตนั้นดูดเข้ามาตลอด
“บัดซบ เหตุใดหุบเขามารโลหิตถึงมีสัตว์ประหลาดระดับดวงจิตดรุณกัน!”
“ไม่ใช่การฝึกฝนระดับสร้างฐานรึ มีวิญญาณมรณะแข็งแกร่งขนาดนี้มันจะเกินไปแล้ว!”
“ตามหลักช่วงเวลาพิเศษทุกห้าปีแล้ว ปีศาจระดับดวงจิตดรุณขึ้นไปน่าจะเดินทางไปเขตใจกลางสนามรบต่างหาก!”
“ศิษย์พี่ ใช่ ศิษย์พี่! ทุกคนใช้ป้ายคำสั่งแจ้งขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์! ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นสุดยอดโอรสสวรรค์ จะต้องมีวิธีสังหารไอ้เดรัจฉานนี่แน่!”
ศิษย์เทพสวรรค์ทุกคนจมหายไปกลางพื้นดินสีโลหิตแห่งนี้ท่ามกลางเสียงดิ้นรนร้องขอ
ทั้งหุบเขามารโลหิตกลับมาเงียบสงบดังเดิมอีกครั้ง มีเพียงมารโลหิตยักษ์นั้นเดินมาช้าๆ และหายเข้าไปกลางหุบเขา
มีคนชุดคลุมดำหกคนเดินออกมาจากเงามืดช้าๆ
พวกเขาทุกคนสวมหน้ากากแบบพิเศษ บดบังกลิ่นอายพลังในตัวได้
และตรงแขนเสื้อพวกเขายังปักแยกกันเป็นคำว่า ‘ทอง’ ‘ไม้’ ‘น้ำ’ ‘ไฟ’ ‘ดิน’ และ ‘ประมุข’
“ทางเข้าหุบเขานี้เป็นจุดล่าเหยื่อที่เหมาะสมที่สุดจริงๆ องค์ชายท่านหลักแหลมจริงๆ ข้าเฮยมู่นับถือๆ! รวมกันครั้งนี้ เราน่าจะจับกลุ่มฝึกฝนได้เจ็ดกลุ่มแล้ว! องค์ชายองอาจห้าวหาญเป็นหนึ่งขอรับ!
แต่ว่าองค์ชาย เหตุใดเราไม่ขวางไว้ล่ะ เหตุใดถึงปล่อยให้เจ้าพวกนี้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือกัน”
คนที่ปักตรงแขนเสื้อว่า ‘ประมุข’ เอ่ยเนิบนาบ น้ำเสียงยังหนุ่มมาก แต่กลับมีความรู้สึกเย็นเยือก “ข้ามีแผนของข้า ข้าตรวจสอบมาแล้วว่าการแข่งขันครั้งนี้มีสมาชิกสำคัญอยู่หลายคน คือบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสิ่นเทียน ศิษย์สายตรงแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกเซียวหลิง แล้วก็ศิษย์สายตรงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ฉินอวิ๋นตี๋กับจ้าวเฮ่า
ถึงพวกเขาจะเป็นเพียงระดับสร้างฐาน แต่มีสมบัติในตัวมากกว่าระดับดวงจิตดรุณอีก! โดยเฉพาะเสิ่นเทียน ได้ยินว่าเขามีของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานจำนวนมาก คนเดียวต้านโอรสสวรรค์ได้เป็นร้อยเป็นพันคน!”
เฮยหยวนถอดหน้ากากออกมาเลียริมฝีปาก ก่อนจะสวมหน้ากากกลับเข้าไปใหม่
เขาลิ้มรสบรรยากาศ และยังถือโอกาสทำให้ปากชุ่มด้วย ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าจับเขาไว้ได้ แผนการของเราจะมีโอกาสสำเร็จเพิ่มขึ้นอย่างมาก!
ที่ข้าปล่อยมารโลหิตออกมาโจมตีแค่ตัวเดียวก็เพื่อให้โอรสสวรรค์จากแดนศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นคิดว่ามีโอกาสช่วย! ดังนั้น ไม่ต้องห่วงหรอกว่าเสิ่นเทียนจะไม่มาช่วยสหายและติดแหเรา ถึงตอนนั้นก็เป็นเวลาเก็บแห!
ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวแหวกหญ้าให้งูตื่น คิดหรือว่าโอรสสวรรค์เผ่าปักษาพวกนั้นจะหนีรอดไปได้!”
เฮยหยวนเพิ่งเอ่ยจบก็ได้ยินคนชุดคลุมดำห้าคนข้างๆ เอ่ยชมไม่ขาดปาก
“สุดยอด สมกับเป็นองค์ชาย คาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำจริงๆ!”
“หากครั้งนี้องค์ชายได้สมบัติสุดยอดนั้น ก็จะมีอนาคตไร้ขีดจำกัดแล้ว!”
“องค์ชาย อนาคตของเราพี่น้องห้าคนต้องหวังพึ่งองค์ชายแล้ว!”
เป็นพวกประจบเก่งอีกพวก ประจบจนเด็กหนุ่มนามว่าเฮยหยวนยังรู้สึกตัวลอยขึ้นฟ้า
เขาแบมือด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนล้วนเป็นเสาหลักของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ขอแค่ภักดีกับข้า ภายภาคหน้าย่อมมีผลประโยชน์มาให้ทุกคนไม่น้อยแน่”
ทันใดนั้นเฮยหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปอีกด้านของหุบเขามารโลหิต “มีคนมาแล้ว!”
หกคนรีบซ่อนในเงามืด จ้องเส้นทางของหุบเขามารโลหิตอย่างระวัง
พบว่ามีชายคนหนึ่งอยู่กลางแสงสว่างสีทอง มองเห็นไม่ชัดว่าใส่อาภรณ์หรือไม่โผล่มากลางหุบเขามารโลหิต
ข้างหลังเขามีปีกสีทอง กำลังกระพือปีกไม่หยุด มองแวบแรกก็รู้ว่าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์
เฮยหยวนแสยะยิ้มอยู่ในเงามืด “ที่แท้ก็เจ้าหนูนี่เอง ทั้งยังมาคนเดียวอีก!
เหอะๆๆ ใครใช้ให้เจ้ามาฆ่าสัตว์เลี้ยงของข้ากัน เจ้าซวยแล้ว!”
……………………………………………..