บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 289-3 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3)
- Home
- บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน
- บทที่ 289-3 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3)
บทที่ 289 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3)
ใต้ยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ฉีเซ่าเสวียนกำหมัดช้าๆ จนแน่น
เขาเลือกมรดกวิชาห้าดาวกับหกดาวในหอคอยเทพสงครามเสร็จแล้ว แต่ภายในใจก็ยังไม่ยอม เขามักจะรู้สึกว่าด่านในหอคอยเทพสงครามมีอะไรผิดปกติ
เห็นๆ อยู่ว่าครั้งแรกกับครั้งที่สองที่ตนสู้กับเสิ่นเทียน มีพลังสูสียากจะตัดสินสูงต่ำได้แท้ๆ แต่เหตุใดครั้งที่สามเขาถึงถูกสังหารในพริบตา!
ต่อให้เสิ่นเทียนเรียนมรดกวิชาเจ็ดดาวอะไรมาจริง แต่ฉีเซ่าเสวียนก็รู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่เขาพ่ายแพ้
เขารู้สึกว่าร่างเงาเสิ่นเทียนในการประลองครั้งที่สาม มีศักยภาพพื้นฐานเหนือกว่าครั้งที่หนึ่งกับสอง
ใช่ ฉีเซ่าเสวียนสงสัยว่าหอคอยเทพสงครามจงใจปรับเปลี่ยนข้อมูลเพิ่มกำลังรบให้ร่างเงาเสิ่นเทียนเพื่อหลอกเอาแปดหมื่นแต้มเทพสงครามของเขา!
ไม่เช่นนั้นแซ่ฉีจะแพ้ได้อย่างไร!
“วันนี้ไม่ว่าอย่างไร แซ่ฉีจะต้องต่อสู้จริงอย่างยุติธรรมกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สักครั้งให้ได้!”
ฉีเซ่าเสวียนสูดลมหายใจเข้าลึก สวมหน้ากากอำพรางพลังเงียบๆ
เขาจะบุกยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ยามวิกาลและสู้กับเสิ่นเทียนสักครั้ง
ส่วนเหตุใดถึงไม่บุกไปท้าประลองอย่างโจ่งแจ้ง เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะเขาไม่อยากเรียกท่านปู่น้อย
แอบเข้าไปสู้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ เอาชนะได้ก็จะเปิดโปงหอคอยเทพสงครามได้
หากไม่ชนะ…จะคิดมากขนาดนั้นเพื่ออะไร อย่างมากก็แค่ถูกทุบตีสักยก!
ดีเลวอย่างไรแซ่ฉีก็เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง สู้แพ้คงไม่ถูกสังหารหรอกกระมัง
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉีเซ่าเสวียนก็แอบย่องไปยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์
ปกติยอดค่ายกลพิทักษ์ของยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้เปิดไว้ ถึงอย่างไรเสิ่นเทียนก็เป็นผู้ข้ามมิติมา มีคุณธรรมอันดีงามในเรื่อง ‘ประหยัดและอดออม’
ประกอบกับฉีเซ่าเสวียนเป็นผู้มีแก่นพลังทองสิบรอบ กำลังรบแท้จริงเหนือกว่าผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณธรรมดาไปไกลมาก อีกทั้งเหล่าชนชั้นสูงของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่แท้จริงยังขี้เกียจดูแล ไม่นานเขาจึงขึ้นมาถึงยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้
ไม่ช้าเขาก็เห็นเสิ่นเทียนอยู่หน้ายอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์
ตอนนี้เสิ่นเทียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินตระหนักรู้ ฝ่ามือฝ่าเท้าและใบหน้าแหงนขึ้นฟ้าพลางดูดซับพลังวิญญาณ
พลังวิญญาณทั้งยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์หมุนม้วนอย่างบ้าคลั่งตามการหายใจของเสิ่นเทียน ก่อเป็นกระแสพลังวิญญาณรุนแรงขึ้นรางๆ
‘นี่มันสัตว์ประหลาดหรือ ดูดซับครั้งเดียวไฉนถึงดูดพลังวิญญาณมหาศาลเช่นนี้’
ฉีเซ่าเสวียนเบิกตาโต สารภาพตามตรง เขาสงสัยในชีวิตตนนิดๆ แล้ว
ถึงอย่างไรก็เป็นระดับแก่นพลังทองเหมือนกันแท้ๆ เสิ่นเทียนจะโกงเกินไปแล้ว
……
‘ไม่เป็นไร แค่ดูดซับพลังวิญญาณเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงศักยภาพทั้งหมด’
ฉีเซ่าเสวียนปลอบใจตัวเองตามสิ่งที่ตัวเองคิด ก่อนจะเข้าไปใกล้เสิ่นเทียนอย่างเงียบเชียบต่อ
ห่างไปพันก้าว
ห่างไปห้าร้อยก้าว
ห่างไปร้อยก้าว
ฉีเซ่าเสวียนเก็บง้าวมังกรสวรรค์ไปแล้ว เปลี่ยนเป็นหอกยาวแทน
เขาเตรียมพร้อมจู่โจม ให้บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ทันระวังตัว และต้องสำแดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาตามจิตใต้สำนึก!
ทว่าตอนนี้เอง ฉีเซ่าเสวียนพบเรื่องน่าตกใจคือร่างเสิ่นเทียนหายไปตรงหน้าเขา
ไม่ใช่ ไม่ได้หายไปตรงหน้าเขา น่าจะบอกว่าหายไปจากโลกนี้มากกว่า
ปกติผู้ฝึกบำเพ็ญจะใช้พลังจิตกำหนดเป้าอีกฝ่ายไว้ จากนั้นจึงค่อยโจมตี
แต่ตอนนี้ฉีเซ่าเสวียนพบว่าพลังจิตของตนไม่อาจจับตัวเสิ่นเทียนได้เลย อีกฝ่ายเหมือนหนีเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง
ยังอยู่บนยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์แท้ๆ แต่กลับเหมือนเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า หมื่นวิชาไม่อาจทำอะไรได้
‘เกิดอะไรขึ้น หรือว่าข้าจะถูกพบตัวแล้ว’
ฉีเซ่าเสวียนมีสีหน้าจริงจังเล็กน้อย พลังฤทธิ์ทั่วร่างหลั่งทะลักออกมาในทันใด ทว่าช่วงที่ฉีเซ่าเสวียนเตรียมจะตัดไฟแต่ต้นลมนั้น เสิ่นเทียนที่นั่งขัดสมาธิบนหินตระหนักรู้ขยับเขยื้อนแล้ว
เขาหลับตาเล็กน้อย เหมือนยังอยู่ในการตระหนักรู้อันลึกลับยิ่ง ทุกอย่างในโลกไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ในมือเขาปรากฏกระบี่ยาวสีโลหิตเล่มหนึ่ง ขณะที่แสงสว่างไหลเวียน ยังเหมือนมีไอสังหารไม่มีที่สิ้นสุดวนเวียนอยู่ แต่กลับไม่ได้ระบายออกมาข้างนอกแม้แต่น้อย
เสิ่นเทียนกำลังร่ายรำกระบี่ ท่วงท่างดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ประหนึ่งเซียนกระบี่บนฟ้าลงมาเยือนโลกมนุษย์
ท่วงท่ากระบี่ของเขาไม่ยึดกรอบตายตัว ดูเหมือนไม่มีลำดับขั้นตอน แต่ก็เหมือนดีงามถึงขีดสุด
พลังกระบี่ของเขาเงียบสงบ ไม่มีอำนาจปราณกระบี่ใดๆ กระทั่งตอนกวัดแกว่งกระบี่ยังไม่มีเสียงทะลวงสายลม
วิชากระบี่นี้เหมือนกับการร่ายรำลอยล่องเหนือธรรมดา ไม่มีพลังสังหารใดๆ แต่กลับซ่อนการเปลี่ยนแปลงหลากหลายไว้ มีการเปลี่ยนแปลงครอบจักรวาล
ฉีเซ่าเสวียนดูแล้วไม่เข้าใจ
ไม่ใช่แค่ไม่เข้าใจ ถึงขนาดจำกระบวนท่านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกับที่เสิ่นเทียนร่ายรำกระบี่ ก็เหมือนจะตัดความทรงจำเกี่ยวกับวิชากระบี่นี้ของฉีเซ่าเสวียนไปด้วย
เขาเห็นเสิ่นเทียนร่ายรำหลายร้อยกระบี่ แต่ในหัวกลับไม่มีท่วงท่าหลงเหลืออยู่เลย รู้แค่ว่าวิชากระบี่พวกนั้นเหมือนจะยอดเยี่ยมมาก
……..
เสิ่นเทียนรำกระบี่เร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นทุกที
เมื่อกระบวนท่ากระบี่รวดเร็วขึ้น พลังกระบี่หลายร้อยครั้งนั้นเหมือนจะค่อยๆ ลดลง
หลายร้อยท่า
หนึ่งร้อยท่า
หลายสิบท่า
สิบกว่าท่า
แต่เมื่อกระบวนท่าลดน้อยลง วิชากระบี่นี้ยิ่งเร็วขึ้น เบาขึ้น เหมือนเซียนจากบนฟ้าร่ายรำกระบี่ กระทั่งกระบี่ยาวสีโลหิตนั้น ตอนนี้ยังแฝงประกายเซียนอ่อนๆ ไม่มีไอสังหารใดอีก
ทว่าในใจฉีเซ่าเสวียนตอนนี้กลับยิ่งหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ
เขามักรู้สึกว่าวิชากระบี่ที่ดูเหมือนอ่อนช้อยยิ่งนั้นแฝงไว้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นเอง เสิ่นเทียนที่เดิมทีร่ายรำกระบี่อย่างเฉยชาก็หมุนตัวกลับมา
เขามองฉีเซ่าเสวียน ขณะเดียวกันกระบวนท่ากระบี่ทั้งหมดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
ฟุบ!
ตอนนี้เสิ่นเทียนหายไปจากสายตาฉีเซ่าเสวียน แทนที่ด้วยแสงกระบี่ที่มีไอเซียนปกคลุมหนาทึบเล่มหนึ่ง
แสงสว่างของมันส่องสว่างจากโบราณกาล เหมือนไหลผ่านลงมาจากธารน้ำแห่งกาลเวลา ข้ามผ่านจากโบราณมาถึงปัจจุบัน
ราวกับการควบคุมวงจรหนึ่งในกาลเวลา ตัดขาดเหตุผลและโชคชะตา
ทันใดนั้น ฉีเซ่าเสวียนเงยหน้าขึ้นช้าๆ
เขารู้สึกว่าดวงจันทร์เหนือสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเหมือนจะแตกออก
รอยกระบี่สายหนึ่งลากผ่าน ไม่ใช่แค่ดวงจันทร์ แม้แต่ผืนฟ้ายังถูกแบ่งครึ่งไปด้วย
ฉีเซ่าเสวียนเหมือนเห็นเงาของเซียนร่างหนึ่งรางๆ มาพร้อมกับความรุ่งโรจน์สูงสุดในฟ้าดิน
เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่นี้ กระทั่งฉีเซ่าเสวียนยังไม่เกิดความคิดต่อต้าน เพราะเขารู้สึกว่านี่คือการดูหมิ่นต่อเซียนแท้จริง!
ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ!
พริบตาเดียว ตรงหน้าฉีเซ่าเสวียนเหลือเพียงประกายเซียน นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดอีก
ในความคิดของเขาเหลือเพียงความคิดเดียวว่า ‘ข้า…จะตายหรือ’
…..
ชั่ววินาทีนั้นเหมือนยาวนานหลายสิบปี
จนเมื่อประกายเซียนหายไปทั้งหมด ฉีเซ่าเสวียนพบว่าตนไม่บาดเจ็บใดๆ ทว่าตรงหน้าเขากลับมีบุรุษชุดคลุมม่วงคนหนึ่งยืนอยู่ ตอนนี้แขนขวาลามไปถึงหัวไหล่ขาด โลหิตสาดกระจายไปเจ็ดก้าว
“อะ อาจารย์อาจื่อเสวียน!”
ฉีเซ่าเสวียนม่านตาหดลง ตอนนี้คนที่ขวางอยู่ตรงหน้าเขาคือผู้สูงศักดิ์สวรรค์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง หรือก็คือหนึ่งในองครักษ์ของฉีเซ่าเสวียน
ในฐานะเจ้าของหนึ่งยอดเขาในแดนสิทธิ์เคหาสน์ม่วง ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนมีพลังระดับหลอมรวมเทพ มองไปทั้งดินแดนบูรพาถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอด
ทว่าตอนนี้ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนกลับถูกฟันแขนขาดข้างหนึ่ง จะสร้างความตื่นตกใจให้ฉีเซ่าเสวียนเพียงใด แค่คิดก็รู้แล้ว
“เสิ่นเทียนเขา ฟันแขนขวาอาจารย์อาขาด!”
ฉีเซ่าเสวียนเหม่อมองเสิ่นเทียน ภายในใจรู้สึกห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง จิตต่อสู้ของเขาหายไปทั้งหมด เพราะอยู่คนละระดับกันแล้ว
ถ้าฉีเซ่าเสวียนทุ่มสุดกำลัง ก็มีโอกาสห้าส่วนที่จะหนีจากเงื้อมมือของผู้สูงศักดิ์สวรรค์ระดับหลอมรวมเทพได้ นี่ทำให้เขาภาคภูมิใจแล้ว ทว่ากระบี่เมื่อครู่ของเสิ่นเทียน กลับฟันแขนขวาของผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนขาด
ความต่างระหว่างสองคนราวกับเมฆและดินเลน
ฉีเซ่าเสวียนคุกเข่าลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ถอดหน้ากากออก พูดงึมงำกับตัวเองว่า “แซ่ฉี…แพ้แล้ว”
‘ครั้งนี้เซ่าเสวียน แพ้แล้วจริงๆ’
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนตกตะลึงในใจไม่น้อยไปกว่าฉีเซ่าเสวียน เพราะไม่มีใครเข้าใจความน่าสะพรึงกลัวของกระบี่เมื่อครู่ดีไปกว่าเขา
กระบี่นั้นไม่ใช่แค่อาวุธอริยะเลย อย่างน้อยก็ระดับอาวุธเตรียมเซียน มีไอสังหารที่น่ากลัวที่สุดในฟ้าดิน
ทว่าเทียบกับวิชากระบี่ส่องแสงเรืองรองที่สุดแห่งยุคนั้นแล้ว ต่อให้เป็นกระบี่สังหารก็ยังไม่เพียงพอ
เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเสิ่นเทียนเหมือนสังเกตเห็นบางอย่างและหันเหคมกระบี่ทันละก็ บางทีเขาอาจไม่ได้แขนขาด แต่เป็นศีรษะขาดแทน
กระทั่งตอนนี้กระบวนท่ากระบี่สลายไปแล้ว เจตจำนงกระบี่ในแขนที่ขาดก็ยังคงวนเวียนประหนึ่งตัวอ่อนแมลงวันชอนไช ทำให้จื่อเสวียนรักษาบาดแผลได้ยากยิ่ง
การจะต่อแขนขวากลับมายากเสียยิ่งกว่ายาก
เขาถอนหายใจ “บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คือสุดยอดอัจฉริยะจริงๆ กระบี่นี้ ทำให้นักกระบี่ใต้หล้าหน้าถอดสีทั้งหมด”
……
ในที่สุดเสิ่นเทียนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ
จิตสำนึกของเขาราวตื่นจากการตระหนักรู้ และเหมือนตื่นครั้งแรกหลังจากความฝันครั้งใหญ่
…………………….