บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1051
บทที่ 1051 บวงสรวงทะเลเพลิง
เสียงปลาไม้(เครื่องดนตรีทางสงฆ์ชนิดหนึ่ง)ดังระงม ส่วนที่เหลือมีเพียงเสียงลมหายใจ
นี่คือครั้งที่สองที่ซ่านจินจื๋อเหยียบย่างเข้ามาในเรือนของเสด็จแม่
เขาไม่สามารถให้อภัยเสด็จแม่ที่เห็นลูกชายทั้งสองเป็นหมากเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวได้ และยิ่งไม่สามารถทนเห็นนางกำจัดจุดอ่อนที่ชื่อยู่จุนและหยูนซีโดยตรงเพราะอยากให้ซ่านต้วนโฉงไม่มีจุดอ่อนอีกต่อไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางเชื่ออยู่เสมอว่าตนไร้ความผิด แม้ว่าสองมือเปื้อนเลือด โป้ปดเป็นนิตย์ แต่ยังกล้ายืนอธิษฐานขอพรต่อหน้าพระพุทธรูป
ไทเฮาดูเหมือนสัมผัสได้ถึงการมาของลูกชายอันเป็นที่รักเพียงคนเดียว นั่งอยู่บนผ้าอาสนะแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“มีเรื่องอันใด”
คำพูดราบเรียบ ซ่านจินจื๋อกลับได้ยินความคับแค้นใจเสี้ยวหนึ่งแฝงอยู่ในนั้น
เขาโบกแขนเสื้อก้าวไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว ไม่เหลือบตามองมารดาคนนี้ ทำเพียงยืนมือไพล่หลังมองพระพุทธรูปเบื้องหน้า อาภรณ์แพรไหมทั้งกายดูหม่นราศีเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปทองคำบริสุทธิ์รูปนี้ มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ส่องประกายราวกับสะท้อนแสงพระพุทธรูป เกิดแสงเรืองรองสว่างไสว “เสด็จแม่บอกตงฟางซวนเอ๋อถึงเส้นทางลับในวังแห่งนั้น?”
ไทเฮากลับทำเพียงหัวเราะหยันเสียงเห็นหนึ่งครา “เหตุใดข้าต้องบอกคนของตระกูลตงฟางด้วย ข้าไม่เคยเป็นฮองเฮา แต่ข้าเป็นคนเหนือหัวฮ่องเต้ พวกกระจ้อยเช่นนี้ยังจะรู้อะไรจากปากข้าได้”
ซ่านจินจื๋อมองไปทางเสด็จแม่ที่เส้นผมเริ่มหงอกขาวด้วยสีหน้าซับซ้อน กลับเหมือนกำลังดูคนโกหกที่ทำความผิดร้ายแรงคนหนึ่ง “ท่านสังหารหยูนซีไปแล้ว ทอดทิ้งลูกสองคนของนาง ยามนี้ท่านยังคิดจะให้ลูกทอดทิ้งนางอีกหรือ”
“หายนะเกิดจากสาวงาม ข้าเลี้ยงดูพวกเจ้าสองคนจนเติบใหญ่เพื่อให้พวกเจ้าลุ่มหลงมัวเมากับความงามงั้นรึ” ไทเฮายืนขึ้นจากผ้าอาสนะทันควัน ข้างกายปราศจากกุ้ยมามาคอยพยุงแล้ว นางได้แต่ซวนเซก่อนทรงตัวมั่น ชี้ปลายจมูกซ่านจินจื๋อพลางสั่นน้อยๆ “พวกเจ้าเกิดมาก็เป็นลูกหลานราชวงศ์ เกิดมาก็ต้องต่อสู้กับพี่น้องแล้ว!”
“แต่ข้าไม่อยาก…”
“เจ้าไม่อยากแล้วทำอันใดได้” ไทเฮาจ้องอย่างพิโรธ ซ่านจินจื๋อที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของนางก็เป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเสมอ “ชาวโลกเหยียบย่างบนผืนแผ่นดิน แต่พระราชวังใหญ่โต เทียนเหยียนอันรุ่งเรืองแห่งนี้กลับเป็นกรงขังพวกเจ้า มีแต่พวกเจ้าต้องรับผิดชอบ ละทิ้งความรักความรู้สึก จึงจะปีนขึ้นสู่ตำแหน่งสูงๆ และหลุดพ้นออกไปได้!”
“ข้าก็แค่กำลังสั่งสอนพวกเจ้า ใช้ชีวิตอย่างดี! มีความผิดอันใดด้วย!”
กล่าวถึงจุดที่เร้าความรู้สึก ไทเฮาหลั่งน้ำตาออกมา สายตาที่มองทางซ่านจินจื๋อกลับดุร้ายมาโดยตลอด ก้าวขึ้นมาเบื้องหน้าหนึ่งก้าว “เจ้าไม่เคยคิดบ้างเชียวหรือว่าเหตุใดเมืองหลวงแห่งชางหลานของพวกเราถึงได้มีชื่อเรียกว่าเทียนเหยียน”
“คนทั้งโลกต่างรู้ดี น้ำแข็งกับถ่านไม้มีลักษณะต่างกัน น้ำกับไฟไม่เข้ากัน ตั้งชื่อขัดแย้งกันเช่นนี้ เพราะอะไรกันเล่า”
สำหรับซ่านจินจื๋อ นี่ไม่พ้นเป็นเพียงชื่อสถานที่สองแห่งเท่านั้น และที่ตั้งของเมืองเทียนเหยียนแห่งนี้ก็ยังอยู่ที่นี่ด้วย คิดดูแล้วน่าจะเป็นชื่อที่บรรพบุรุษตระกูลหยุนในปีนั้นกำนัลให้ ตั้งชื่อแบบขอไปที คงไม่ได้มีความหมายมากไปกว่านี้แต่อย่างใด
ไทเฮากลับก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว บีบลูกประคำในมือแล้วมองไปที่เขา
“เมืองเทียนเหยียน เดิมทีก็เป็นสิ่งที่ราชวงศ์ตระกูลซ่านหลอกเอามา และชางหลานกว้างขวางแหแงนี้ ปีนั้นก็หาใช่สมบัติของราชวงศ์ตระกูลซ่าน” หัวเราะเสียงเย็นหนึ่งครา ไทเฮามองลูกชายที่ยังคงไม่ไม่รู้อะไรเลยของตน เอ่ยปากเสียงเข้มว่า “เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษพวกเจ้าหลอกเอามาจากมือบรรพบุรุษตระกูลหยุนตระกูลยู่ ปีนั้นยู่จุนและหยูนซีต่างเป็นอัจฉริยะหาตัวจับยาก ครั้นมาถึงเทียนเหยียนก็เริ่มพัวพันคลุมเครือกับพี่ชายของเจ้าคนนั้น เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าพวกนางมาเพื่อเกี้ยวพาราสีกัน”
ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้ว “นั่นเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว”
“ปีนั้นฮ่องเต้ปล่อยให้ตระกูลหยุนจากไป เจ้าคิดว่าทำเพียงเพราะยู่จุนหยูนซีอย่างนั้นหรือ” ยามนี้รอยยิ้มบนใบหน้าไทเฮาเจือแววเหยียดหยามเล็กน้อยล้วงกล่องไม้เล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากช่องลับด้านข้าง กล่องไม้นั้นถึงจะประณีตหรูหรา กลับดูเหมือนจะเป็นของโบราณ ด้านในวางหนังเนื้อนุ่มหลายแผ่นที่จารึกเรื่องวันวานในปีนั้นเอาไว้ “โลกไม่เคยมีเพลิงฟ้าใหญ่หลวงเช่นนี้มาก่อน มีเพียงยาพิษกระจายตัวไปทั่วหล้า การบาดเจ็บล้มตายจึงมีนับหมื่นนับพัน…”
“หลังจากที่เจ้าดูของสิ่งนี้ชัดเจนแล้วค่อยมาพูดกับข้า ตระกูลหยุนและตระกูลยู่นี้มาจากที่ใด และมาเพื่ออะไรกันแน่”
สิ้นสุดน้ำเสียง ไทเฮาเก็บสีหน้าทั้งหมดเอาไว้แล้วหย่อนตัวกลับไปนั่งบนผ้าอาสนะตามเดิม
ซ่านจินจื๋อถือกล่องไม้เล็กๆ ในมือ ทำเพียงบัญชาคนให้ไปจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของตงฟางซวนเอ๋อ วันนี้เสด็จแม่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเร็วเกินไป คิดว่าความน่าสงสัยของตงฟางซวนเอ๋อคนนี้ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เรื่องเพลิงฟ้าที่เสด็จแม่พูดมาทั้งหมดในวันนี้ถึงจะดูไม่สลักสำคัญ แต่มองย้อนถึงต้นตอก็พอเข้าใจสิ่งที่เสด็จพี่ทำทุกอย่างลงไปในวันนี้ รวมถึงสาเหตุการเคลื่อนไหวหาตัวคนเบื้องหลังเยี่ยงนี้
ทว่ากระทั่งอ่านแผ่นหนังอ่อนหลายใบนี้จนจบ ซ่านจินจื๋อก็เรียกจางเหยียงซานมาด้วยสีหน้าลุ่มลึกดุจน้ำนิ่ง ถามเขาว่า “เมื่อก่อนเวยเอ๋อเคยฝันถึงเพลิงฟ้าและงานแต่งงานใช่หรือไม่”
จางเหยียงซานครุ่นคิดอย่างละเอียด มีอยู่คราหนึ่งจริงๆ แต่ตอนที่กู้อ้าวเวยเอ่ยถึงในครานั้นกลับยังคลุมเครือไม่ชัดเจน ยังไม่ได้พูดถึงรายละเอียดปลีกย่อยออกมามากมายนัก ได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าทราบเรื่องนี้
ให้เขาออกไปด้วยสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย สายตาของซ่านจินจื๋อมองหยุดอยู่ที่ปลายของแผ่นหนังอ่อนหลายใบนี้
เทียบกับตำนานยอดนิยมที่บอกต่อกันตามตลาด ในทางตรงกันข้ามเวลานี้มีหลักฐานน่าเชื่อถืออย่างแผ่นหนังที่บันทึกรายละเอียดของราชวงศ์ตระกูลซ่าน
ตระกูลหยุนและตระกูลยู่ในปีนั้นต่างก็เป็นสาขาจากตระกูลหลักเดียวกัน บรรพบุรุษพวกเขาก่อตั้งดินแดนชางหลานในปัจจุบัน มิได้ตั้งเป็นแคว้น หากแต่เป็นชนเผ่านอกที่ถูกทิ้งร้างในบริเวณนี้
ตระกูลยู่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสตรี ชำนาญพิษสันทัดการแพทย์ เห็นลักษณ์สวรรค์ ล่วงรู้ฟ้าดิน เคยถูกผู้คนขนานนามว่าเป็นแม่มดชางหลาน
ส่วนตระกูลหยุนกลับมีบุรุษแข็งแรงกำยำเป็นส่วนใหญ่ วรยุทธแข็งแกร่ง ขยายเขตแดนกว้างไกล
หนำซ้ำสองตระกูลไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ทั้งไม่ขับไล่กำจัดกัน ปีนั้นรับคัดเลือกคนมากความสามารถทหารต่างเผ่ามากมาย ตีแตกเขตแคว้นแรกนอกเมืองเทียนเหยียนในปัจจุบัน
มองย้อนกลับมาที่ราชวงศ์ตระกูลซ่านของพวกเขา ก่อนที่เพลิงฟ้าใหญ่หลวงจะมาเยือนก็เป็นเพียงประมุขโจรภูเขา ทำเรื่องไม่โปร่งใสมากมาย ต่อมาเพราะมีความชอบต่อชางหลานจึงได้เลื่อนตำแหน่ง องอาจถนัดศึกเช่นเดียวกัน เป็นถึงคู่คิดข้างกายตระกูลหยุนและตระกูลยู่
“น่าขันยิ่งนัก…”
ตระกูลหยุนตระกูลยู่เป็นเจ้านาย ถึงขั้นมีช่วงรุ่งโรจน์ถึงสี่ร้อยปี แต่สิ่งเหล่านี้กลับมิได้ถูกสืบทอดต่อมา
เหตุใดถึงไม่มีร่องรอยเลยแม้แต่นิดเดียว
ซ่านจินจื๋อหยิบของอย่างกระวนกระวายแล้ววกกลับไปที่เรือนของเสด็จแม่อีกครั้ง กลับเห็นนางนั่งอยู่ในโถงหลัก มีชาชั้นดีวางอยู่ข้างมือสองจอก เหมือนรู้ว่าเขาจะต้องกลับมาหาตนเป็นแน่
ขับคนทั้งหมดออก ซ่านจินจื๋อโยนแผ่นหนังหลายแผ่นลงบนโต๊ะเสียงดังปึง
“ราชวงศ์สี่ร้อยปีเต็มๆ จะไม่ทิ้งร่องรอยบนประวัติศาสตร์ได้อย่างไรกัน”
“เพราะคนทั้งเมืองชางหลานล้วนตายกันหมด”
ไทเฮามองซ่านจินจื๋ออย่างเยือกเย็น สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก “เจ้าอ่านจบแล้ว เหตุใดจึงไม่เชื่อ”
กล่าวพลาง ไทเฮาก็ยื่นมือมาดึงแผ่นหนังแผ่นหนึ่งออกมา กางราบลงบนผิวโต๊ะ คนในภาพราวกับอยู่ในเตาเผา ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนผิวหนังถลอกเห็นแต่กระดูก ผู้คนล้วนร้องไห้กระเสือกกระสน และบนแท่นสูงที่อยู่จุดกึ่งกลาง มีเพียงเงาร่างสองคนที่กอดกันกลางเพลิงระอุ
ซ่านจินจื๋อรู้สึกเพียงว่าภาพนี้ช่างคล้ายคลึงกับภาพฝันของกู้อ้าวเวยยิ่งนัก
“เพลิงฟ้าหายนะครั้งใหญ่ เป็นเรื่องเท็จมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
ไทเฮาพลิกแผ่นหนังแผ่นนั้น ตัวอักษรที่เขียนด้านหลังเลือนรางไม่ชัดเจนตั้งนานแล้ว แต่ซ่านจินจื๋อก็ยังมองเห็นคำง่ายๆ หลายตัวนั้นอยู่ดี
แดนชำระ คนเหี้ยม ล้างเมือง ย่างสด
“สมาชิกชายตระกูลหยุนถูกสังหารหมู่ สตรีตระกูลยู่ถูกลากลงไปในพิธีบวงสรวงทะเลเพลิง”