บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1056
บทที่ 1056 ทนไม่ไหว
กู้ซวงคิดไม่ถึงเป็นอันขาดว่ากู้อ้าวเวยจะถึงขั้นเต็มใจบอกสูตรยาโดยไม่แทงกั๊กแต่อย่าใด
นางถูกลากถูไปบนเตียงอีกหลังที่อยู่ตรงข้ามอย่างงุนงง โซ่เหล็กน้ำหนักเบาคล้องลำคอของนางเอาไว้ กลับไม่คล้ายกู้อ้าวเวยที่แม้แต่ขาสองข้างก็ยังถูกพันธนาการแน่นไว้กับมุมเตียง
กู้อ้าวเวยที่อยู่เตียงฝั่งตรงข้ามได้หลับม่อยกระรอกไปแล้ว
“อย่าคิดหนีเชียว” ชายชุดดำเอ่ยเตือนเสียงเข้ม แล้ววางกระดาษไขที่ห่อหมั่นโถวลงข้างมือของนาง จงใจตะเบ็งเสียงดังแล้วมองไปทางกู้อ้าวเวยที่อยู่บนเตียงอีกหลัง “นี่คือเสบียงหนึ่งวันของพวกเจ้าสองคน!”
กู้อ้าวเวยถูกปลุกให้ตื่น เปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งมองห่อกระดาษไขปราดหนึ่ง ทำเพียงหัวเราะเสียงเย็นหนึ่งครา “ไม่เป็นไร”
กู้ซวงชักจับทางไม่ถูกว่ากู้อ้าวเวยในยามนี้ควรจะทำอะไร ได้แต่ทำท่าทางตรงข้ามกับนาง หัวเราะเบาๆ หนึ่งครา “ขอบคุณมาก”
กู้อ้าวเวยที่อยู่บนเตียงฝั่งนั้นขำพรืดออกมาอีกหน
“เจ้าจวนจะลงโลงอยู่แล้วก็ไม่ควรหมกมุ่นกับการกิน”
“มนุษย์มีชีวิตอยู่บนโลกเพื่อกินดื่มสองคำนี้” กู้ซวงต่อบทประโยคถัดมาอย่างลื่นไหล กู้อ้าวเวยที่อยู่ตรงข้ามอึ้งงันน้อยๆ เป็นสิ่งแรก จากนั้นก็หัวเราะออกมา หันหลังให้นางแล้วเอนตัวลงนอนอีกครั้ง โซ่เหล็กบนข้อเท้าเหมือนว่าถูกฉุดกระชากสองครา สุดท้ายก็ได้แต่วางขาทั้งสองกลับไปอย่างจนปัญญา
ชายชุดดำคนนั้นนำสิ่งของออกไปอย่างเคลือบแคลง ดูท่าเขา ตอนเย็นยังต้องนำกับข้าวร้อนๆ กลับมาอยู่ดี กู้ซวงคิดเช่นนี้ ยกมือขึ้นลูบโซ่เหล็กบนลำคอ นั่งก็ไม่ใช่ นอนก็ไม่เชิง มีเพียงความหนาวเย็นในหน้าหนาวที่ห่อหุ้มโซ่เหล็กนี้ไว้ราวกับน้ำค้างแข็งตัวเป็นก้อน
นางมองกู้อ้าวเวยปราดหนึ่ง ไม่รู้ว่านางหลับไปได้อย่างไรกัน
และในความฝันของกู้อ้าวเวย มีดอกไม้ไฟเต็มฟ้าที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน และภายใต้โคมดอกไม้ มีเงาคนเบียดเสียดอยู่ริมแม่น้ำ สมองของนางถูกฤทธิ์ยาต้มที่ส่งมาให้ทุกๆ วันทำให้คลุมเครือไปเรียบร้อยแล้ว
ยามที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นความมืดมิดอันรุนแรงทั้งแถบ
แตกต่างจากการหน่วงเหนี่ยวของกู้ซวง นางมักรู้สึกว่าการถูกกักขังเช่นนี้ดูคล้ายจะคุ้นชินมาก่อน เอนกายลงในผ้าห่มนุ่มอย่างผ่อนคลาย ติดที่ขาทั้งสองข้างล้วนถูกพันธนาการไว้ที่ปลายเตียง นางจึงพิงไม่สะดวกนัก จึงเอ่ยปากขึ้นมาตรงๆ “มีคนอยู่ข้างนอกหรือไม่”
กู้ซวงถูกนางปลุกขึ้นมาจากความหลับใหล ทำเพียงลืมตาขึ้นในความมืดมิด และจับสังเกตอย่างเงียบๆ
ไม่นานนัก เมี่ยวหารก็เดินเข้ามาโดยมีเพียงเสื้อคลุมตัวบาง จุดตะเกียงน้ำมันแล้วมองนาง “เจ้าคิดจะแสดงละครไปถึงไหนกันแน่”
“ซว่านจินจื๋อคงไม่โง่จนถึงขั้นประเคนกู้อ้าวเวยสองคนให้เจ้าหรอก” กู้อ้าวเวยเอ่ยปากเสียงเข้ม เลิกผ้าห่มออกภายใต้สายตาของเมี่ยวหาร ชี้ไปที่โซ่เหล็กบนขาสองข้างของตน “เขาจะส่งคนมาสะกดรอยตามเจ้า ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น จนกว่ามั่นใจสถานการณ์แล้วค่อยซุ่มโมตีเจ้า พาพวกข้าออกไป ยามนี้เจ้าถูกเขาจับตามองเข้าให้แล้ว”
ในใจกู้ซวงตื่นตระหนก แต่ใบหน้ากลับยังคงรักษาความสุขุมลุ่มลึกไว้ตามเดิม
เมี่ยวหารกลับหัวเราะ “อย่าคิดพูดจาบีบให้กลัวพวกนี้อีกเลย เจ้าก็แค่อยากให้ข้าปลดขาทั้งสองข้างของเจ้า ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว” กู้อ้าวเวยพูดตรงไปตรงมา มุมปากกระตุกรอยยิ้มจางๆ เสี้ยวหนึ่ง “ข้าเข้าใจซ่านจินจื๋อมากกว่าเจ้า เขารู้จักอดทนมากกว่าพวกเจ้า สำหรับข้าก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”
ดูเหมือนกลัวว่าเมี่ยวหารจะไม่เข้าใจ นางจึงพูดเสริมอีกหนึ่งประโยคด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“เขาไม่เคยไปที่เมืองซ่านหลินเลย ไม่ใช่หรือ”
เขาไม่ได้ไปรับตนเลย
แต่นางกลับจำได้ถึงความหนาวเหน็บกรีดกระดูกของที่นั่น ซ้ำยังเดินเหินอย่างไร้ความช่วยเหลือเปียกปอนไปทั้งร่าง กระทั่งถึงเมืองซ่านหลินแล้วพบกับคนใจดีให้พึ่งพิง นางกลับหวนมาอย่างดึงดันด้วยตัวเอง ซ้ำยังถูกฝังอยู่ในดิน แกล้งตายจากไปอีกครั้ง
ชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายในปีนั้นกลับมาจากในความฝัน
เมี่ยวหารมองซ้ายแลขวามองกู้อ้าวเวยสองคนปราดหนึ่ง ดูท่าน่าจะมีคนๆ หนึ่งที่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเมืองซ่านหลิน หรือจะบอกว่า…มีคนๆ หนึ่งที่สูญเสียความทรงจำ?
ไม่…ซ่านจินจื๋อกับกู้อ้าวเวยล้วนเป็นคนฉลาดทั้งคู่
ไม่รู้ว่ากู้อ้าวเวยตรงหน้าคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ส่วนกู้ซวงที่อยู่ด้านข้างกลับหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา “เขาก็เป็นคนแบบนี้ นอกเสียจากชีวิตของข้าจะแขวนอยู่เส้นด้าย มิเช่นนั้นเขาคงเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ มิอาจเคลื่อนไหวอย่างวู่วาม”
ในรอยยิ้มนั้นเจือความขมขื่นน้อยๆ
กู้ซวงกำปลายนิ้วแน่น นางจินตนาการไม่ออกว่าหญิงสาวนางหนึ่งถูกทิ้งไว้ในสถานที่ไม่คุ้นเคยมาก่อนในชีวิตควรรู้สึกอย่างไร ยิ่งลืมไปชั่วขณะว่ากู้อ้าวเวยที่นางเลียนแบบทุกๆ วันหาใช่พวกคุณหนู ตอนอยู่ในตำหนักอ๋องจิ้งก็เคยตกระกำลำบากด้วย
เมี่ยวหารเห็นแสงธรรมในบัดดล กล่าวเสียงเข้มว่า “เขา…”
“ใต้เท้าเมี่ยวหาร พวกเราต้องรีบออกไปเดี๋ยวนี้แล้วขอรับ!”
จู่ๆ ข้างประตูก็มีคนๆ หนึ่งพรวดพราดออกมา เมี่ยวหารเหลียวกลับไปมอง กลับเห็นเพียงป่าเขาลำเนาไพรไกลออกไปได้ลุกไหม้คุโชนแล้ว นกกากระพือปีกบินแตกรัง ในท้องฟ้าอันมืดสลัวมีเงาสีขาวปราดผ่านไปทั่ว
เมี่ยวหารยังคิดจะก้าวเข้าไปในห้องพาหนึ่งในนั้นออกไปด้วย กลับได้ยินเสียงแหวกอากาศดังก้องข้างโสตประสาท ร่างกายถูกคนกระชากลากถูเต็มแรง ร่างกายรัดเกร็งแล้วถูกแขวนไว้สูง ลูกน้องหลายคนร้องตะโกนแตกตื่นด้วยคำพูดทำนางรีบออกไป ถอยทัพเดี๋ยวนี้
ส่วนกู้อ้าวเวยที่อยู่ในห้องมองเห็นลูกศรขนนกในที่แทงทะลุขอบประตู
หากไม่ใช่เพราะคนข้างกายเมี่ยวหารพาตัวเขาออกไปได้ทันเวลา ลูกศรขนนกนั่นน่าจะแทงทะลุร่างเขาไปนานแล้ว
เปลวเพลิงคุโชน เงาทะมึนสายนั้นเร่งฝีเท้าเข้ามาพร้อมกับเสียงม้าร้องทอดเสียงยาว
กู้อ้าวเวยถูกรวบตัวเข้าสู่อ้อมอกในเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ลำแขนที่วางพาดอยู่บนด้านหลังเอวของนางค่อยๆ รัดแน่นขึ้น โซ่เหล็กบนข้อเท้าส่งเสียงอี๊ดอาดดังก้อง ส่งผลให้เรือนผมและอาภรณ์ของชายหนุ่มก็ยังถูกความร้อนลวกพลุ่งพล่านไม่หยุดกำลังภายในซัดสะเทือนไปล่ปลิวกระจายตัวออกไป
ดวงตาของซ่านจินจื๋อแดงฉาน แทบทนไม่ไหวอยากบดนางเข้าสู่อ้อมกอดของตน
กู้อ้าวเวยอึ้งงันไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ทำเพียงกอดแผ่นหลังของเขาตอบอย่างงุนงง ฝังหน้าลงที่ซอกไหล่ลำคอของเขาโขกทุบของสองครา จากนั้นจึงสูดลมหายใจมั่นคงและเบาใจรดทุกอณูบนกายของซ่านจินจื๋อ ปรับสมดุลกลิ่นดินปืนบนร่างทั้งหมด
“เจ้ารู้ว่าข้ามารับเจ้าแล้ว ใช่หรือไม่”
ซ่านจินจื๋อเอ่ยปากเสียงเข้ม กอดนางเข้าสู่อ้อมแขนราวกับถนอมสมบัติ
กุ่ยเม่ยที่ตามมาข้างหลิงติดๆ ก็ปลดเปลื้องพันธนาการให้กู้ซวง ยามที่แบกนางขึ้นหลังกลับถูกซักถาม “เมื่อครู่นางบอกว่าอ๋องจิ้งคงทำเพียงเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
ตัวกุ่ยเม่ยเองก็ยังตกใจสะดุ้งโหยง หลังจากที่แบกกู้ซวงแล้วก็เดินออกไปด้านนอก
ซ่านจินจื๋อนั่งอยู่บนหลังม้า ใช้เสื้อคลุมตัวโคร่งห่อกู้อ้าวเวยเข้าสู่อ้อมอก มือข้างหนึ่งดึงเชือกบังเหียน แล้วอันตรธานหายไปท่ามกลางเปลวเพลิงในป่าเขาลำเนาไพรแห่งนั้น
กู้ซวงที่อยู่บนหลังกุ่ยเม่ยส่งเสียงร้องตกใจออกมา มองไปที่หยาดเลือดไหลอยู่ในผืนป่าแห่งนั้นอย่างไม่อยากเชื่อ
ส่วนซ่านจินจื๋อทำเพียงซุกซ่อนตัวคนไว้ในอ้อมกอดก่อนที่จะเหยียบย่างเข้าประตูเมือง แจ้งทหารยามประตูเมืองด้วยเสียงเย็นชา “พวกเขาหนีแล้ว ส่งคนไปเสาะหาเบาะแส”
“ขอรับ”
เหล่าทหารยามกระจายตัวเต็มกำลัง ยังไม่ทันสังเกตเห็นเสื้อผ้าหนาเตอะภายใต้ม่านรัตติกาลอันหนักหน่วง
ชะลอฝีเท้า ซ่านจินจื๋อค่อยๆ ยกคนในอ้อมแขนขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้น น้ำเสียงนุ่มนวล “ตื่นไวขนาดนี้เชียว”
“ข้าคิดว่าท่านจะรอให้สบโอกาสแล้วรวบหัวรวบหางพวกเขา”
กู้อ้าวเวยโขลกใส่อ้อมอกเขา ซึมซาบเอาความอบอุ่นเสี่ยวนั้นด้วยความรังเกียจน้อยๆ “ข้ายังพอทนได้อีก”
“แต่ข้าทนไม่ไหวแล้ว” ซ่านจินจื๋อรวบนางเข้าสู่อ้อมกอดอย่างหัวเสีย กล่าวมาดร้ายว่า “ข้าสามารถรับภาระความรับผิดชอบของท่านอ๋องได้ และสามารถแบกความรับผิดชอบของผู้ชายของเจ้าได้ด้วย ไม่ใช่หรือ”
สิ่งที่ตอบเขากลับไป มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ของกู้อ้าวเวยเท่านั้น