บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1057
บทที่ 1057 ถ้อยคำในคืนฝนพรำ
เคลื่อนทัพทีละขั้น เดิมไม่ควรรีบเร่งเช่นนี้
ไฟป่าในเขตชานเมืองยังไม่หยุดลง ควันโขมงดำทะมึนปะทุในยามราตรี ทั่วทั้งเมืองเทียนเหยียนล้วนราวกับได้กลิ่นต้นไม้ไหม้เกรียม กลับไม่รู้ว่ามีตาแก่ขี้เมามาจากที่ไหน หิ้วเหยือกสุราแตกวิ่งร้องแหกปากอยู่ในเมือง
“เป็นเพลิงฟ้า! หายนะกำลังมาเยือนแล้ว!”
กลุ่มคนเห็นเป็นเพียงคำพูดคึกคะนองของตาแก่บ้า ในใจกลับยังฝังเมล็ดพันธุ์หนึ่งเอาไว้
ทั้งเมืองเทียนเหยียนต่างนอนไม่หลับตลอดคืน ซ่านจินจื๋อที่หาตัวกู้อ้าวเวยกลับมาแต่ไม่ยอมบอกความลับทำเพียงนั่งอยู่ข้างเตียง กุมมือของนางแน่น จนกระทั่งสีนภาเริ่มสว่าง คนที่อยู่ในผ้าห่มนุ่มจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พยุงตัวขึ้นน้อยๆ รอยแดงบนลำคอสีขาวหิมะนั้นกรีดแทงดวงตาของซ่านจินจื๋อ พลอยทำให้แรงที่มือหนักขึ้นมาด้วย
กู้อ้าวเวยตกใจจนหดตัวกลับไป สมองที่ยังไม่ตื่นเต็มที่ได้แต่มองซ่านจินจื๋อโน้มตัวลงมาฝังลงบนซอกคอของนางไม่ยอมปล่อยอย่างงุนงง กลับดูเหมือนว่าคนที่ถูกจับเป็นเชลยคือเขา ทว่ามืออีกข้างค่อยๆ นวดไล้ที่รอยแดงบนลำคอของนางอย่างแผ่วเบา “เดิมทีข้าอยากใช้กู้ซวงไปจับปลาตัวใหญ่”
“ข้ารู้”
ตอนที่กู้ซวงแสดงเป็นตน นางก็รู้คำตอบเรียบร้อยแล้ว
ส่งกู้ซ่งเข้ามาพร้อมกัน และให้คนลอบตามอย่างลับๆ จนรู้แหล่งกบดานของพวกเขา ไม่ยอมเปิดโปงเป็นนานสองนาน ก็สามารถคลำตามเถาวัลย์หาตัวมือทะมึนเบื้องหลังได้
แต่น่าเสียดาย…
“ตอนนั้นสมองข้าอาจสับสนนิดหน่อย คิดแต่ว่า…”
กลับไป
สองคำนี้ยังไม่ทันโพล่งออกมาก็ถูกกู้อ้าวเวยกลืนลงท้อง นางกอดตอบผู้ชายอ้อมแขนด้วยอาการมือไม้เปนพัลวันน้อยๆ ร่างกายแน่นเกร็งพูดไม่ออกไปชั่วขณะ…ผ่านหนทางมาตั้งยาวไกลเช่นนี้แล้ว ไฉนนางยังอ่อนแอเยี่ยงนี้อยู่อีก
แม้ว่านางไม่เคยเอ่ยปาก ซ่านจินจื๋อก็รู้
เขาเป็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งกลับรู้สึกผิดน้อยๆ
เขาไร้ประโยชน์เพียงใดกันแน่ถึงได้ทำให้กู้อ้าวเวยเข้มแข็งเกินไป ทำเพียงเอ่ยปากด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้าก็ยังไม่เชื่อใจข้า”
“ข้าเชื่อว่าจากความสามารถของท่านจะสามารถหาตัวมือทมิฬเบื้องหลังนั่นออกมาได้…”
“วิธียืดสายเบ็ดจับปลาตัวโตมีตั้งมากมาย ข้าก็ยังให้เจ้าถูกขังอยู่ที่นั่นเพียงลำพังอยู่ดี” ซ่านจินจื๋อยันตัวขึ้น มือข้างหนึ่งประคองพวงแก้มของกู้อ้าวเวย มองเห็นความตะลึงงันในดวงตาคู่นั้น ตนกลับตาแดงก่ำ “เจ้าเชื่อข้า…ให้โอกาสข้าสักครั้ง ข้ารู้ว่าเมื่อก่อนทำเรื่องผิดมามากเกินไป ความทรงจำเจ้าเลือนราง เดิมทีข้าไม่ควรโกหกเจ้า ข้าจะบอกเรื่องเก่าทุกเรื่องให้เจ้าฟังทั้งหมด”
“ขอเพียง…เจ้าเชื่อข้ามากกว่านี้หน่อย…อย่าได้ฝืนทนอีกต่อไป…”
สองมือของซ่านจินจื๋อสั่นระริกโดยไม่รู้ตัว กระทั่งไม่กล้าสบมองดวงตากู้อ้าวเวย
นี่คืออะไรกัน
กู้อ้าวเวยกัดฟันแน่น นึกถึงความทรงจำเลือนรางเหล่านั้น ทำเพียงกระทืบเท้าใส่เขาหนึ่งคราอย่างฉุนเฉียว จากนั้นก็ยันตัวขึ้น ฝังตัวเองไว้ในอ้อมกอดของเขา ปล่อยให้หยาดน้ำตาชุ่มโชกอาภรณ์ที่เขาเพิ่งผลัดเปลี่ยนมาไม่นาน และทุบแผ่นหลังเขาหนึ่งคราอย่างหัวเสีย
“ท่านกล้าดีอย่างไรถึงยังรู้สึกผิดอยู่อีก”
“ข้าไม่ควรรู้สึกผิด” ซ่านจินจื๋อที่ถูกถามรู้สึกว่าหมัดนั้นทุบเข้าแผ่นหลังเบาๆ อย่างปวดใจ จึงตะกายขึ้นมาจากเตียงแล้วรวบนางเข้าอ้อมแขนเสียดื้อๆ ปลายนิ้วไล้ผ่านเรือนผมสีซีดไร้เงา ยิ่งรู้สึกปวดใจขึ้นเรื่อยๆ
นางดูเหมือนว่าจะไม่พ่วงพีขึ้นไปตลอดกาล กลับยิ่งซูบผอมขึ้นเรื่อยๆ
“แล้วสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร…” น้ำเสียงของกู้อ้าวเวยก็แผ่วลงไปมาก เจือความหยั่งเชิงหลายส่วน
“ข้าจะซ่อนเจ้าไว้ในตำหนัก ฮ่องเต้ก็ไม่อาจทราบ” ยามที่ซ่านจินจื๋อลดศีรษะลงนั้น คนผู้นั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมแขนของเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ ปลายนิ้วแนบลงบนแผ่นหลังของเขา
ลังเลอยู่นาน กู้อ้าวเวยจึงกล่าวเสียงกระซิบ “ข้าช่วยท่านไม่ได้แล้วหรือ”
นางไม่รู้ว่าเหตุใดยามที่ตนตื่นขึ้นมาจะต้องกลับไปยังชางหลานเท่านั้น
และไม่รู้ว่าเหตุใดหลังจากที่มีความทรงจำเลือนรางเหล่านั้นแล้วยังต้องวกกลับมาอยู่ข้างกายซ่านจินจื๋ออีกครั้ง
คิดดูแล้วยามนี้
อาจเป็นเพราะมนุษย์มีชีวิตร้อยปี หาคนเคียงบ่าเคียงไหล่ได้ยาก
ดูเหมือนการมีอยู่อันน้อยนิดเสี้ยวนั้นจะถูกปฏิเสธ แต่ร่างกายกลับยังคงถูกร่างอันร้อนระอุของชายหนุ่มกอดเข้าเต็มรัก ในใจกลับไม่ได้มีความว่างเปล่าแม้แต่ครึ่งเสี้ยว รู้สึกว่าหัวใจดวงนั้นที่เต้นรัวอยู่ในอกของชายหนุ่มยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำเพียงกระชับเข้าสู้อ้อมแขนของเขา “หิวแล้ว”
น้อยนักที่จะได้เห็นอาการออดอ้อนเช่นนี้ของกู้อ้าวเวย
ซ่านจินจื๋ออึ้งงันไปครู่หนึ่ง กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าควรลุกไปหาข้าวปลาให้นางเสียหน่อย กลับถูกกู้อ้าวเวยฉุดชายเสื้อเอาไว้ “ท่านจะไปแล้ว ถ้าเกิดให้คนมาเห็นสภาพสะบักสะบอมเช่นนี้ของข้าควรทำอย่างไร”
ซ่านจินจื๋อได้แต่ส่งเสียงเรียกคนใช้ที่หน้าประตูแล้วเอนตัวลงนอนบนเตียงด้วยรอยยิ้มบางๆ อีกครั้ง กลับยังมิได้ถอดรองเท้า ทำเพียงสางเรือนผมยาวให้กู้อ้าวเวยครั้งแล้วครั้งเล่า “นอนอีกหน่อยหรือไม่”
“ไม่ง่วง เพียงแต่ไม่มีแรง” กู้อ้าวเวยค่อยๆ ออกแรงผลักเขานั่งลงบนเตียง สองขาแยกออกไว้ข้างเอวของเขา มือสองข้างยันบนทรวงอกของเขา สูดหายใจแช่มช้า “ท่านต้องฟังข้าพูดเรื่องๆ หนึ่ง”
พยุงเอวคอดของนางอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้นางเซร่วงลงพื้น ซ่านจินจื๋อมองเห็นนางค่อยๆ โน้มตัวลงมาแช่มช้า เอ่ยปากกระซิบข้างโสตประสาทของเขา
“ข้าเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าอาจมีสักวันที่ชีวิตข้าไม่ยืนยาว จึงได้ทำข้อตกลงอย่างหนึ่งกับกุ่ยเม่ยในคืนฝนพรำปีนั้น”
หลังเวลาหนึ่งก้านธูป กุ่ยเม่ยได้ยินเพียงเสียงกึกก้องดังลอยมาจากกลางเรือน
หลังจากนั้นทันที สองมือของซ่านจินจื๋อกอดกู้อ้าวเวยที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าห่มแพรไหมเดินออกมา ทั่วสรรพางค์กายทั้งบนล่างล้วนปลดปล่อยไอสังหารพาให้ผู้คนหนาวเหน็บออกมา ส่วนกู้อ้าวเวยได้แต่เอื้อมมือออกมาคว้าไหล่เขาอย่างระมัดระวัง มืออีกข้างจับกุ่ยเม่ยที่อยู่ด้านข้างสุดแรง “ข้าไปกับกุ่ยเม่ยก็ได้”
“เลิกคิด” ม่านตาซ่านจินจื๋อหดลงพลางลากนางกลับสู่อ้อมแขน
บีบตัวนางอย่างแน่นหนาด้วยเพลิงโทสะเต็มดวงตา กุ่ยเม่ยที่อยู่ข้างๆ ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงคิดไปว่าซ่านจินจื๋ออารมณ์แปรปรวนด้วยเรื่องอะไรบางอย่างอีก ก้าวไปข้างหน้าเพื่อขวางเขาเอาไว้ “เกิดเรื่องอันใด ท่านจะพานางไปไหน”
“ห้องครัว”
สิ้นเสียง กุ้ยเม่ยก็อ้าปาก กลืนคำพูดที่คิดไกล่เกลี่ยทั้งหมดลงท้องไป
ก็แค่ไปห้องครัว เหตุใดคนๆ หนึ่งต้องโกรธเกรี้ยวจนคิดอยากเขมือบคนเป็นๆ ด้วยเล่า ซ้ำกู้อ้าวเวยที่อยู่ด้านข้างยังถูกเขาบีบแน่นอยู่ในอ้อมกอดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ เห็นเพียงแต่มือข้างหนึ่งที่โบกใส่เขาหย็อยๆ ขอบตาก็พลอยแดงก่ำ ดูเหมือนถูกรังแก…
“ถ้าไปห้องครัวแล้วท่านอ๋องจะรังแกนางไปไย?” กุ่ยเม่ยยังเดินรุกหน้าไปด้วยความเป็นห่วง หมายจะขุดตัวกู้อ้าวเวยออกมา กลับไม่เคยคิดเลยว่ากำลังภายในวูบหนึ่งจะซุ่มโจมตีมาใส่อย่างกะทันหัน กุ่ยเม่ยร่วงตุบลงยังบริเวณข้างหลังสามก้าว มองทางซ่านจินจื๋อย่างไม่อยากเชื่อ
สายตาเย็นเยียบ กุ่ยเม่ยคิดจริงๆ ว่าซ่านจินจื๋อหงุดหงิดอะไรมา กลับเห็นกู้อ้าวเวยจับคอซ่านจินจื๋อไว้อย่าสะเปะสะปะ ทำให้ชายหนุ่มโหดร้ายดุกร้าวเบื้องหน้าซวนเซไปหนึ่งก้าว ความโกรธเคืองและสีเลือดในดวงตาคู่นั้นกลับไม่ได้จางหายไป “เจ้าชอบเขาขนาดนี้เชียวหรือ”
“ข้าเปล่านะ!” กู้อ้าวเวยหน้าแดงซ่าน มองทางกุ่ยเม่ยทีมองซ่านจินจื๋อที ลอบกัดฟันกรอด “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นข้าคิดอะไรอยู่ บางทีก็แค่ไม่เต็มใจบอกท่าน…”
“เจ้าไม่เต็มใจบอกข้า?” เสียงของซ่านจินจื๋อแหลมสูงทันควัน
ถูกตะคอกเช่นนี้ กลับทำให้ดวงตาของกู้อ้าวเวยยิ่งแดงก่ำขึ้น น้ำเสียงก็พลอยดังขึ้นมาด้วย “ตอนนี้ข้าไม่ได้บอกท่านอยู่หรือไร!”