บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1058
บทที่ 1058 ยายังไม่หมดฤทธิ์
ซ่านจินจื๋อนั่งตัวตรงลงบนขั้นบันได สีหน้าสับสน
เฉิงซานที่อยู่ข้างๆ มองดูรอยฝ่ามือบนหน้าท่านอ๋องของตน กลืนน้ำลายเอื๊อก กลับยังคงพูดอย่างตรงไปตรงมา “คำพูดของท่านอ๋องออกจะเกินเหตุไปหน่อย หากคุณหนูใหญ่ชอบกุ่ยเม่ยจริงๆ ก่อนหน้านี้คงหนีไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียวแล้ว”
“ข้ารู้”
ซ่านจินจื๋อบีบนวดหัวคิ้วอย่างปวดหัว ไม่รู้สึกถึงความปวดวูบวาบบนใบหน้า ในสมองมีเพียงดวงตาคู่นั้นที่มีน้ำตาคลอเบ้ายามที่กู้อ้าวเวยถูกโม่ซานลากตัวไป
ทั้งที่เขาไม่อยากทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตแท้ๆ
สีนภาสว่างจ้า โม่ซานแบกกู้อ้าวเวยที่หอบผ้าห่มเอาไว้ กุ่ยเม่ยที่อยู่ด้านข้างแม้จะอยากรุกหน้าไปช่วยเหลือ แต่ก็ติดที่ซ่านจินจื๋อตั้งตัวเป็นอริกับตนจึงไม่กล้าเฉียดใกล้ตามใจอยาก ทำเพียงมองดวงหน้าซีดขาวของนางด้วยความปวดใจมากขึ้นเรื่อยๆ “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ก่อนหน้านี้ข้าควรจะบอกกับท่านอ๋องหลังจากที่ท่านสูญเสียความทรงจำ”
“ข้าบอกเขาไปแล้ว เขาก็หุนหันพลันแล่นเช่นนี้” กู้อ้าวเวยฝังหน้าลงในซอกไหล่ของโม่ซานอย่างน้อยใจ
ถึงอย่างไรโม่ซานก็เป็นนักรบคนหนึ่ง การแบกหญิงสาวซูบผอมไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว ยามนี้ข้างหูกลับได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วเบาดังลอยมา กลับทำให้นางร่างกายแน่นเกร็ง หันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือทางกุ่ยเม่ยที่อยู่ข้างกาย ก่อนกล่าวเสียงแผ่วว่า “ให้ข้าพูด เรื่องนี้พวกท่านทั้งสองคนทำไม่ค่อยถูกเท่าไร”
บัดนั้นสายตาสองคู่ต่างไปมอง
โม่ซานกระชับคนที่ลื่นไหลใกล้ตกอยู่บนหลัง กล่าวอย่างจนปัญญา “ท่านแบกทุกเรื่องเอาไว้เองเสียหมด ไม่คิดบ้างหรือว่าท่านอ๋องจะเป็นห่วง นับประสาอะไรท่านกับอ๋องจิ้งยิ่งเป็นสามีภรรยากัน ยามนี้กลับแอบบอกกุ่ยเม่ยเรื่องที่ท่านอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แม้ท่านคนที่ท่านบอกจะไม่ใช่ผู้ชายอย่างกุ่ยเม่ย แต่เป็นคุณหนูอย่างฉีหรัว ท่านอ๋องก็ยังจะโกรธอยู่ดี”
กุ่ยเม่ยอึ้งงันน้อยๆ กลับนึกถึงคืนฝนพรำนั้นขึ้นมา
ถัดจากหน้าต่างบานหนึ่ง กู้อ้าวเวยเคยบอกว่าตนอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานในอนาคต แต่หากหนีไปจากสถานที่เส็งเคร็งเพื่อฝึกปรือทักษะการแพทย์ บางทียังพอมีที่ว่างสำหรับการหวนกลับ วันหน้าดีร้ายก็ยังสามารถมีอายุยืนนานร้อยปี
แต่หากซ่านจินจื๋อถามขึ้นมา ก็ให้กุ่ยเม่ยช่วยปกปิด นางจะกลับไปที่เมืองซ่านหลินอีกครั้งหลังจากที่ถอนพิษได้เองแล้ว
แต่หากนางยังไม่ปรากฏตัวในเมืองซ่านหลิน เช่นนั้นก็เป็นเพราะนางตายไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องบอกซ่านจินจื๋อเพื่อไม่ให้เขาเป็นห่วงอีก
กู้อ้าวเวยในยามนี้ดีร้ายก็จำสภาพในวันนั้นได้อย่างชัดเจนแล้ว แต่เวลานี้กลับยังคงสับสนเล็กน้อย
“ท่านเองก็จักต้องมีเจตนาที่ดีอย่างแน่นอน แต่ยามที่ท่านกับกุ่ยเม่ยซ่อนความลับนี้เอาไว้ เคยถามอ๋องจิ้งบ้างหรือไม่ว่าเขาต้องการเจตนาดีครั้งนี้ของพวกท่านหรือไม่” โม่ซ่านทอดถอนใจหนักหน่วงหนึ่งครา แล้วมองไปทางกุ่ยเม่ยอย่างไม่เห็นด้วย “อ๋องจิ้งที่เจ้ารู้จักเป็นคนอ่อนแอขนาดนั้นหรือ นับประสาอะไร ถ้าหากคนที่เจ้ารักสุดหัวใจแบกเจ้าไว้บนหลังฝ่าทะลวงสถานการณ์เสี่ยงภัยเพียงลำพัง เจ้าไม่รู้ว่านางเป็นหรือตาย แต่คนที่อยู่ข้างๆ กลับยังคอยร่วมมือกันหลอกลวงเจ้า เจ้าจะคิดอย่างไรกันเล่า”
กุ่ยเม่ยรู้สึกเพียงว่าหัวใจทั้งดวงห้อยต่องแต่งขึ้นมา สายตามองไปยังดวงตากล่าวโทษคู่นั้นของโม่ซาน ได้แต่กำหมัดแน่น “ข้าไม่อยากให้เป็นเช่นนี้”
“เจ้ายังไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ ตอนนั้นเหตุใดถึงรับปากน้องสาวเจ้าว่าจะช่วยกันหลอกลวงอ๋องจิ้งเล่า” โม่ซานมองเขาอย่างจนปัญญา
กุ่ยเม่ยตอบคำถามไม่ได้ เพียงแต่ปลายเล็บนั้นแทบจิกระทุฝ่ามือ
บนหน้ากู้อ้าวเวยยังมีหยาดน้ำตาไหลริน ความคิดเป็นพันหมื่น กลับเอ่ยคำพูดโต้แย้งออกมาไม่ได้สักคำ
เหมือนกับยาขมชามหนึ่งเข้าสู่ลำคอ สะสางความสับสน กลับขมลึกเข้าไปในดวงใจ
“ข้าผิดเอง” ร่างกายที่อ่อนแอเปราะบางนี้กลับยอมจำนนก่อน ปล่อยตัวฟุบลงบนไหล่ของโม่ซานน้ำตาร่วงเผาะ แขนสองข้างรัดแน่นขึ้นน้อยๆ น้ำเสียงก็พลอยว้าวุ่นลนล่าน “เมื่อครู่ข้ายังตบเขาไปหนึ่งฉาดด้วย…ข้าคิดว่าเขาไม่เชื่อข้า ไม่ต้องการข้าแล้ว”
“เขาจะยกโทษให้ท่านแน่…อย่าร้องๆ” โม่ซานก็ปลอบโยนอย่างเป็นพัลวันขึ้นมา ไม่ทันได้สนใจอะไรมาก สำแดงวิชาตัวเบาแล้วพาหญิงสาวที่จู่ๆ ก็อ่อนแอขึ้นมาคนนี้กลับไปส่ง
กุ่ยเม่ยมองเงาหลังของโม่ซานแน่นิ่ง เงียบขรึมอยู่นาน ก็ยังไปพาจางเหยียงซานเข้ามาก่อนอยู่ดี
กู้อ้าวเวยในตอนนี้ต่างไปจากเดิม คงเป็นไปไม่ได้ว่าเป็นเพราะการเปิดองคาพยพเด็ดขาด!
จักต้องเป็นเพราะวัสดุยาพวกนั้นไม่ได้ทำความสะอาดให้ดีเป็นแน่!
ซ่านจินจื๋อเพิ่งสาวเท้าออกจากลานเรือน ก็เห็นโม่ซานปรี่เข้ามาอย่างร้อนรน เขามีเวลาเพียงรวบตัวกู้อ้าวเวยสู่อ้อมกอด มองดูดวงตาสีอำพันที่เปี่ยมด้วยหยาดน้ำตาของนาง กล่าวขอโทษเสียงสะอื้นไม่ยอมหยุด ทำเพียงกอดนางให้แน่นขึ้นเล็กน้อย ได้ยินโม่ซ่านเอ่ยปากกล่าวว่า “นางร้องไห้ไม่หยุด อย่างไรก็รบกวนท่านอ๋องดูแลนางเองด้วยเถิด”
กล่าวจบ โม่ซานก็ก็ขนาบกำแพงปีนก้อนอิฐขึ้นไป ไม่นานนักก็ห้อทะยานขึ้นไปราวกับนกนางแอ่น หายตัวไปตรงหัวมุม
“เพราะข้าไม่ดีเองทั้งนั้น เมื่อครู่วู่วามเกินไป”
เขากลัวเหลือเกินว่ากู้อ้าวเวยจะร้องไห้
กู้อ้าวเวยในอดีตร้องไห้น้อยครั้งนัก ทุกครั้งที่ร้องก็ไม่เคยเจือความเกลียดชังอันรุนแรง แต่จะข่มกลั้นจนถึงความสิ้นหวังที่สิ้นไร้ไม้ตอก
แต่คนในอ้อมกอดกลับร้องไห้ไม่ส่งเสียงอีกครั้ง ร่างกายบอบบางทำเพียงเอนพิงอ้อมกอดของเขา แม้แต่หน้าก็ไม่ได้เงยขึ้นมา ทำเพียงกำแขนเสื้อเขาแน่นแล้วกล่าวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า
เสมือนว่าก่อนหน้านี้ถูกเรื่องต่างๆ นานาประดังสมอง ซ่านจินจื๋อที่ยามนี้สงบลงมาลอบสังเกตเห็นว่าเรื่องราวชักไม่ชอบมาพากล
เวยเอ๋อดูเหมือนยังไม่ทันได้สติ
รีบร้อนส่งนางเข้าไปในห้อง กู้อ้าวเวยทำเพียงกำแขนเสื้อของเขาแน่นไม่ยอมปล่อย หยาดน้ำตาหลั่งรินราวทำนบขาดสะบั้น
“อาจเป็นเพราะยาที่พวกเขาป้อนให้เจ้ายังไม่ทันหมดฤทธิ์ ข้าจะให้เฉิงซานไปหาจางเหยียงซาน” ซ่านจินจื๋อไม่กล้าและไม่เต็มใจผลักนางออกทั้งอย่างนี้ ได้แต่โน้มตัวยันขอบเตียงเบาๆ มองดวงตาสีอำพันคู่นั้นในที่สุดก็กลับมามีสติน้อยๆ ปลายนิ้วลากไล้ผ่านใบหน้าและหลังหูของนางผะแผ่ว “เจ้าไม่ต้องพูดขอโทษหรอก…”
ดวงตาคู่นั้นของกู้อ้าวเวยเบิกกว้างน้อยๆ คลายมือข้างหนึ่งออกอย่างระมัดระวัง ลูบไล้รอยแดงบนใบหน้าของเขา “ข้าไม่ควรไม่บอกท่าน และไม่ควรปกปิดท่าน ซ้ำยังตบท่านอีก”
อ๋องจิ้งผู้สูงส่งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยถูกคนตบหน้าหัน
แต่ยามนี้รู้สึกถึงปลายนิ้วอันเย็นเยียบนั้น ความโกรธที่ซ่านจินจื๋อเพิ่งปะทุมาเมื่อครู่สลายไปหมดสิ้นแล้ว “ข้าโกรธมากจริงๆ แต่นี่ก็เป็นแค่ฝ่ามือเล็กจ้อยหนึ่งฉาดเท่านั้น”
กล่าวพลาง มือของเขาค่อยๆ เคลื่อนมาถึงท้ายทอยของกู้อ้าวเวย ค่อยๆ ออกแรงเล็กน้อย
รู้สึกได้ว่าคอเสื้อถูกปลดออก ซ่านจินจื๋อหุบรอยยิ้มครึ่งเสี้ยวบนใบหน้าไว้ ปั้นหน้าขรึมยัดนางเข้าไปในผ้าห่ม เดินมาหยิบผ้าขนหนูแช่น้ำด้านข้างจึงกล้าเช็ดคราบน้ำตาบนหน้าให้นางอย่างระมัดระวัง
นอกประตู กุ่ยเม่ยพาจางเหยียงซานเข้ามาเป็นที่เรียบร้อย
จางเหยียนซานรีบรุกหน้ามาตรวจชีพจรให้นางแล้วถ่ายเลือดมาอีกครั้ง กล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ร่างกายนางต่างจากคนทั่วไป พิษนี้ยากจะถอน ได้แต่กระตุ้นนางให้น้อยลง นอกจากนี้ เมื่อครู่เคยบอกว่านางถูกคนถ่ายเลือดตอนที่ไม่รู้ตัว ร่างกายอ่อนแอ คราวนี้อ๋องจิ้งโกรธนางจนเป็นสภาพนี้ด้วยเรื่องอันใด”
เสียงของจางเหยียงซานเจือความโกรธเคืองน้อยๆ มองไปที่สามีและพี่ชายของกู้อ้าวเวย ยิ่งโกรธจนระงับไม่ไหว “ห้ามกระตุ้นนางอีก! ไม่เช่นนั้นเกรงว่าร่างกายนางคงทนฝืนได้ไม่ถึงปี ข้ายังต้องกลับไปค้นคว้าตำราโบราณอีก!”
กล่าวจบก็หอบกล่องยาออกไปอย่างรีบเร่ง
ซ่านจินจื๋อเฝ้านางเงียบๆ แล้วมองกุ่ยเม่ย “แม้แต่จางเหยียงซานยังบอกว่าไร้ทางแก้พิษ ไม่สู้ข้าส่งนางไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยดีกว่า…”
กุ่ยเม่ยนิ่งเงียบเนิ่นนาน ก่อนเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง บางทีข้าอาจต้องคุยกับท่านในฐานะพี่ชายของนางเสียหน่อย”