บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1077
บทที่ 1077 หลอกชักนำหรือว่าจริงใจ
ควบม้าก่อความวุ่นวายในตลาด แต่ไม่ทำร้ายคน
อ๋องจิ้งรีบพาคนไปยังชานเมือง บนหลังม้าด้านหลังก็มีคนเก็บยา
ผู้คนต่างนินทา คนส่วนมากสงสัยว่าทำไมหมอเทพคนนี้ถึงได้คืนความอ่อนเยาว์ได้ และก็สงสัยว่าจริงๆ แล้วอ๋องจิ้งมีใจต่อหมอเทพ หรือว่าจะคิดเพื่อฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชายของตนเอง แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องที่สู้กับองค์รัชทายาทในราชสำนัก ฮ่องเต้ก็อดทนเงียบไม่พูดอะไร ทำให้คนฉงนใจยิ่งนัก
เสียงเกือกม้าดังอยู่ด้านนอกม่านรถม้าไม่หยุด ซูพ่านเอ๋อก็ดิ้นอยู่ในเชือกแต่ก็ไร้ผล ได้แต่รอเสียงภายนอกเงียบลง เมี่ยวหารก็เปิดหีบไม้ออก แล้วก็เอาหญ้าแห้งที่ทับซ้อนกันหลายชั้นออกมา แล้วก็ดึงนางออกมาจากหีบไม้นั่น
ดิ้นรนไปมา เมี่ยวหารก็ดึงผ้าที่อุดปากนางออก
“ถ้าเจ้ายอมฟังความตลอดทางเสียแต่ดีๆ ไม่หมกมุ่นอยู่กับกู้อ้าวเวย ก็ไม่ต้องรับโทษเช่นนี้” เมี่ยวหารมองสายตาที่เริ่มเย็นชาขึ้นของนาง พร้อมด้วยช่วยนางแกะเชือก แล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าไปมีความเห็นอกเห็นใจนางตอนไหน นางเป็นศัตรูของเจ้านะ”
ตัวแข็งทื่อไม่ดิ้นสู้ ตอนที่เมี่ยวหารยื่นมือมาสัมผัสข้อมือของนาง นางถึงจะจับไปที่มือของเมี่ยวหาร แล้วพูดว่า “ทำไมนางถึงเป็นศัตรูของข้า? ศัตรูที่แท้จริงของข้ามีเพียงซ่านจินจื๋อคนเดียวเท่านั้น…….เขาผิดคำพูด เขาหลอกลวงข้า!”
เมี่ยวหารไม่รู้ว่าเริ่มตอนไหน พอพูดถึงกู้อ้าวเวย ซูพ่านเอ๋อก็เอาความผิดทั้งหมดไปโยนใส่ซ่านจินจื๋อ เปลี่ยนเรื่องไปโดยไม่ด่าว่ากู้อ้าวเวยแม้แต่น้อย
ขมวดคิ้ว เมี่ยวหารลากนางเข้าไปยังในบ้านที่ไม่มีใครพบเห็นได้ง่ายๆ ในเมืองนั้น
แต่ในที่ลับมีคนแอบออกไปจากที่นั่น ไปตามขบวนของอ๋องจิ้ง
อ๋องจิ้งรีบควบม้าตลอดทาง ได้ยินลูกน้องรายงานเรื่องซูพ่านเอ๋อและเมี่ยวหาร ก็พูดเสียงนิ่งว่า “ส่งคนไปเฝ้าติดตามไว้ ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องอะไรทั้งนั้น”
“รับทราบ” ลูกน้องค่อยๆ กลับออกไป
มีแต่หลานเอ๋อร์ที่อยู่บนหลังม้า แล้วได้ยินเข้า ก็หัวเราะเบาๆ พูดว่า “องค์ชายสามหวังว่าท่านอ๋องจิ้งจะสามารถหยุดยั้งพวกเขา ท่านอ๋องจิ้งจะอยู่เฉยไม่จัดการได้หรือ………”
“หุบปากไปเสีย”
ซ่านจินจื๋อเอ่ยปากเสียงนิ่ง เฉิงซานที่อยู่ด้านหลังก็รีบปิดปากนาง แล้วก็เดินทางไปยังชานเมืองต่อ
เขามีหรือจะไม่รู้ว่าซ่านเซิ่งหานตั้งใจส่งคนมาที่นี่
ก่อนหน้านี้ที่กู้อ้าวเวยถูกขัง ก็เกี่ยวข้องกับเมี่ยวหารและซูพ่านเอ๋อ ส่วนตอนนั้นที่เขาถูกล่อให้ติดกับดัก ก็มีคนเมืองเหยสุ่ยโผล่ออกมา แต่พวกเขาบอกว่ากำลังปกป้องกู้อ้าวเวย คิดแล้วก็น่าสงสัยยิ่งนัก
ส่วนซ่านจินจื๋อก็หันไปมองหลานเอ๋อร์
หลานเอ๋อร์ตัดสินใจจะฆ่าคนใบ้น้อย ตอนนี้ก็ถูกซ่านเซิ่งหานส่งตัวมา แล้วบอกว่าคนใบ้น้อยเป็นคนเมืองเหยสุ่ย
ถ้าคนเมืองเหยสุ่ย กำลังปกป้องก้าวเวยอย่างลับๆ ด้านนอกเหมือนจะภักดีต่อฮ่องเต้ แล้วซ่านเซิ่งหานจะเสียเวลาให้หลานเอ๋อร์มาฆ่าคนโจ่งแจ้งในเมืองเทียนเหยียนเช่นนี้ทำไมกัน จะว่าไปแล้ว….ในเมืองเหยสุ่ยน่าจะมีคน2กลุ่มแน่ๆ
หลานเอ๋อร์ถูกซ่านจินจื๋อมองจนกลัว เหมือนกับจะนึกถึงภาพความบ้าคลั่งในอดีตของเขาได้
ขบวนเดินทางมาถึงเนินหินข้างๆ หน้าผานอกเมือง ที่แห่งนี้อันตราย เลยมีคนผ่านมาน้อย แต่ในป่าทึบที่แสงส่องไม่ถึงนั้น กลับมีบ้านที่ถูกเผาจนไหม้เกรียม
หลานเอ๋อร์ถูกโยนลงจากหลังม้า โซเซไปหลายถึงจะตั้งหลักได้
ซ่านจินจื๋อในชุดสีกรมท่าเข้ม ยืนปะทะลมที่หน้าผา โดยไม่ขยับตัว ใบหน้าที่เคร่งขรึม ตอนนี้ยืนมองนิ่งไปยังข้างหน้าผา สายตาที่ทำให้คนกลัวคู่นั้น สลายความอาฆาตออกไป และยืนด้วยอารมณ์ไม่เสียใจไม่ดีใจอยู่ด้านข้าง
เฉิงซานจับไหล่เขา “ทำเรื่องของเจ้าเถอะ”
“บ้านนี้เป็นสถานที่ที่คนของเมืองเหยสุ่ยมาพัก ถ้าพวกเจ้ามองละเอียดๆ ก็จะเห็นสิ่งของที่อยู่ในนี้” หลานเอ๋อร์พูดกับท่อนไม้ที่ถูกเผาไหม้
เฉิงซานหันไปมองเบาๆ ด้านหลังก็มีคนเข้าไปตรวจสอบ
ส่วนซ่านจินจื๋อก็ยืนอยู่ด้านข้างเช่นเดิม เหม่อลอยมองไปที่หน้าผา
ไม่นาน ก็มีคนพบกระบองที่คณะละครใช้ในการแสดง และหีบไม้ที่ถูกทำอะไรไว้บางอย่าง ถึงแม้ถูกเผาจะหมดแล้ว แต่ยังหลงเหลือรูปร่างที่พอจะดูอะไรออกบ้าง
“องค์ชายสามชี้ทางบอกพวกเจ้าได้เท่านี้ เขาบอกว่าไม่เชื่อว่าท่านอ๋องจิ้งจะสามารถดูแลคุณหนูใหญ่ได้ อีกอย่าง เขาก็แสดงตนว่าไม่ได้ทำร้ายคุณหนูใหญ่” หลานเอ๋อร์พูดอย่างระมัดระวัง
ตอนที่นางกำลังดูสีหน้าของซ่านจินจื๋อนั้น ก็กลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดว่าตนเองมายื้อเวลา
ซ่านจินจื๋อก็สะบัดแขนเสื้อ ก็ได้ยินเพียงเสียงร่างมนุษย์ร่วงลงไปที่พื้น
นักฆ่าข้างเท้าซ่านจินจื๋อ บนหน้าแกยังมีเข็มเงินหนึ่งเล่ม ซ่านจินจื๋อสะบัดแขนเสื้อ นักฆ่าคนอื่นก็ถูกจัดการ ส่วนมากถูกปาดคอ บ้างก็เลือดอาบทั้งตัว ตายตาเหลือกตาโต เหมือนกับตอนที่ตายก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปลิดชีพตนเอง
มุมปากเผยรอยยิ้ม ซ่านจินจื๋อมองเข็มเงินที่จับอยู่ในมือ ก็หัวเราะพูดเบาๆ ว่า “เข็มเงินของนางนี้ ช่างใช้ดีจริงๆ”
“ท่านอ๋อง คุณหนูจะรู้เอาได้ว่าท่านหยิบเข็มเงินของนาง” เฉิงซานถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ด้านหลัง
ซ่านจินจื๋อเดินหลบนักฆ่าที่ข้างเท้า แล้วเดินมาข้างหน้าหลานเอ๋อร์ “ดูเหมือนว่าที่เขาส่งเจ้ามา ก็อยากจะให้ข้าจัดการกับพวกเศษสวะพวกนี้ด้วย ตอนนี้เมืองเหยสุ่ยมีคนสองกลุ่ม กลุ่มแรกภักดีต่อฮ่องเต้ อีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในมือของเขาใช่หรือไม่?”
หลานเอ๋อร์มองเลือดที่ข้างเท้าอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง สุดท้ายแล้วก็กัดฟันพูดอย่างขาอ่อนแรง “อีกกลุ่มหนึ่ง พวกนั้นมันไม่ภักดีต่อฝ่ายไหน พวกเขาจะทำตามข้อตกลง”
“ข้อตกลงอะไร?” เข็มเงินในมือของซ่านจินจื๋อแทงทะลุเข้าผิวหนังบริเวณคอของนาง “ถูกลอบโจมตีตอนนี้ เป็นไปได้ว่าเจ้าเป็นคนพามาเอง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าซ่านเซิ่งหานจะวางแผนใส่ข้า หรือจะร่วมกับข้ากันแน่ ชีวิตของเจ้า จะเอาไว้หรือไม่ก็ได้”
กลืนน้ำลาย หลานเอ๋อร์ไม่คิดว่าตนเองได้กลับมาอยู่กับอ๋องจิ้งแล้ว จะมีสภาพเช่นนี้
เหงื่อออกเป็นเม็ดฝน นางรีบพูดว่า “เขาเองก็ไม่รู้ เพียงแต่คนกลุ่มนั้นยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองเหยสุ่ย บอกว่าจะปกป้องคุณหนูใหญ่ แต่เหมือนว่าพวกเขาจะฟังคำสั่งจากอีกคน…….”
ไม่รอให้หลานเอ๋อร์พูดจบ ก็รู้สึกเจ็บหลังคอ แล้วก็หน้ามืดไป
เฉิงซานรับร่างหลานเอ๋อร์ แล้วมองซ่านจินจื๋อ “ท่านอ๋องคิดว่าคำพูดขององค์ชายสามน่าเชื่อได้สักเท่าไร”
“ในเมื่อเขาสามารถรวมกำลังของท่านแม่และคนของเมืองเหยสุ่ย ก็น่าจะรู้เรื่องมากมาย” ซ่านจินจื๋อเก็บเข็มเข้าไว้ในเสื้อ แล้วพูดต่อ “ได้ยินว่าคนใบ้น้อยนั่น ชอบไปที่โรงละคร ส่วนที่นี่ก็มีอุปกรณ์การแสดง เช่นนั้นก็ให้คนไปตรวจสอบให้ละเอียด นอกจากนี้ ให้ตงฟางซวนเอ๋อรักษาตัวให้ดี อีกสองวันข้าจะพานางเข้าวัง”
“ท่านอ๋องจะเข้าวังช่วงนี้ มันอันตรายนะ” เฉิงซานยังตั้งสติไม่ทัน
ซ่านจินจื๋อก็ยกมือเบาๆ หยุดคำพูดที่เฉิงซานจะพูดต่อ “ข้าจะไปพบนาง”
“จะไปจัดการเดี๋ยวนี้” เฉิงซานก็เข้าใจได้ แล้วสั่งให้คนมาเปลี่ยนชุดกับซ่านจินจื๋อ แล้วไปออกตามหาให้ไกลออกไป เหมือนว่าพบเบาะแสตามที่ เด็กเก็บยาบอกไว้
ซ่านจินจื๋อก็ขี่ม้าไปคนเดียว เข้าไปยังสวนดอกไม้