บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1092
บทที่ 1092 ฮ่องเต้เท่านั้น
“ดังนั้น ที่เจ้ามาในวันนี้ ก็เพื่อมาสั่งสอนข้าหรือ?”
หางตาซ่านจินจื๋อกระตุกไม่หยุด มองดูผู้หญิงที่หยิ่งและก้าวร้าวตรงหน้าคนนี้
เมื่อก่อนไม่ว่าจะเป็นหยินเชี่ยว หลังจากแต่งงานเข้าไปในจวนฉี ก็กลายเป็นคนหยิ่งผยอง และตอนนี้ฉีหรัว หลังจากแต่งงานแล้วก็กลายเป็นคนไม่เกรงกลัวอะไร ดูเหมือนว่าผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับตระกูลฉี ล้วนเอาแต่ใจและก็เผด็จการ
ฉีหรัวฟาดถ้วยในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง จ้องมองดูอยู่อย่างโมโห
“ข้าอยากที่จะทำแบบนี้มานานหลายปีมากแล้ว แต่เพราะเจ้าเป็นเสด็จอ๋องจิ้งผู้สูงส่ง ส่วนข้าเป็นแค่เพียงคุณหนูคนหนึ่งของสำนักเยียนหยู่เก๋อ จึงทำได้เพียงอ่อนน้อมไม่กล้าพูด”
“ตอนนี้ข้าเป็นพระชายาอ๋องจงผิง ต่อให้เจ้าคิดจะลงโทษข้า แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าหัวจะหลุดจากบ่า” แววตาฉีหรัวคมเฉียบ พูดขึ้นด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองที่อดกลั้นไว้มานานหลายปีว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่คู่ควรกับนางมาแต่แรกแล้ว วันนี้จางเหยียงซานบอกว่านางกลัว ความกลัวนี้ก็เป็นเพราะเจ้าไม่ใช่หรือ?”
ฟังน้ำเสียงต่อว่าของนางนี้ แววตาของซ่านจินจื๋อก็ค่อยๆเศร้าลง
จางเหยียงซานไออย่างไม่หยุด หวังอยากให้ฉีหรัวไม่ต้องพูดจาไร้มารยาทแบบนี้อีกต่อไป ถึงแม้อ๋องจิ้งจะทนได้ทุกอย่างเพื่อกู้อ้าวเวย แต่ความที่รักใครก็รักคนหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเขาด้วยนั้นก็มีขีดจำกัด
แต่ฉีหรัวกลับไม่ยอมหยุด
“ด้วยชาติกำเนิด นางไม่ใช่คนชางหลาน ยิ่งไม่ใช่ลูกสาวขุนนางต้องโทษ ด้วยความสัมพันธ์ นางก็ไม่ใช่ลูกน้องหรือศัตรูของเจ้า แต่เป็นภรรยาของเจ้า เป็นดวงใจของเจ้า แต่ตอนนี้เจ้ากลับขังนางไว้ในที่แห่งนั้น ทำไมถึงไม่ให้นางไปจากที่นี่พร้อมกับฉูห้าว กลับไปยังแคว้นเอ่อตาน?”
พูดถึงตรงนี้ แววตาซ่านจินจื๋อฉายแววอาฆาต
ฉีหรัวรู้สึกหายใจติดขัด อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก จนทำให้นางขนลุกไปทั้งตัว ต่อหน้ากลับยังพยายามเข้มแข็ง จับที่วางแขนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“นางจะไปจากข้าได้ยังไง?” น้ำเสียงของซ่านจินจื๋อแหบแห้งราวกับเสียงคนใกล้ตาย โต๊ะสั่นคลอน แตกกระจายอยู่ภายใต้ฝ่ามือของเขา พูดขึ้นด้วยแววตาแฝงไปด้วยเส้นเลือดว่า “นางชนะใจผู้คน รอบกายนางรายล้อมไปด้วยผู้คนที่คิดเผื่อนาง หากนางกลับไปแคว้นเอ่อตาน รับฟังเชื่อคำใส่ร้ายแล้วหนีจากไป ข้าจะไปตามหานางได้ที่ไหน?”
ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น โต๊ะเล็กตัวหนึ่งแตกหัก เขม่าฟุ้งกระจาย
ฉีหรัวกลับเบิกตาโต ฟังเหตุผลของซ่านจินจื๋อแล้ว ก็ตบโต๊ะและพูดว่า “ที่แท้นี่ก็เป็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้า เสียแรงที่ก่อนหน้านี้ข้ายังช่วยพูดความดีให้กับเจ้า”
“ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาพูดเข้าข้างข้า” ซ่านจินจื๋อมองดูนางด้วยดวงตาแดงก่ำ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าเคยสูญเสียนางไปแล้วตั้งหลายครั้ง นางเคยหนีไปแล้วตั้งกี่ครั้ง ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก หากต้องสูญเสียนางไปอีก ข้าอาจจะตาย”
คำพูดสี่คำสุดท้ายนี้ เหมือนกัดฟันพูดออกมา
ความบ้าคลั่งกวาดเอาสติความชัดเจนในดวงตาของเขาไป ทิ้งไว้เหลือเพียงความเยือกเย็น
ฉีหรัวนิ่งอึ้งอยู่กับที่ รู้สึกว่าความอัดอั้นนั้นหายไปหมดแล้ว บนตัวซ่านจินจื๋อนางสัมผัสได้เพียงลมหายใจที่เหนื่อยล้า อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
“พวกเจ้าเหมาะสมกันจริงๆ”
ทิ้งประโยคนี้ไว้อย่างโมโห แล้วฉีหรัวก็หันหน้าเดินจากไป
ทั้งสองเกือบจะเหมือนกันทุกประการ
พวกเขาไม่เคยถูกความบ้าคลั่ง กลืนกินภายใต้ความอันตราย แต่จะซ่อนความบ้าคลั่งนั้นไว้ในมุมที่ไม่มีใครเห็น รอจนกระทั่งวันหนึ่งปล่อยให้สิ่งเหล่านี้กลืนกินพวกเขา
เหมือนกู้อ้าวเวยที่ไม่เคยหยุดที่จะเสี่ยงและทำร้ายตนเอง เพื่อค้นหายาอายุวัฒนะ
ถลำลึกเข้าไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ความจริงแล้วเป็นเพราะนางหลงใหลรักชอบที่จะศึกษาเรียนรู้เทคนิคทางการแพทย์ นางยอมทำทุกอย่างเพื่อเทคนิคทางการแพทย์
จนเมื่อนางมีลูกกับคนรัก ถึงได้ตกอยู่ในโลกแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกประการนี้ แต่ผลอันขมขื่นของสิ่งที่ทำลงไปแล้วนั้น ไม่สามารถหวนกลับคืนมาได้ ทำได้เพียงเสียใจแต่ก็ยังต้องเสี่ยงต่อไป สับสนล่องลอยไม่แนวแน่
เหมือนซ่านจินจื๋อในวันนี้ หลงใหลจนบ้าคลั่ง เจ็บปวดสะบักสะบอมกับการหนีไปอย่างนับไม่ถ้วน กลับเพราะรู้สึกผิด จึงไม่เคยพูดต่อหน้ากู้อ้าวเวย แต่กักขังนางไว้ข้างกายอย่างสุดลูกหูลูกตา
ตอนอยู่ชายแดนหลายเดือนในตอนนั้น เขาก็ทำเช่นนี้
เส้นทางเส้นเดียวภายใต้หน้าผาในตอนนี้ ก็เป็นเช่นนั้น
ซ่านเชียนหยวนที่รับรู้จากสาวใช้ว่าฉีหรัวไปหาเรื่องอ๋องจิ้ง ก็รีบวางงานในมือแล้วก็ตามมาหาอย่างรวดเร็ว
เขารู้ดีอยู่แล้วว่า ถึงแม้ต่อหน้าฉีหรัวจะคอยปกป้องซ่านจินจื๋อ ยิ่งเชื่อมั่นในการกระทำของซ่านจินจื๋อ แต่ในฐานะที่เป็นเพื่อนของกู้อ้าวเวย ยังไงในใจของนางก็ยังโกรธอยู่
ทำให้ตอนที่ไม่มีกู้อ้าวเวย ฉีหรัวไม่ค่อยพอใจซ่านจินจื๋อเลย
เมื่อเขาเร่งรีบมาถึงจวน ฉีหรัวก็กำลังเดินออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“หรัวเอ๋อร์”เห็นนางหน้าบึ้ง ซ่านเชียนหยวนเดินเข้ามาหาอย่างประหม่า
ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกฉีหรัวใช้มือผลัก พร้อมพูดว่า “เสด็จอาของเจ้าทำทุกอย่างเพราะหวังดีกับกู้อ้าวเวยจริงๆหรือ กักขังนางไว้ข้างกายก็เพราะหวังดีต่อนางหรือ?”
“อะไรนะ?”ซ่านเชียนหยวนฟังอย่างงุนงง แต่ก็ยังเข้าไปกอดนางไว้อย่างเอาใจ
ฉีหรัวกลับใช้มือดันเข้าไว้ พร้อมพูดว่า “อย่าแตะต้องข้า เดี๋ยวเจ้าไปพบเสด็จอาของเจ้า ไม่แน่เขาอาจจะพูดว่าที่ข้าแต่งงานกับเจ้า ก็เพื่อจะได้ต่อว่าเขาได้อย่างเหมาะสม”
พูดเสร็จ ฉีหรัวมองดูเขาแว๊บหนึ่ง แล้วก็เดินจากไปอย่างโมโห
ซ่านเชียนหยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในท้ายที่สุดก็ตัดสินใจไปถามเสด็จลุงว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังสามารถทำได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทำไมกู้อ้าวเวยเพิ่งจากไปได้ไม่กี่วัน เรื่องทุกอย่างก็เริ่มพังทลายแล้ว
เมื่อเข้าไปแล้วก็เห็นเศษโต๊ะพังกองเต็มพื้น ซ่านเชียนหยวนแค่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ซ่านจินจื๋อที่ยืนอยู่ตรงหน้าชั้นวางหนังสือ ในมือถือตำราไว้หนึ่งเล่ม พร้อมพูดว่า “นางไม่ได้บอกเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นใช่ไหม?”
ซ่านเชียนหยวนนิ่งอึ้ง พยักหัว
ตำราในมือซ่านจินจื๋อไม่ได้ถูกปิดลง เพียงมองดูเขาพร้อมพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “ระวังผู้หญิงคนนี้หน่อย บางทีนางอาจจะแต่งงานเพียงเพราะเพื่อกู้อ้าวเวย วันนี้มาสั่งสอนข้าถึงที่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม เจ้าควรที่จะสั่งสอนนางบ้าง สั่งกักบริเวณนางไว้ครึ่งเดือน”
พูดเหมือนกับที่ฉีหรัวพูดไว้ไม่มีผิด
ได้ยินคำว่ากักบริเวณ ซ่านเชียนหยวนตกตะลึง พูดขึ้นด้วยสีหน้าย่ำแย่ว่า “เสด็จอา นี่ท่านเป็นอะไร? ข้าเพิ่งแต่งงานกับหรัวเอ๋อร์ไม่นาน ให้สั่งกักบริเวณนางตอนนี้ คนอื่นจะคิดกับนางยังไง…”
“เจ้าเพิ่งแต่งงานกับนางไม่นาน นางก็กล้าที่จะมาชี้หน้าด่าข้าแล้วหรือ?” ซ่านจินจื๋อตบโต๊ะพูดขึ้น พร้อมโยนตำราทิ้งไปอีกข้าง จ้องมองด้วยสายตาเย็นชา พร้อมพูดว่า “นางไม่ควรอาศัยที่ตนมีสถานะเดียวกับอ้าวเวย แล้วมาด่าว่าข้าอะไรก็ได้”
“และตอนนี้มารยาทในวังก็สูญสิ้นหมดลง ไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้ากับข้าในฐานะที่เป็นราชวงศ์ตระกูลซ่าน ควรกระทำเป็นแบบอย่าง ไม่ควรปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นภายนอก เรื่องกักบริเวณเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปที่จวนของเจ้า”
เมื่อพูดจบ ซ่านเชียนหยวนก็ยิ่งไม่เข้าใจ จึงถามขึ้นว่า “เสด็จอา เจ้าแค่เข้าวังไปครั้งเดียวเอง ทำไมถึงกลายเปลี่ยนไปแบบนี้?”
“เพียงแค่รู้สึกว่า เมืองเทียนเหยียนในตอนนี้ ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว” ซ่านจินจื๋อหายใจเข้าลึกๆหนึ่งที แววตาฉายแววกระจ่างใส ก้มตัวลงนั่งพิงพนักแขน เขาพูดขึ้นอีกว่า “ในเมื่อตอนนี้ข้าคิดอยากที่จะขจัดความวุ่นวายและเรียกคืนความสงบเรียบร้อย ดังนั้นเรื่องบางเรื่องจึงจำเป็นต้องทำ”
“นี่ล้วนเป็นเรื่องงาน เสด็จอาพูดอะไรกับหรัวเอ๋อร์ นางบอกว่าเจ้ากักขังกู้อ้าวเวยไว้ข้างกาย หมายความว่ายังไง?” ซ่านเชียนหยวนเดินเข้ามาพูดตัดคำพูดของเขา ยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมพูดว่า “หรัวเอ๋อร์เป็นคนถ่อมตัว หากเจ้าไม่พูดให้นางโกรธ นางจะไม่มีทางพูดจาหยาบคาย”
ความเงียบปกคลุมระหว่างทั้งสองอาหลาน หัวใจของซ่านเชียนหยวนค่อยๆดิ่งลงเหว จนซ่านจินจื๋อพูดขึ้นว่า
“หลังจากเข้าวังไปแล้วค่อยรู้ว่า มีเพียงคนเดียวในโลกที่สามารถครอบครองสาวงาม ได้โดยไม่ต้องสนใจกฎหมายขนบธรรมเนียม”
“นั่นก็คือฮ่องเต้”