บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1096
บทที่ 1096 ปิดบังอาการป่วย
“เป็นถึงอ๋องจิ้ง ไร้เดียงสา”
อิจฉาได้แม้กระทั่งหลานแท้ของตัวเอง กู้อ้าวเวยปีนป่ายลงมาจากบนตัวเขาอย่างคุ้นเคย ความรู้สึกที่ห่างเหินมานานของแขนสองข้างนั้น ชอบวางอยู่ตรงเอว รอจนเมื่อนางลงถึงข้างเตียงอย่างมั่นคงแล้ว ค่อยโน้มตัวสวมรองเท้าแล้วก็ออกไป
หยิบเสื้อตัวนอกด้านข้างมาคลุมไหล่ แล้วก็กำลังจะเดินไปเปิดหน้าต่างมองดูอากาศด้านนอก
แต่ผู้ชายที่ควรอยู่บนเตียงนั้น กลับแนบชิดอยู่ด้านหลังของนางอยู่อย่างเงียบๆ ยกมือจับข้อมือทั้งสองของนางไว้ พร้อมทั้งเอาผ้าห่มผืนหนามาคลุมให้กับนาง
“ไม่แน่เจ้าอาจจะเป็นหวัดเป็นคนที่สี่”
ซ่านจินจื๋อถอนหายใจอย่างแรงอยู่ด้านหลังเขา ทั้งลากทั้งประคองนางกลับไปบนเตียงและสวมเสื้อผ้าต่อไป พร้อมทั้งเปิดหน้าต่างบานที่ใกล้ที่สุดให้กับนาง มองชมหิมะขาวโพลนร่วงโรยใต้หน้าผา กู้อ้าวเวยถูกลมหนาวพัดจนต้องหดเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม โผล่ให้เห็นเพียงดวงตาหนึ่งคู่
ซ่านจินจื๋อสวมชุดบางยืนอยู่ตรงหน้าต่าง สัมผัสได้ถึงแรงลมภายใต้หน้าผา แล้วจึงดึงบานหน้าต่างมาปิด ดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง เอาถ่านใส่ลงไปในอ่างถ่านแล้วจุดไฟอย่างชำนาญ จนน่าแปลกใจ
“เมื่อก่อนเจ้าทำงานพวกนี้บ่อยหรือ?”กู้อ้าวเวยนอนตะแคงอยู่ตรงข้างเตียงที่เขาเพิ่งนอนเมื่อกี้ เงยหัวมองดูบานประตูที่เขาแง้มเปิด กลับแปลกใจที่ไม่มีลมพัดเข้ามา
“ทำศึกออกรบ ไม่ได้อยู่อย่างสุขสบาย เพิ่งถูกตามใจมาหลายปีนี้เอง”
“เจ้าแน่ใจว่าเจ้าไม่ได้เหี้ยมโหดดุร้าย พวกคนใช้จึงคอยรับใช้อย่างระมัดระวัง?”กู้อ้าวเวยดูไม่ออกเลยว่าซ่านจินจื๋อถูกตามใจมาจนโต
คิดถึงตอนที่เขาออกไปทำศึกสู้รบ ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ขุนนางในราชสำนักต่างก็พูดว่าเขาโฉดชั่วเสมือนหมาป่า ล้วนก็คอยหาเรื่องกลั่นแกล้งเขาตลอด หรือบางคนคอยคิดหาทางกดขี่เขา รอเมื่อวันหนึ่งเขาได้ขึ้นไปอยู่ในไปฮ่องเต้ ค่อยช่วยเหลือสนับสนุนคนที่เคยช่วยเหลือเขา
แต่ความคิดของเขา ค่อนข้างคาดเดายากไปหน่อย
ตอนนี้ซ่านจินจื๋อกำลังขำกับคำพูดประโยคนี้ของนาง “คุณรู้ด้วยหรือ?”
“รู้อยู่แล้ว ข้าเป็นคนที่ใครเห็นแล้วใครก็รัก ส่วนเจ้า เป็นคนที่ใครเห็นแล้วใครก็ไม่ชอบ” กู้อ้าวเวยอมยิ้ม ฟังเสียงถ่านไฟแตก เหมือนดั่งภายในดวงตาก็มอดไหม้ไปด้วย พร้อมพูดขึ้นว่า “พวกเขาไม่ชอบเจ้า ไม่เพียงเพราะอำนาจตำแหน่งของเจ้า แต่เป็นเพราะพวกเขาทำอะไรเจ้าไม่ได้ เปลี่ยนแปลงนิสัยเจ้าไม่ได้ และเป็นคนที่เจ้าชอบพอใจไม่ได้”
“นี่จึงเป็นเหตุผลที่เจ้ายังรักชอบข้าหรือ?”ซ่านจินจื๋อก็ยิ้มมองดูนาง
“เพราะข้าก็สู้เจ้าไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงลองหาวิธีอื่นๆไง”กู้อ้าวเวยเห็นว่าภายในห้องค่อนข้างอุ่นแล้ว จึงลุกขึ้นมาหยิบเสื้อผ้าด้านข้างมาสวม แล้วเดินไปด้านข้างซ่านจินจื๋อ ก้มตัวลงเอามือผิงเตาถ่านนั้นไว้
“เย็นเร็วขนาดนี้เลยหรือ?”ซ่านจินจื๋อยกมือกุมมือของนางไว้ แล้วก็พบว่ามือของนางเย็นอย่างมาก
“ฤดูหนาวก็เป็นแบบนี้แหละ ตอนนั้นข้าฝึกการต่อสู้กับกุ่ยเม่ยเพียงไม่กี่กระบวนท่าเอง จะแข็งแรงเทียบกับพวกเจ้าได้ยังไง”กู้อ้าวเวยหัวเราะ
ในใจกลับรู้ดี ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็ไม่มีใครมือเท้าเย็นขนาดนี้ ไม่มีสิ่งให้ความอบอุ่น ก็จะเหลือไว้เพียงความเยือกเย็น
สายตาซ่านจินจื๋อฉายแววเย็นชา ทั้งสองคนต่างก็รู้ตัวไม่มีใครพูดเปิดเผยใคร
“ข้าไปเอาของกินมา”ซ่านจินจื๋อยกเก้าอี้ให้กับนาง แล้วก็ไม่รู้ว่าเอายางมัดผมออกมาจากไหน ช่วยนางรวบมัดผมที่ยาวสลวยอย่างชำนาญ นิ้วมือสัมผัสโดนใบหูที่เยือกเย็นของนาง จึงเอามือกุมไว้แปบหนึ่ง แล้วก็ออกไป
ปล่อยให้กู้อ้าวเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้คนเดียว เอามือเท้าคางไว้ แล้วครุ่นคิดอยู่อย่างเหม่อลอย
ถึงแม้ช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับซ่านจินจื๋ออย่างสบายแบบนี้จะหาได้ยาก แต่ในใจของนางกลับเป็นกังวลไม่เป็นสุข ยกมือขึ้นจับกระชับผ้าตรงหน้าอกไว้แน่น พร้อมกับภายในท้องที่มีอาการคลื่นใส้ แต่อยู่ต่อหน้าซ่านจินจื๋อนางกลับทำได้เพียงอดกลั้นไว้
ไม่นาน ซ่านจินจื๋อก็ยกกับข้าวร้อนๆเข้ามา เหมือนเมื่อกี้ตอนที่นางนอนอยู่ ก็ได้สั่งให้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้ให้เรียบร้อยแล้ว นางทานไปไม่กี่คำแล้วก็พูดขึ้นว่า “เอาไปให้เซียวเซียวกับหยินซี่งแล้วหรือยัง?”
“ส่งไปให้แล้ว” ซ่านจินจื๋อเอาตะเกียบคีบเนื้อใส่ปากของนาง พร้อมถามว่า “เจ้าอยากเจออี้จื๋อกับชิงจือไหม?”
“อยากเจอสิ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”
พูดจบ กู้อ้าวเวยกลับกระพริบตาอย่างแปลกใจ
เมื่อกี้ เหมือนนางเห็นสีหน้าของซ่านจินจื๋อแสดงท่าทีปล่อยวาง
ความปล่อยวางนี้มาได้อย่างไร?
เดิมนางอยากที่จะพูด กลับได้ยินเสียงบานประตูเปิดออก แล้วลูกน้องที่เปื้อนไปด้วยหิมะขาวโพนรีบวิ่งเข้ามา คุกเข่าอยู่ด้านข้างซ่านจินจื๋อ พร้อมกระซิบพูดว่า “แย่แล้วท่านอ๋อง ตอนนี้เสด็จอ๋องจงผิง กำลังรออยู่ที่อ๋องจิ้ง พูดว่า…”
“เตรียมกลับจวน” ซ่านจินจื๋อพูดตัดคำพูดของเขา กลับไม่เหมือนที่จะไปจากโต๊ะกินข้าว เพียงแค่มองดูกู้อ้าวเวย พร้อมพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ ช่วงนี้หยวนเอ๋อยิ่งอยู่ก็ยิ่งไม่มีความคิดเป็นของตนเอง แม้แต่ฉีหรัวก็เอาเขาไม่อยู่”
ยิ่งปกปิดยิ่งเห็นได้ชัด
“งั้นทำไมเขาถึงพูดว่าแย่แล้ว?”กู้อ้าวเวยหรี่ตาลง ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อผ้าขององครักษ์ลับคนนี้ไม่เหมือนกับองครักษ์ในจวน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่า ซ่านจินจื๋อยังเลี้ยงคนพวกหนึ่งไว้อารักขาอยู่ในเมือง รู้ว่าต้องมีความเกี่ยวพันกัน กลับไม่น่าใกล้ชิดกันขนาดนี้
“ฉีหรัวพูดจาไร้มารยาท ข้าก็เลยต้องกักบริเวณนางไว้ครึ่งเดือน ไม่เช่นนั้นหากเสด็จพี่รู้เรื่องนี้ คงจะไม่แค่กักบริเวณง่ายๆแบบนี้แน่” สายตาซ่านจินจื๋อเศร้าลง คีบกับข้าวใส่ในถ้วยกู้อ้าวเวย พร้อมพูดว่า “หยวนเอ๋อมาหาข้า คิดว่าคงจะเป็นเรื่องกักบริเวณ”
“จริงหรือ?”กู้อ้าวเวยมองดูคนคนนั้นอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ลูกน้องคนนั้นครุ่นคิดอยู่แปบหนึ่ง แล้วก็รีบพยักหัว พร้อมพูดว่า “เพื่อเรื่องที่พระชายาอ๋องจงผิงถูกกักบริมาณจริงๆ บอกว่าจะมาคุยถึงเหตุผลกับท่านอ๋อง”
เขาแค่ไม่พูดว่า ที่อ๋องจงผิงรีบมา ยังมีเรื่องอื่นอีกด้วย
ในใจของกู้อ้าวเวยค่อยโล่งอกไปที หลังจากลูกน้องได้รับคำสั่งแล้วก็หันตัวเดินออกไป นางค่อยถามต่อว่า “ฉีหรัวพูดอะไรหรือ?”
“พูดจาไปเรื่อยด้วยอารมณ์ร้อนเท่านั้นเอง”ซ่านจินจื๋อพูดกับนางอย่างผ่านพ้น
ที่อ๋องจงผิงมาถึงจวน ไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องฉีหรัว ซ่านจินจื๋อก็รู้อยู่แล้ว ถึงแม้เขาสั่งกักบริเวณฉีหรัว แต่ยังไงซ่านเชียนหยวนก็เห็นภรรยาเป็นเหมือนดั่งไข่มุกล้ำค่า ยอมให้นางลำบากเสียที่ไหน
เขาเองก็ไม่ได้ให้ใครไปเฝ้า ปิดหูปิดตาข้างหนึ่ง แล้วจะเป็นเพราะเรื่องนี้ได้อย่างไร?
เวลานี้กู้อ้าวเวยก็เชื่อคำพูดของซ่านจินจื๋อ ลูกน้ององครักษ์ทั้งหมดของเฉิงซานที่อยู่ในจวนอ๋องจิ้ง ต่างก็เคยได้รับคำสั่ง ว่าจะดูแลปกป้องอ๋องจิ้งเหมือนกับปกป้องนาง ห้ามไม่ให้พูดเท็จ จึงทำให้เชื่อเรื่องนี้
ทานข้าวมื้อนี้จนเสร็จอย่างสบายใจ ซ่านจินจื๋อเอียงตัวไปใกล้หอมแก้มกู้อ้าวเวย แล้วค่อยจากไปท่ามกลางลมหิมะ กู้อ้าวเวยยืนมองไกลๆอยู่ตรงริมหน้าต่าง รอเมื่อคนคนนั้นหายลับเข้าไปในความมืด แล้วจึงปิดบานหน้าต่างไว้อย่างมิดชิด
ดาวอังคารกระโดดโลดเต้น เลือดสีแดงสดเปื้อนเต็มฝ่ามือ