บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1102
บทที่ 1102 เป็นทุกข์เป็นร้อนในเรื่องผลได้ผลเสียส่วนตัว
ขนมหวานของหอเยาเยว่ ไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าไหร่นัก ทว่าซ่านจินจื๋อรู้สึกว่าความอยากอาหารของกู้อ้าวเวยกลับดีขึ้นมาก
เพียงแต่วันนี้มีความในใจหนักอึ้ง อาหารจึงไร้ซึ่งรสชาติ
เมื่อครู่เมื่อนางกินไปแล้วสองชิ้นก็ไม่ได้คิดที่จะยื่นมือหยิบมากินอีก ส่วนซ่านจินจื๋อฉวยโอกาสช่วยปัดเศษน้ำตาลที่มุมปากของนาง เมื่อเห็นสายตางุนงงของกู้อ้าวเวยที่มองมา เขาเลยได้แต่ยิ้มน้อยๆ พูดขึ้นด้วยเสียงเบาอีกครั้งว่า “ปกติแล้วล้วนแต่มีคนมากมายรบเร้าพัวพันที่ด้านข้าง วันนี้กลับมีเพียงเจ้ากับข้า”
“หากว่าไม่ใช่ในสถานการณ์เช่นนี้”
กู้อ้าวเวยเบี่ยงหลบจากปลายนิ้วของเขาอย่างเย็นชา ในที่สุดนางก็เกิดความตื่นตัวขึ้นมา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่านางจะเชื่อถือเขาอย่างหมดหัวใจ จนทำให้นางลืมเลือนเรื่องต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในตอนนั้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ข้าจะส่งคนไปรับตัวอี้จื๋อมา แล้วส่งไปที่จวนอ๋องจงผิง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหยวนเอ๋อก็เป็นอ๋องจงผิง ถึงแม้ว่าเสด็จพี่จะตั้งมั่นต้องการคน แต่อีกหลายวันพระองค์ถึงจะหาเหตุผลได้ ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลพระมารดาของหยวนเอ๋อก็กำลังจ้องที่จะฉกฉวยโอกาส เกรงว่าทุกวันนี้สตรีในวังหลังคงต่างรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของยู่จุนแล้ว”
น้ำเสียงของกู้อ้าวเวยเรียบเฉย แต่ใบหน้ากลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
ต้วนโฉงปฏิบัติต่อหยูนซีไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุนี้เลยส่งนางไปอยู่ในตำหนักที่ถูกทิ้งร้างที่มีสิ่งของไม่มากนัก คาดว่าคงเป็นพระมารดาที่เอาตัวนางออกมาจากสถานที่ตรงนั้น แต่กลับคาดไม่ถึงว่าที่ตำหนักร้างแห่งนั้นกลับยังมีคนสองคนที่ยังเหลืออยู่ คิดเพียงว่าต้วนโฉงยังคำนึงถึงว่ายู่จุนเคยพักอาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อน จึงได้ไปดูอยู่หลายครั้ง
เมื่อตอนที่ยู่จุนฟื้นขึ้นมา ต้วนโฉงยิ่งแทบอยากที่จะมอบแผ่นดินนี้ไว้ในมือของนาง
คงไม่ต้องเอ่ยถึงนางสนมของวังหลังที่ถูกปฏิบัติอย่างแสนเย็นชา แม้กระทั่งเหล่าขุนนางสำคัญของราชวงศ์ก่อนหน้าก็ปฏิบัติด้วยอย่างขอไปที ในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังกระทำการตามใจชอบโดยพลการ มาถึงทุกวันนี้ยังหลงมัวเมาในอิสตรี ทั้งยู่จุนเองก็เอาแต่ตีฆ้องร้องป่าวร้องขอสิ่งของต่างๆ ยากที่จะไม่ให้ถูกค้นพบ ไม่ให้ถูกกล่าวหา
แต่ว่าข่าวคราวเหล่านี้จะถูกเผยแพร่ออกมาได้อย่างไร ทั้งยังถูกแต่งเติมเสริมเข้าไปแถมยังพัวพันไปถึงประเทศชาติบ้านเมืองอีกได้อย่างไร
ซ่านจินจื๋อรู้ชัดแจ้งอย่างที่สุด
กู้อ้าวเวยมองใบหน้าที่แสดงอารมณ์ออกมาเพียงเล็กน้อยของซ่านจินจื๋อ ในห้วงสมองของนางเองพลันแจ่มชัดขึ้นมา เพียงแต่ในหัวใจนางยังคงเย็นเฉียบ พลางพูดขึ้นว่า “เจ้ากับฮองเฮาร่วมมือกัน เพียงเพื่อแย่งชิงตำแหน่งนี้มาชอบธรรมจริงๆหรือ?”
“หลายปีมานี้เสด็จพี่โยกย้ายขุนนางอย่างต่อเนื่อง ตอนนั้นเพียงแค่ขุนนางที่เป็นพรรคพวกของกู้เฉิงก็ถูกส่งออกไปยังโจวเฉิงร่วมร้อยคน ส่วนขุนนางเก่าที่เหลือก็ต่างขอลาออกกลับไปยังบ้านเกิด ที่เหลืออยู่ก็อย่างเช่นตระกูลตงฟางที่เป็นเหมือนเสือกระดาษ แล้วยังจะมีขุนนางจงรักภักดีต่อฮ่องเต้เหลืออยู่ได้อย่างไร”
ซ่านจินจื๋อพูดออกมาอย่างเรียบเฉย พร้อมทั้งให้คนนำน้ำขิงมาให้ เขาไม่สนใจผ่านมือของกู้อ้าวเวย ต้องการที่จะป้อนน้ำขิงทีละช้อนไปที่ริมฝีปากของนาง
น้ำขิงหวานละมุนแต่กลับไม่เลี่ยน เข้ากันได้ดีกับขนมที่หวานเลี่ยนอย่างพอเหมาะพอเจาะ
แต่ในสายตาของซ่านจินจื๋อ ท่าทีอันว่าง่ายของกู้อ้าวเวยนั้น ทำให้เขาชื่นชอบเป็นอย่างมาก
ใบหน้าของนางอ่อนโยนกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก ริมฝีปากดั่งลูกอิงเถา(เชอร์รี่)นี้กลับช่างเจรจาเหมือนแต่ก่อน แต่ละคำที่พูดออกมาตรงไปตรงมาอย่างเชือดเฉือน จะมีเพียงใบหน้าที่ตอบลง ไม่เรียวงามเหมือนเช่นเคย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ท่วงท่าของซ่านจินจื๋อจึงทำเป็นเชื่องช้าลง
กู้อ้าวเวยมองผ่านช้อนไปด้วยความแปลกใจ ราวกับกำลังถามว่าเหตุใดเขาจึงเหม่อลอย
ซ่านจินจื๋อไอเบาๆ ออกมาสองครั้งพร้อมกับเก็บช้อน พลางพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าสงสัยในตัวข้า คาดเดาได้อย่างไรทุกวันนี้ข้าต้องถูกมัดมือมัดเท้าไปเสียทุกด้าน ทั้งต้องให้ยู่จุนรักษาอาการป่วยของเจ้า ทั้งยังต้องให้ทุกคนในตระกูลของพวกปลอดภัย แล้วเข้าใจถึงความลำบากนั้นไหม?”
คำพูดประโยคนี้นั้น กู้อ้าวเวยกลับฟังไม่ออกว่าเป็นจริงหรือเท็จกันแน่
ถึงอย่างไรเขาเองก็เคยลงมือทำร้ายชีวิตคนบริสุทธิ์เพื่อซูพ่านเอ๋อ
และลูกคนแรกระหว่างพวกเขาเองก็ถูกทอดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ไม่รู้ว่าซ่านจินจื๋อจะเป็นทุกข์เสียใจกับเรื่องนี้บ้างหรือไม่
เพราะนางรู้ว่าซ่านจินจื๋อเห็นแก่ตัวมากแค่ไหนกับคนรักของตน
ดังนั้นเวลาเช่นนี้จึงยังไม่อาจที่จะเชื่อถือ
เมื่ออ่านออกถึงการต่อสู้ดิ้นรนและความสงสัยในสายตาของนาง ซ่านจินจื๋อจึงทำได้เพียงแต่ถอนหายใจอย่างรุนแรง ป้อนน้ำขิงไปที่ริมฝีปากของนาง พูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่จำเป็นจะต้องเชื่อถืออะไรข้าก็ได้ ขอเพียงเจ้าอยู่สุขสบายดีก็พอแล้ว”
“ช่างเป็นคนเห็นแก่ตัวยิ่งนัก”
กู้อ้าวเวยถลึงตามองเขาอย่างจนปัญญา แต่ก็ยังคงดื่มน้ำขิงนั้นลงไปอย่างว่าง่าย
เสียงเล่านิทานของห้องโถงในโรงเตี๊ยมยังไม่ขาดหาย กู้อ้าวเวยก็พลันหลับลึกไปไม่รู้เวลาไหน
ยกมือโอบกอดคนที่หลับสะลึมสะลือเอาไว้ในอ้อมกอด ซ่านจินจื๋อสัมผัสนิ้วอันเย็นเฉียบของนางทีละนิ้วเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับมือของนาง ส่วนน้ำขิงนั้นกลับยังไม่ได้ถูกเด็กรับใช้ยกออกไป แต่กลับถูกองครักษ์ข้างกายของซ่านจินจื๋อยกไปแทน
เฉิงซานค่อยๆ เดินเข้ามาทางประตู พูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ปริมาณยาไม่มากนัก เพียงมีสรรพคุณช่วยให้นางหลับสบายเท่านั้น”
“เท่านี้ก็พอแล้ว”
ใบหน้าของซ่านจินจื๋อเยือกเย็นลง ปลายนิ้วของเขายึดกุมมือของกู้อ้าวเวยเอาไว้อย่างอ่อนโยน ลูบไล้ไปตามรอยแผลเล็กละเอียดที่ยังเหลืออยู่บนปลายนิ้วของนาง เพียงแต่เมื่อปลายนิ้วสัมผัสแนบแน่นเข้า เขาจึงโน้มกายจุมพิตแผ่วเบาไปที่หว่างคิ้วของหญิงสาว ดวงตาทั้งสองข้างนั้นช่างเย็นเฉียบนัก
เขาไม่ปรารถนาที่จะฟังกู้อ้าวเวยพูดถึงบุคคลอื่นครั้งแล้วครั้งเล่า
เพียงหวังอยากให้นางพูดถึงแต่ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือสนทนาถึงเรื่องอื่นๆ
เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเริ่มพูดคุยเรื่องที่เป็นทางการ ซ่านจินจื๋อก็มักจะรู้สึกว่าระหว่างพวกเขากำลังถูกเชื่อมโยงถึงกันด้วยเหตุผลที่ตัดไม่ขาด หากว่าเรื่องทั้งหมดจบลงแล้ว บางทีนางอาจจะจากเขาไปอย่างไร้ร่องรอย ไปสู่อ้อมกอดของผู้อื่น….เพราะถึงอย่างไรเขาเองก็ไม่ใช่บุรุษที่ดีเท่าไหร่นัก
“ท่านอ๋อง เวทีการแสดงสร้างเสร็จแล้ว แต่ท่าน……” องครักษ์เดินเข้ามาทำงาน
“กลับจวน”
มือของเขาโอบรวบตัวนางแล้วช่วยจัดเสื้อขนมิงค์ หลังจากห่อคลุมร่างนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว ก็ช้อนร่างของนางขึ้นมาอุ้ม ขึ้นรถม้าของจวนอ๋องจิ้งภายใต้สายตาผู้คนมากมาย
คนในอ้อมแขนไม่ได้ตื่นขึ้นมา ภายในดวงตาของซ่านจินจื๋อกลับยิ่งเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
………
เรื่องราววันนี้ในหอเยาเยว่ เกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ก็มีคนส่งข่าวไปถึงยู่จุนถึงในวังหลวง
ในเวลานั้นเองต้วนโฉง ได้ออกไปจากห้องหนังสือเพื่อเผชิญหน้ากับเหล่าขุนนางใหญ่ และจะไปฟังเรื่องราวจุกจิกของเหล่านางสนมในวังหลัง ขณะที่ยู่จุนกำลังพึมพำกับหน้ากระดาษขาวด้วยความกลัดกลุ้มใจ พอได้ยินข่าวนี้เข้า นางก็พลันเงยหน้าขึ้นพร้อมๆกับหยูนซี
ใบหน้าของหยูนซียิ้มออกมาดั่งคนเสียสติ เอนกายเข้าใกล้ตั่งเตี้ยอ่อนนุ่มด้านข้างพลางม้วนหนังสือและวางลง พูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เขาไหนเลยที่จะคู่ควรกับสตรีตระกูลหยุนกันเล่า?”
“ช่างเป็นคนที่มีความขัดแย้งโดยแท้” ยู่จุนค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนตั่งเตี้ยของหยูนซีอย่างเชื่องช้า นั่งเบียดเสียดเคียงบ่าเคียงไหล่กันบนตั่งเตี้ยเล็กๆนั้น พลางพูดขึ้นว่า “สิ่งของถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างดีแล้วเพื่อให้นางเบิกบานใจ เพียงแต่สุดท้ายแล้วเกรงว่านางจะเห็นอะไรมากเกินไป”
“เจ้าก็รู้แล้ว?” ใบหน้าของหยูนซีเย็นเฉียบลง
“ต้วนโฉงไม่เหมือนกับเขาตรงไหน” ยู่จุนยกมือขึ้นแย่งชิงม้วนหนังสือจากหยูนซี อ่านผ่านๆ ตา ก่อนจะหัวเราะออกมา พร้อมพูดขึ้นว่า “หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าสองพี่น้องนั่นเห็นแก่ตัว ทุกวันนี้ข้าไหนเลยที่จะต้องถูกกักขังอยู่ในกำแพงสูงเช่นนี้ เหตุใดนังหนูจะต้องถูกคุมขังอยู่ในความอ่อนโยนจอมปลอมนั้นด้วยเล่า”
ร่างกายของนางกว่าครึ่งกดทับอยู่บนร่างของหยูนซี
หยูนซีไร้ซึ่งความรู้สึกไปทั่วร่าง เพียงแต่มองพูดนาง พร้อมพูดว่า “เจ้ากับพวกเขา มีอะไรที่แตกต่างกัน”
แววตาของยู่จุนทอประกายแววอาฆาตขึ้นมาวูบหนึ่ง ท่าทีกลับเพียงแค่เขยิบร่างขึ้น กระเถิบนั่งข้างกายของหยูนซีก่อนล้มตัวลงนอนบนท้องของนาง ใช้หนังสือปิดหน้าพลางยิ้มน้อยๆ พูดขึ้นว่า “เจ้าเองก็รู้ ทุกวันนี้คำพูดของอาหลานคู่นี้ล้วนแต่เชื่อถือไม่ได้ ข้าเองก็ควรที่จะไตร่ตรองไปถึงอนาคตบ้างแล้วล่ะ”
คิ้วของหยูนซีกระตุก พลางโยนร่างของนางลงไปจากตั่งเตี้ย พร้อมพูดว่า “เจ้ากล้าหรือ”
ยู่จุนหล่นลงไปกองที่พื้น ก่อนจะจ้องเขม็งกลับมามองนาง พร้อมพูดว่า “เหตุใดจะไม่กล้า ล้วนแต่สมควรตายทั้งนั้น”