บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1114
บทที่ 1114 ไม่ได้มา แย่งชิงก็ไม่ไหว
“แต่หากข้าไม่ยอมนั่งบนบัลลังก์นั่น ก็จะคู่ควรกับนาง”
เมื่อเปลี่ยนเรื่องพูด ซ่านเซิ่งหานเลิกคิ้ว องครักษ์ด้านข้างได้เปิดหีบกล่องเล็กใหญ่ออก ไม่มีสิ่งของสำหรับเสด็จอาอ๋องจิ้ง ล้วนเป็นเสื้อผ้าเครื่องประดับของผู้หญิง มาเพื่ออะไรไม่จำเป็นต้องพูดก็รู้
“ใช่ไหม?”
ซ่านจินจื๋อนั่งลงอย่างเชื่องช้า แล้วก็ส่งสายตาห้ามลูกน้องไม่ให้ไปรับสิ่งของ
“หากอยากได้ตำแหน่งฮ่องเต้ ซึ่งถูกกำหนดไว้แล้วว่าบนโลกนี้ไม่มีใครสมหวังทุกอย่าง” ซ่านเซิ่งหานไม่โศกไม่เศร้า นิ้วมือที่แดงแตะสัมผัสถ้วยชาที่กำลังร้อน เมื่อหดมือ ก็ขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “เสด็จอาไม่รู้ถึงความต้องการในใจของนางก็ช่างเถอะ ตอนนี้แม้แต่มารยาทในการรับแขกก็ไม่มีแล้วหรือ?”
พูดง่ายๆไม่กี่คำ แล้วก็ให้ซ่านจินจื๋อได้เห็นถึงพลานุภาพของเขาในวันนี้
ตอนนั้นซ่านเซิ่งหานยังเด็ก ไม่มีเสด็จแม่คอยดูแลเลี้ยงดู และก็ไม่มีตระกูลฝั่งเสด็จแม่คอยช่วยเหลือสนับสนุน อยู่ในวังอย่างเหมือนกำลังเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ กลัวว่าจะทำอะไรผิด ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา อ่อนน้อมถ่อมตนอย่างที่สุด แม้แต่เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ธรรมดามาก มองไม่เห็นขอบเลยแม้แต่น้อย
ทำให้หลายปีมานี้ซ่านเซิ่งหานทำงานอย่างหนัก ทำตามน้ำพระทัยอย่างรอบคอบ พูดแทนประชาชนในพระราชสำนัก ตอนนี้กลายเป็นมีอำนาจยิ่งใหญ่และก็ได้ใจผู้คน ขุนนางจากครอบครัวยากจนส่วนใหญ่ ถูกดึงไปเป็นพวกเดียวกับเขาหมด มีเพียงอำนาจทางทหารที่ยังมีไม่มาก ยากที่จะต้านทานซ่านจินจื๋ออย่างแท้จริง
ภาพลักษณ์ดั่งบัณฑิตในตอนนี้ แลดูดุร้ายขึ้นมาบ้าง
“เซิ่งหานโตขึ้นมากแล้ว ในที่สุดตอนนี้ก็กล้าที่จะพูดหลักการกับข้าซึ่งๆหน้าแล้ว” ซ่านจินจื๋อส่งเสียงหัวเราะอย่างเหยียดหยามออกมาจากมุมปาก ไม่เห็นซ่านเซิ่งหานอยู่ในสายตาเลยสักนิด และพูดขึ้นว่า “แต่เซิ่งหานไม่เหมือนคนที่จะมาก่อนว่าราชการเช้า”
งานว่าราชการเช้าต้องเข้มงวด จะเกิดการผิดพลาดไม่ได้
ต่อให้ซ่านจินจื๋อมาอย่างเชื่องช้า แต่ก็สวมชุดขุนนางเรียบร้อยแล้ว ส่วนซ่านเซิ่งหานในตอนนี้กลับแต่งตัวธรรมดา ไม่เหมือนว่ากำลังจะไปร่วมว่าราชการ ได้ยินดังนี้แล้ว ซ่านเซิ่งหานอมยิ้ม แตะถ้วยชาที่กำลังร้อนอยู่ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “หลายวันนี้พระวรกายเสด็จพ่อไม่ค่อยดี และเป็นวันเพ็ญเดือนสิบสอง บวกกับเป็นวันขึ้นปีใหม่ วันนี้จึงไม่มีการว่าราชการเช้า”
“ทำไมข้าถึงไม่รู้?”สายตาซ่านจินจื๋อหันไปมองเฉิงซานที่อยู่ด้านข้าง
เฉิงซานโค้งคำนับ พร้อมพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้เป็นไข้หวัด เช้ารุ่งวันนี้ ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็มีคนมาแจ้งแล้ว เดิมกระหม่อมคิดว่าหลังจากท่านอ๋องตื่นนอนแล้วค่อยรายงาน กลับคิดไม่ถึงว่า….”
พูดเสร็จ แล้วแววตาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
หากเป็นเมื่อก่อน เรื่องสำคัญขนาดนี้ เฉิงซานจะต้องเคาะประตูเข้าไปรายงาน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน กู้อ้าวเวยนอนป่วยติดเตียง ท่านอ๋องค่อยดูแลอย่างใกล้ชิด ยิ่งไม่ควรทำให้เด็กตื่น ตอนนี้เฉิงซานไม่ได้อยู่รับใช้อย่างใกล้ชิด จึงทำไม่ได้ที่จะรายงานอย่างทันที
ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้ว เฉิงยีเฉิงเอ้อเฝ้าอยู่ตรงระเบียงทางเดินจึงไม่รู้เรื่อง
ทันใดนั้น นายบ่าวทั้งสี่คนต่างก็มีท่าทีแปลกประหลาด
“ฮ่าๆ” ซ่านเซิ่งหานเห็นท่า จึงหัวเราะขึ้นมา นิ้วมือจับถ้วยชาไว้ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “เสด็จอาไม่จำเป็นต้องตำหนิคนข้างกาย วันนี้ที่ข้ามา ก็แค่มาเพื่อพูดเรื่องระหว่างข้ากับนาง”
“เรื่องอะไร?”ซ่านจินจื๋อ กำถ้วยชาในมือไว้แน่น สายตาเต็มไปด้วยความโกรธ
เจ้ากับนาง จะยังมีอะไร
แทบอยากที่จะเอาประโยคนี้ติดหน้าผากไว้ ให้คนอื่นได้เห็น
ซ่านเซิ่งหานกลับทำหน้าเฉยเมย พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “ตอนนี้เสด็จพ่อถูกยู่จุนทำร้ายอย่างน่าสังเวช เจ้าอยากเห็นฝนแรกในฤดูใบไม้ผลิ เต็มไปด้วยเหยื่อของความหิวและความหนาวเย็นหรือ?”
“หมายความว่ายังไง?”สีหน้าซ่านจินจื๋ออ่อนโยนลง ส่งสายตาสั่งให้เฉิงยีเฉิงเอ้อที่อยู่ด้านข้างออกไป เหลือไว้เพียงสาวใช้กับคนใช้ใหม่หลายคนคอยรับใช้
ซ่านเซิ่งหานไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ จึงพูดต่อไปว่า “เสด็จอาไม่รู้หรือ พิษหลอนประสาทถูกสะสมมานานนับแสนปี ได้มีการยืมมือตระกูลหยุนส่งไปทั่วทุกสารทิศ รอคอยเพียงวันที่จะเปิดเท่านั้น”
“เมื่อไหร่ที่ไหน?”ซ่านจินจื๋อถามต่อ
เวลานี้ซ่านเซิ่งหานกลับปิดปากไม่พูดอะไร ยกชาในแก้วที่ยังค่อนข้างร้อนขึ้นมาดื่มจนหมด แล้วแก้วก็ถูกโยนลงพื้นแตกกระจายทันที เขากลับเพียงพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ผู้หญิงตระกูลหยุนที่ตายภายใต้น้ำมือราชวงศ์ จนนับไม่ถ้วน เจ้าคิดว่าเรื่องมีเพียงตระกูลยู่เท่านั้นที่ทำได้จริงๆหรือ?”
พูดเสร็จ ซ่านเซิ่งหานสะบัดแขนเสื้อแล้วก็เดินออกไปทันที
เฟิงเยว่รออยู่ด้านนอกประตูนานแล้ว เห็นข้างกายซ่านเซิ่งหานไม่มีคน จึงถามขึ้นว่า “ทำไมท่านอ๋องไม่พาคุณหนูกลับมาด้วย?”
“ดูสายตาคู่นั้นของเสด็จอาก็รู้แล้ว ไม่ได้มา แย่งก็ไม่ได้”ซ่านเซิ่งหานเดินกลับจวนไปอย่างเชื่องช้า ด้วยแววตามืดมน
จ้องมองไปที่ผลไม้สีแดงในลานกว้างของจวน
……
ซ่านจินจื๋อเดินไปยังลานชิงโยวอย่างเหม่อลอย
มันกำลังครุ่นคิดถึงคำพูดที่ซ่านเซิ่งหานพูดเมื่อกี้ แล้วก็ยังไม่รู้ว่ายาพิษนั่นมาจากไหน แล้วก็มีไปทั่วทุกสารทิศได้อย่างไร ถึงทำให้พวกเขาต่างก็หวาดกลัวกันเช่นนี้ สาวใช้ในลานชิงโยวกลับรีบวิ่งมาพร้อมพูดว่า “ท่านอ๋อง เมื่อกี้ฮูหยินดื่มยาเสร็จแล้วก็สลบไป ควรที่จะตามหมอ….”
“ดื่มยาอะไรไป?”
สายตาซ่านจินจื๋อหดลง แล้วก็รีบวิ่งไป
“ของ…แม่นางยู่ส่งมา เป็นเหมือนดั่งปกติทุกอย่าง”
“เอาเศษยานั่นไปให้หมอคนอื่นดู”
พูดเสร็จ ซ่านจินจื๋อก็เร่งรีบฝีเท้า เดินเข้าไปในลานชิงโยว แล้วก็มองเห็นคนคนนั้นนอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าขาวซีด พวกสาวใช้คนใช้ต่างคุกเข่าอยู่บนพื้น กลับไม่มีใครรู้ว่าควรที่จะทำอย่างไรดี
นอกจากจางเหยียงซานคนที่น่าเชื่อถือ ซ่านจินจื๋อไม่ได้ให้หมอคนไหนอาศัยอยู่ในจวน เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวรั่วไหล
เมื่อโอบกอดกู้อ้าวเวย ก็รู้สึกเพียงว่าร่างกายภายใต้ผ้าห่มหนาของนางนั้นยังคงเยือกเย็นเหมือนดั่งน้ำแข็ง เตาไฟภายในห้องไม่มีประโยชน์ต่อนางเลยสักนิด แม้แต่อยู่ในสภาพสลบไม่ตื่นก็ยังพูดพึมพำ คิ้วขมวด จนเขาตะคอกขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไปจวนอ๋องจงผิง”
หากรอหมอมาเกรงว่าจะไม่ทัน
รอจนเมื่อทำให้ร่างกายกู้อ้าวเวยอบอุ่นแล้ว กู้อ้าวเวยลุกออกไปอย่างรวดเร็ว
มาถึงนอกประตูจวนอ๋องจงผิง ตรงหน้ามีองครักษ์เฝ้าอยู่เต็มไปหมด ซ่านจินจื๋อส่งสัญญาณมือให้คนบุกเข้าไป กลับคิดไม่ถึงว่าทั้งสองฝ่ายจะต่อสู้กันขึ้นมาอย่างจริงจัง มีบาดเจ็บเลือดไหล ซ่านเชียนหยวนก็รีบเร่งจากไป เพิ่งมาถึงข้างประตูก็มีลูกธนูลอยผ่านหน้าไป
เสด็จอาที่เขาเคารพเชื่อถือ นิ้วมือแข็งแรงนั้นกลับยังดึงคันธนูไว้ สายตาดุดัน
เอามือลูบใบหน้าที่เปื้อนเลือด ซ่านเชียนหยวนหัวเราะเยาะพร้อมพูดว่า “จวนอ๋องจงผิง ไม่อนุญาตให้เสด็จอาเหยียบเข้ามา”
“ส่งตัวจางเหยียงซานมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ซ่านจินจื๋อรับลูกธนูด้านข้างมา เอาวางบนมือ ดึงสายธนูพร้อมลูกธนู แรงอาฆาตเต็มเปี่ยม
องครักษ์รอบๆ วิ่งมาโอบล้อมปกป้องให้ซ่านเชียนหยวนอยู่ตรงกลาง ซ่านเชียนหยวนกัดฟันพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “หากเจ้าอยากได้จางเหยียงซาน ก็ยกนางมาให้ข้าปกป้อง เสด็จอา นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าจะยอม”
เวลานี้หากยอมอ่อนข้ออีก เขาก็จะไม่ได้อะไรจากเสด็จอาเลย
กู้อ้าวเวยถูกขังอยู่ในจวนอ๋องจิ้ง ไม่มีใครช่วยเหลือ
เสียงลูกธนูที่ถูกปล่อยลอยออกไปดังขึ้น สายตาซ่านเชียนหยวนหดลง ดึงองครักษ์ด้านข้างไว้แล้วก็ถอยหลังไปหลายก้าว ลูกธนูดอกนั้นปักเข้าไปตรงกลางต้นไม้ในเรือน จนแตกร้าว แสดงให้เห็นถึงอานุภาพไม่เบา
“นี่เสด็จอาลงมือจริงหรือ”ซ่านเชียนหยวนตะโกนพูดขึ้น
เวลานี้กลับเห็นคนใช้ในจวนอ๋องจิ้งคนหนึ่งควบม้าวิ่งมา ลงจากม้าแล้วก็วิ่งมาตรงหน้าซ่านจินจื๋อ
“ฮูหยินฟื้นแล้ว”
“กลับจวน”ซ่านจินจื๋อหักคันธนูในมือ ถือบังเหียนขี่ม้าแล้วก็จากไปด้วยสายตาเย็นชา
หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับกู้อ้าวเวยจริงๆ
ในใจซ่านเชียนหยวนตกตะลึง อยากที่จะไถ่ถาม คนคนนั้นกลับควบขี่ม้าวิ่งไปแล้ว เร่งรีบจนเขาต้องกระทืบเท้าอยู่กับที่ แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าต้องรีบไปปรึกษาฉีหรัว