บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1119
บทที่ 1119 ชั่วชีวิตนี้ช่างเถอะ
เปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆตลอด
ตอนนี้กู้อ้าวเวยยังไม่รู้ว่าภาพความฝันในตอนนั้นที่นางเคยฝันเห็นเกี่ยวกับมหันตภัยไฟจากฟ้า ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับยู่จุนหรือไม่
เดิมคิดว่าตอนนั้นยู่จุน เพียงแค่สนิทสนมกับกู้อ้าวเวยในตอนเด็ก หรือเห็นนางเป็นเพียงอาวุธสิ่งหนึ่งเพื่อใช้ประโยชน์ โดยใช้ยันต์ทองนั่นเป็นสื่อ ทำให้นางต้องมาสิงในร่างนี้
ตอนนี้เมื่อได้รู้ความจริง ในที่สุดนางก็ยังไม่ปล่อยวางความเกลียดแค้น
ความเกลียดแค้นนี้เป็นมาอย่างแปลกประหลาด
“เจ้ากับฮ่องเต้รักใคร่กัน แล้วทำไมยังต้องทำให้ตระกูลซ่านล้มสะลาย”กู้อ้าวเวยไม่เข้าใจ
ใบหน้ายู่จุนกลับแสดงท่าทีอมยิ้มอย่างดูถูก นั่งลงข้างเตียงแล้วก็มองดูหยูนซีที่นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่ง ผ่านไปเนิ่นนานค่อยพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นคนตระกูลเดียวกับพวกเรา จะไม่รู้หรือ….”
ดวงตาของหยูนซีก็เศร้าลงตาม น้ำเสียงของยู่จุนก็แว่วดังขึ้น
“ผู้หญิงตระกูลหยุน ไม่ได้ตำแหน่งฮ่องเต้ ลูกหลานน้อยคนที่จะได้เป็นขุนนาง จึงไม่อนุญาตให้คนรุ่นหลังของตระกูลหยุนเปิดโรงหมอ ห้ามถ่ายทอดความสามารถทางการแพทย์ให้กับคนอื่น ยากที่จะช่วยคน ทุกคนบนโลกต่างก็รู้จักผู้หญิงตระกูลหยุน และกล่าวขานผู้ชายตระกูลหยุนว่า เป็นคนไร้ความสามารถ แม้แต่หมอเทวดาเทียนหมาง ที่เป็นคนมีความสามารถอัจฉริยะมีพรสวรรค์ที่สุดในตอนนั้น ก็ทุกราชวงศ์ตระกูลซ่านทำร้ายดวงตาทั้งคู่ เพื่อป้องกันการก่อกบฏในอนาคต เรื่องต่างๆนานา เจ้าล้วนไม่เคยเห็น จึงไม่รู้”
ปลายเล็บมือของทั้งสองคนขาวซีด ใบหน้าก็ขาวซีด
ส่วนกู้อ้าวเวยกลับเพียงเบิกตาโต คิดถึงตอนนั้นซ่านจินจื๋อสามารถใช้ตนเองใส่ร้ายว่าตระกูลหยุนขายชาติให้กับศัตรู จนเกิดภัยพิบัติอย่างไม่คาดคิด จึงรู้ว่าเวลานานหลายปีมานี้ ตระกูลหยุนไร้ความสามารถ ยอมให้คนอื่นโขกสับ
“ความเกลียดชังนี้ เจ้ากลับเหมือนยิ่งเห็นอกเห็นใจมากกว่า”กู้อ้าวเวยกัดฟันลุกขึ้น
“ตระกูลหยุนชำนาญการใช้ยา ตระกูลยู่ของข้าชำนาญพิษกู่อูมากกว่า” ยู่จุนอมยิ้ม ยกมือประคองกู้อ้าวเวยที่มีหน้าตาคล้ายหยูนซี พร้อมหัวเราะพูดขึ้นว่า “พูดไปอาจจะไม่เชื่อ ตั้งแต่ข้าเกิดมา ก็สามารถฝันเห็นถึงก่อนและหลังเกิดมหันตภัยไฟจากฟ้า ตอนเด็กเวลากลางคืนจะรู้สึกว่าทรมานยากที่จะนอนหลับ เมื่อโตแล้วกลับพบว่า ทั้งหมดนี้… ล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว บรรพบุรุษส่งข้ามาเพื่อจบเรื่องนี้”
เรื่องนี้แปลกประหลาด กู้อ้าวเวยไม่เชื่อไม่ได้
ความบ้าคลั่ง กับความเกลียดแค้นในดวงตายู่จุนดูไม่เป็นเท็จ… เหมือนกับนางที่เป็นคนสองภพมากกว่า ไม่เพียงมีร่างกายอยู่ที่นี่ ยังมีชีวิตอยู่ที่อื่น เป็นเหตุผลที่ทำให้ขัดแย้งและหมกมุ่น ท้ายที่สุดก็เดินมาถึงจุดที่ยากที่จะถอยหลัง
ปลายนิ้วมือเรียวยาว สัมผัสจับปลายคางของนางอย่างเชื่องช้า แล้วค่อยๆเงยขึ้น
“เหมือนกับการมาของเจ้า ช่วยไขปริศนายาอายุวัฒนะให้กับพวกเรา และสามารถหาพื้นที่อุดมสมบูรณ์ได้แล้ว ยังสามารถเอาชนะใจของราชวงศ์ตระกูลซ่าน ทุกสรรพสิ่ง ล้วนถูกลิขิตไว้แล้ว”
น้ำเสียงอ่อนโยนของยู่จุนดังอยู่ในหู กลับทำให้ร่างกายกู้อ้าวเวยอึดอัดจนรู้สึกถึงเพียงความน่ากลัว
แต่เวลานี้ กู้อ้าวเวยกลับหัวเราะออกมา พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว ในวันอภิเษกหลังจากที่ข้ามาถึงที่นี่ ได้รับรู้ถึงยาอายุวัฒนะ ก็รู้สึกแปลกใจ จึงเพียงแค่อยากรู้ว่ายาอายุวัฒนะนี้ เป็นอะไรกันแน่….”
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็เท่ากับประสบความสำเร็จแล้วหนึ่งครึ่ง”
สีหน้ายู่จุนเยือกเย็น ปลายนิ้วที่จับคางของนางไว้แน่นยิ่งขึ้น จนแทบจะเป็นการกระชากนางมาด้านข้างกาย แล้วมองสบตากัน
ดวงตาคู่หนึ่งเต็มไปด้วยความดีใจอย่างบ้าคลั่ง ส่วนดวงตาอีกคู่หนึ่ง กลับเหลือเพียงความแน่นิ่ง
มองตากันอยู่เนิ่นนาน กู้อ้าวเวยค่อยพูดขึ้นว่า “ตอนนี้เพิ่งรู้ เดิมบนโลกนี้ไม่มียาอายุวัฒนะอยู่แล้ว”
ดวงตาคู่สวยของยู่จุนกระตุก กำลังจะยกมือขึ้น กลับถูกหยูนซีที่อยู่ด้านข้างมองเห็น จับข้อมือของนางไว้เบาๆ แล้วก็จ้องมองดูกู้อ้าวเวยด้วยดวงตาแดงก่ำ พร้อมพูดขึ้นว่า “อี้จื๋อก็อยู่ที่นี่ หากเจ้าไม่อยากทรมานไปมากกว่านี้ ก็ให้เชื่อฟังอย่างว่าง่าย”
หยูนซีเป็นใครกันแน่ ต้องการอะไร?
กู้อ้าวเวยไม่รู้ ตอนนี้ยู่จุนเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าในมือของตนยังมีหมากที่ดีอยู่
นางยกมือขึ้น แล้วก็มีพวกองครักษ์ล้อมรอบแม่นมไว้อยู่ตรงกลาง อี้จื๋อกำลังนอนซบอยู่บนของแม่นม หากไม่ใช่เพราะด้านข้างใบหน้าของเขามีดาบเล่มหนึ่งจ่อไว้ บางทีกู้อ้าวเวยก็ไม่ตกลงพื้น ผมเพ้ายุ่งเหยิง กัดฟันจนปากมีเลือดไหลแต่ก็ไม่กล้าร้องออกมา…. กลัวว่าลูกจะตื่นขึ้นมาเห็นภาพน่ากลัวนี้
ยู่จุนตกตะลึง หยูนซีโน้มตัวลงมาประคองนางไว้ พร้อมพูดว่า “สูตรยาอายุวัฒนะ ไม่ว่ายังไง เจ้าก็จะต้องนำออกมา….”
“ทำไมเขาถึงกล้า” แทบกัดฟันพูดออกมา
ปลายนิ้วมือขูดพื้นจนมีเลือดไหลออกมา มืออีกข้างหนึ่งกลับต้องปิดปากไว้ไม่ให้ตนเองส่งเสียงไอ เลือดสีแดงฉานเยิ้มไหลล้นออกมาจากซอกนิ้วของนาง หยูนซีหัวเราะเยาะ ยังคิดอยากที่จะข่มขู่นางต่อ กลับถูกนางใช้แรงผลักออก มองดูยู่จุนด้วยดวงตาแดงก่ำ พร้อมพูดว่า “เขาอยู่ที่ไหน…”
“ข้าบอกเขาว่า หากกคุกเข่าอยู่ภายใต้หิมะในฤดูหนาวนี้ เจ้าอาจจะให้อภัยเขา”
ดวงตายู่จุนหรี่ลงเล็กน้อย มองดูคนที่สวมเพียงเสื้อผ้าตัวบาง ล้มลุกคลุกคลานขึ้นมาจากพื้น
พวกองครักษ์ กลับพาแม่นมไปจากที่ตรงนี้ ร่างกายกู้อ้าวเวยเอนคว้าจับข้างโต๊ะไว้ แล้วก็อ้วกออกมาเป็นเลือด กลับยังคงไล่ตามไปอย่างห่วงใย
“เจ้า…”
“เจ้าไปไล่นางทำไม” ยู่จุนดึงหยูนซีไว้ “ไม่ต้องมาทำเป็นข่มขู่นางต่อหน้าข้า ก่อนหน้านี้ที่เจ้าแอบคอยปกป้องเมี่ยวหาร ก็เพื่ออยากที่จะรอจนถึงวันนี้ ให้เขาเปลี่ยนแปลงยาของพวกเราไม่ใช่หรือ?”
หยูนซีล้มเซไปสองก้าว หันกลับมาสบกับสายตายู่จุนพอดี
“ตอนนั้นข้าเชื่อเจ้า ให้เจ้าเป็นตัวแทนของข้า ให้เจ้าคลอดลูกของซ่านต้วนโฉงตามที่เจ้าปรารถนา ตอนนี้เดิมข้าก็อยากเชื่อเจ้า เจ้ากลับแอบร่วมมือกับเมี่ยวหาร ให้เขาทำร้ายข้าในวินาทีสุดท้าย…ตอนนี้ เจ้าจะไล่ตามไปบอกอะไรนางหรือ?”
ถูกตั้งคำถามอย่างอุกอาจเช่นนี้ ดวงตาเย็นชาของหยูนซีมลายหายสิ้น เหลือไว้เพียงคำพูดเยือกเย็นว่า “นางกับซ่านจินจื๋อรักกัน ทำไมเจ้าถึงยังต้องบังคับให้หนังเลือก….”
“พร้อมข้าหายู่จือไม่เจอ ตอนนี้คนที่คู่ควรอยู่กับฮ่องเต้องค์ต่อไป มีเพียงนางคนเดียว”
ยู่จุนตะโกนร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง แล้วก็ขังหยูนซีไว้ในห้อง ไม่ให้นางได้ออกไปไหน
และภายใต้ชายคา กู้อ้าวเวยมองไม่เห็นร่างของพวกองครักษ์กับแม่นมแล้ว เห็นเพียงพื้นสีขาวเงิน มีชายในชุดคลุมสีดำยืดหลังตรงคุกเข่าอยู่ตรงกลาง หิมะสีขาวปกคลุมผมยาวของเขา บนไหล่บนขนตาล้วนเป็นสีขาวล้วน เป็นเหมือนดั่งรูปปั้นน้ำแข็ง
มีเพียงวินาทีที่มองเห็นนางนั้น ดวงตาค่อยแสดงถึงความรู้สึก
“ทำไมถึงสวมเพียงชุดบางขนาดนี้แล้วก็มา…”
น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นแฝงไปด้วยเสียงสั่น พร้อมทั้งขยับมาข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
กู้อ้าวเวยหยุดฝีเท้า หันไปมองดูเขา จ้องมองเขาอย่างสิ้นหวัง รอยเลือดที่มุมปากและมือที่เปื้อนเลือด ทิ้งรอยมือเปื้อนเลือดไว้ที่เสาระเบียง นางกลับเพียงแค่ยิ้มอย่างคนบ้าให้กับซ่านจินจื๋อ
ไม่รู้ว่าควรที่จะตำหนิซ่านจินจื๋อที่ยกลูกไปเป็นตัวประกัน เพียงเพื่อช่วยชีวิตของนางหรือไม่
และก็ไม่รู้ว่าควรที่จะตำหนิตนเอง ที่หวนกลับมาเกี่ยวข้องกับเรื่องในครั้งนี้ จนเกิดเรื่องอย่างทุกวันนี้
บางที เริ่มตั้งแต่ที่นางแปลกใจกับสูตรยาอายุวัฒนะ ก็ผิดแล้ว
จะโทษคนอื่นไม่ได้ และไม่ควรโทษตนเอง
กู้อ้าวเวยอดกลั้นลมหายใจไว้ แล้วขยับริมผีปากบาง
“ชั่วชีวิตนี้ ช่างเถอะ”