บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1127
บทที่ 1127 สิ้นสุดการเป็นพ่อลูกกัน
แม้แต่ซ่านต้วนเฟิงที่เป็นคนฝึกวรยุทร ยังเจ็บปวดถึงขนาดนี้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบาดแผลที่แทงตรงหัวใจ อันตรายถึงชีวิต
ซ่านจินจื๋อเดินมาถึงคอกม้าอย่างโมโห เมื่อเห็นกู้อ้าวเวยแล้วความโกรธก็กลายเป็นความรู้สึกผิด นางกำลังขี่อยู่บนหลังม้าสีดำเดินไปเดินมา ซ่านเชียนหยวนช่วยนางดึงสายบังเหียน ไม่รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดอะไรขึ้นตรงอีกด้าน และไม่รู้ว่าซ่านจินจื๋อเดินมาถึงข้างกายแล้ว
“เจ้าพูดถูก บนโลกนี้ไม่มียาอายุวัฒนะที่แท้จริง” ซ่านเชียนหยวนกำลังหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “หากมีสิ่งที่ดีเช่นนี้จริง ทำไมยังต้องให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเราคิดค้น บรรพบุรุษอายุ ร้อยกว่าปีพวกนั้นคงใช้กันก่อนแล้ว จะรอถึงวันนี้ทำไม”
“คำพูดประโยคนี้ถูกและก็ไม่ถูก แต่ฉีหรัวบอกว่าเจ้าเป็นคนฉลาดมีความสามารถแต่ไม่แสดงตนออกมา ไม่ผิดจริงๆ”
กู้อ้าวเวยยืดหลังตรงโยกเยกไปพร้อมกับม้า มองเห็นม้าส่งเสียงฝ่อใส่ซ่านเชียนหยวน เหมือนไม่พอใจ จึงเม้นปากอมยิ้ม แล้วก็มองเห็นเงาของคนคนหนึ่งยืนข้างต้นไม้ จึงหุบยิ้ม ชี้ไปตรงที่หน้าอก แล้วก็ส่ายหัว
หากไม่ใช่เพราะอยู่ตรงหน้ากู้อ้าวเวย ซ่านจินจื๋อคงจะตบลำต้นของต้นไม้ข้างมือเพื่อระบายความโกรธ
ตอนนี้จึงสามารถทำได้เพียงเอามือที่มีเลือกไหลซ่อนไว้ด้านหลัง เดินหน้ามาด้วยสีหน้าจนใจ
ซ่านเชียนหยวนเดินมายืนขวางระหว่างทั้งสองคน พร้อมพูดว่า “เสด็จอา เจ้ากำลังดูยาอายุวัฒนะไม่ใช่หรือ?”
ระหว่างที่มีซ่านเชียนหยวนกั้นไว้ กู้อ้าวเวยยังคงส่ายหัวเบาๆ ให้ซ่านเชียนหยวนคลายเชือกบังเหียน แล้วก็ส่ายหัวเดินมุ่งหน้าไปที่แท่นหินสูง
มือ ซ่านจินจื๋อเต็มไปด้วยเลือด กลับรู้สึกว่าความเจ็บปวดนี้ เทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดของกู้อ้าวเวยในตอนนั้นไม่ได้เลยสักนิด
นางยังสามารถมีชีวิตอยู่ ถือว่าปาฏิหาริย์มากแล้ว
ตอนนี้กู้อ้าวเวยดูปกติทุกอย่าง ควบขี่ม้าตรงมาด้านข้างกู้เฉิง และมองดูยู่จุนพาคนไปพักพรที่เรือนรับรองในป่า พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ซ่านต้วนเฟิงไม่ใช่ลูกแท้ๆของเจ้า กลับให้ความสำคัญยิ่งกว่าลูกแท้ที่อยู่อย่างมากมาย แบบนี้คุ้มแล้วหรือ?”
กู้เฉิงนั่งหดตัวอยู่บนรถเข็น พูดขึ้นด้วยร่างกายสั่นเทาว่า “เจ้าก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆของข้า”
“แต่พวกเราก็มีช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งกว่าลูก” กู้อ้าวเวยไม่มองกู้เฉิง เงยหน้าขึ้นมองดูหิมะสีขาวใสที่โปรยปรายลงมาจากขอบฟ้า ตกลงมาละลายตรงริมฝีปากของนาง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “แม่ของข้า เจ้าเคยเสียใจไหม?”
เหมือนอย่างที่ยู่จุนคาดเดา มีหิมะโปรยปรายลงมาจากขอบฟ้า
ผู้คนรอบข้างต่างก็พูดเพียงว่าเป็นเหตุการณ์ผิดปกติทางธรรมชาติ แต่กู้เฉิงกลับหัวเราะออกมา พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงแหบว่า “ภายใต้มือของหยุนหว่านก็มีชีวิตคน การทำร้ายนางข้าไม่เสียใจเลยสักนิด”
“ใช่หรือ?”กู้อ้าวเวยค่อยๆหรี่ตาลง
“แต่กับเจ้า ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้า” กู้เฉิงพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ น้ำเสียงเบาเหมือนดั่งเสียงยุงบินว่า “ตอนเด็กเจ้าพูดว่า หากข้าไม่มีตำแหน่งเงินทอง ก็ให้ข้าเป็นพ่อคนเดียวของเจ้า ตอนนั้นข้าดีใจเป็นอย่างมาก กับเรื่องนี้….”
“แต่ตอนนี้ ไม่เป็นเหมือนดั่งปรารถนา ความแค้นระหว่างเจ้ากับข้ายังไม่ได้คลี่คลาย ยังไงก็ทำไม่ได้แล้ว..”
เขาหัวเราะขึ้นมา แล้วก็อ้วกออกมาเป็นเลือด ฟองเลือดเต็มปาก
กู้อ้าวเวยนิ่งมองดูเขา และก็คิดไม่ออกว่าเมื่อก่อนเคยพูดเช่นนี้ แต่บุญคุณที่เลี้ยงดูมากว่าสิบปียังตราตรึงอยู่ในใจ ขอบตาของนางแดงขึ้นมาอย่างหักห้ามไม่ได้ เห็นดวงตาสีขุ่นที่เป็นประกายแวววาวคู่นั้น จึงพูดขึ้นว่า
“ขอบคุณพ่อมาก ที่เลี้ยงดูมาตลอดหลายปี”
“แบบนี้ พ่อก็วางใจแล้ว….”
กู้เฉิงยกมือขึ้นอย่างสั่นเทา ยื่นผ่านหิมะสีขาวที่ตกลงมาจากขอบฟ้า ไปแตะมือของกู้อ้าวเวยที่ยื่นมา
นางนั่งอยู่บนม้า ก้มลงไปเพื่อจับปลายนิ้วที่ห้อยอยู่ในน้ำ ไม่เย็นแล้วไม่ร้อน มีเพียงหิมะตรงขอบฟ้าที่ยังตกลงมาอย่างโปรยปราย นิ้วมือที่แก่ห้อยลง ชีพจรอ่อนลงจนขาดสิ้น อวัยวะภายในเสียหาย แม้แต่แสงสายัณห์ของตะวันรอนก็ไม่มี
แต่เขาก็ยังสามารถได้ยิน
“นางเราเจ้าอยู่ในยมโลกแต่แรกแล้ว” น้ำตาใสๆหยดลงบนฝ่ามือที่เย็นเฉียบ กู้อ้าวเวยหลับตาลงอย่างเจ็บปวด ขยับนิ้วมือนั่นแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ตอนที่นางจากไป ก็เหลือเพียงเจ้าที่เป็นพ่อคนเดียว”
ร่างกายกู้เฉิงชักกระตุก จนสุดท้ายแล้วดวงตาคู่นั้นยังคงจ้องมองกู้อ้าวเวย
ภายใต้ลมพายุหิมะ กู้อ้าวเวยปล่อยมือที่แก่แล้วนั้น แล้วก็มองดูกู้เฉิงที่ตลอดชั่วชีวิตนี้ไม่ประสบความสำเร็จอะไรซักอย่างเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “กู้เฉิงตายแล้ว ทำตามคำสั่งของยู่จุน ส่งไปยังแคว้นเอ่อตัน ยกให้แม่เถอะ”
พวกคนใช้พยักหัวอย่างสั่นเทาแล้วก็จากไป มีสาวใช้อยากช่วยประคองกู้อ้าวเวยลงจากม้า แต่นางกลับไม่ยอม จับบังเหียนไว้แน่นไม่ยอมคลายมือ จนซ่านเชียนหยวนรีบมาหา เห็นสีหน้านางผิดปกติ จึงเข้าไปแย่งบังเหียนในมือของนางมา
“หิมะตกอันตราย เจ้ารีบลงมาดีกว่า….”
“รออีกหน่อย….”
นางตอบอย่างขอไปที
ซ่านเชียนหยวนเห็นนางเหม่อลอย แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าพิษก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ถูกถอนหมด กลัวว่าจะหมดสติ จึงกำลังจะรีบดึงลงมา
“ข้าไปเป็นเพื่อเจ้า”ซ่านจินจื๋อก้าวเข้ามาดึงซ่านเชียนหยวนถอยออกไป หยุดการกระทำที่วู่วามของเขา
ตนเองกระโดดขี่ควบบนหลังม้าแล้วโอบกอดนางไว้แนบอก รู้สึกได้ถึงร่างกายที่แข็งทื่อของนาง แต่ก็เพียงโอบกอดนางไว้ค่อนข้างแน่น จับบังเหียนพร้อมกับนางแล้วก็เดินไปมาบนพื้นที่เล็กๆนี้ รู้สึกได้ถึงร่างกายของคนในอ้อมอกค่อยๆผ่อนคลายลง แล้วก็ขยับแนบชิดอ้อมกอดของเขาไว้อย่างไม่พูดไม่จ้า
“เสด็จอา”ซ่านเชียนหยวนเห็นร่างกายของนางเอนเอียง จึงรีบตะโกนร้องขึ้น
ซ่านจินจื๋อรู้สึกอื้ออยู่ในหู ยกมือประคองนางไว้ในอ้อมกอด และพูดกับคนด้านข้างว่า “ไปขอห้องพักในเรือนห้องหนึ่ง แล้วก็ไปเอาน้ำร้อนกับอาหารมา”
“ข้าก็ไป”
“ทำไม? เจ้าก็จะช่วยนางล้างหน้าล้างตาหรือ?”
ซ่านจินจื๋อพูดขึ้นอย่างโกรธเคือง เน้นคำว่าล้างหน้าล้างตาอย่างชัดเจน
“ไม่ไม่ไม่”ซ่านเชียนหยวนรีบโบกมือ ทำเรื่องแบบนี้จะถูกเสด็จอากับภรรยาตี
เพียงชั่วพริบตาเดียว ซ่านจินจื๋อก็ได้ควบม้าพานางจากไปแล้ว
ความสงสัยอยากรู้เกี่ยวกับยาอายุวัฒนะของยู่จุนนั้น ทำให้นางไม่ได้สนใจการตายของกู้เฉิง หรืออาการพิษกำเริบของกู้อ้าวเวย ซ่านจินจื๋อจึงต้องดูแลนางด้วยตนเอง เมื่อเข้าไปภายในห้องแล้วก็จุดเตาถ่านไฟ มีนางกำนัลอยากที่จะเข้ามาช่วยเขาก็กลับทุกไล่ออกไปจนหมด
ขอบฟ้ามืดครึ้ม กลางวันเหมือนกลางคืน ซ่านจินจื๋อช่วยทำให้ร่างกายของนางอบอุ่นอยู่อย่างจดจ่อ แต่ก็กล้านั่งอยู่เพียงข้างเตียง โอบกอดนางไว้อย่างหลวมๆ ไม่กล้าเกินเลย กลัวว่านางตื่นขึ้นมาแล้วจะตำหนิที่ตนแนบชิดใกล้
ซ่านเชียนหยวนถูกกีดกันอยู่ด้านนอกประตู เรียกคนรับใช้มาอย่างลังเล พร้อมถามขึ้นว่า “ยาอายุวัฒนะนั่นเป็นจริงหรือเท็จ?”
คนใช้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในพิธีให้ฟังอย่างสั่นเทา ซ่านเชียนหยวนตกใจจนหน้าซีด ตบโต๊ะพร้อมลุกขึ้นมาพูดว่า “น่ากลัวขนาดนี้ ข้าต้องไปดูซ่านต้วนเฟิงหน่อยแล้ว”
เพิ่งเดินออกไปได้สองก้าว เขากลับเดินหวนกลับมา คว้าดึงคนใช้ขึ้นมาพร้อมขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน พิษถุงน้ำดีหงส์บนตัวซ่านต้วนเฟิง วันนั้นที่ฮองเฮาทุกลอบทำร้าย ก็ถูกพิษถุงน้ำดีหงส์ ได้สืบพบอะไรไหม?”
“คือคือคือ….บ่าวไม่ทราบ”คนใช้เข่าอ่อน จนฉี่แทบราด
บนโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญอะไรขนาดนี้
ต้องมีอะไรแน่ๆ
เอามองดูประตูที่ปิดสนิทตรงหน้า แล้วก็กัดฟันพูดขึ้นว่า “รอเจ้าสำนึกผิดเสร็จ ทุกอย่างก็สายไปแล้ว ข้าจะไปหาเสด็จพี่สาม”