บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 114
ตอนที่114 เหนื่อยแล้ว
อาการเจ็บป่วยของซูพ่านเอ๋อผ่านมาไม่กี่วันก็ดีขึ้นมาก
ซ่านจินจื๋อยอมสละเวลาพานางออกไปเดินเล่น ปกติเป็นคนโหวกเหวกโวยวายอย่างกู้อ้าวเวยแต่เวลานี้กลับเงียบขรึมกว่าปกติ วันๆนั่งดูหนังสือตำราอยู่ริมหน้าต่าง กู้เหยียนจือใส่ใจนางไม่ขาด นางเพียงส่ายหน้าพูดว่าไม่เป็นไร
ลี่วานหลังจัดการธุระให้องค์ชายสี่แล้ว ก็คอยติดตามเคียงข้างซ่านเซียนหยวนด้วยความเคยชิน
“องค์ชายสี่ ดูเหมือนจะสนิทชิดเชื้อกับพระชายา” ลี่วานและซ่านเซียนหยวนนั่งอยู่บนร้านอาหาร เขาเฝ้ามองดูสีหน้าอาการของซ่านเซียนหยวนอย่างเงียบๆ”
“นางช่างเหมือนเสด็จพี่ของข้าที่เสียไปแล้ว” ซ่านเซียนหยวนทำอะไรไม่ถูกทำได้เพียงยกเหล้าขึ้นดื่ม ช่วงไม่กี่วันมานี้เวลาเจอซ่านจินจื๋อในตำหนักอ๋องเขาทำเพียงรีบเดินจากมา และดูเหมือนกู้อ้าวเวยก็เก็บตัวไม่อยากพบเจอผู้ใด หลายวันมานี้เขารู้สึกหดหู่อย่างมาก
“หลายวันมานี้ท่านก็……”
”พระชายาเจ็บป่วย เสด็จอาก็ไม่สนใจดูแล ข้าถึงได้ไปดูแลนาง เจ้าอย่าได้เป็นกังวล” ซ่านเซียนหยวนหัวเราะเบาๆ ระยะเวลาเพียงสั้นๆไม่กี่วันนี้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรเขาได้
ลี่วานไม่สามารถพูดวาจาใดมาเพื่อลบล้างได้ ทำได้เพียงเฝ้าระวังในสายตา
แต่ชั้นล่าง รถม้าของตำหนักอ๋องกำลังเคลื่อนผ่านช้าๆ ซ่านเซียนหยวนขมวดคิ้วเข้าหากัน ถึงรู้สึกว่าหลายวันมานี้ไม่พบเจอองค์ชายหกเลย จากนั้นก็นึกขึ้นได้ ก่อนหน้านี้โหวเซ่อเกิดเรื่องเสด็จอาก็ได้รายงานต่อเบื้องบน และองค์ชายหกก็เคยกำจัดโหวเซ่อ คาดว่าน่าจะออกไปทำอะไรสักอย่าง
และรอกระทั่งซ่านจินจื๋อพาซูพ่านเอ๋อกลับถึงตำหนัก
หลายวันที่ไม่ได้ออกจากวิหารกู้อ้าวเวยสวมเพียงชุดกระโปรงธรรมดาสีขาว นั่งอยู่บนก้อนหินริมสระน้ำ สองเท้าจุ่มลงในน้ำ ข้างๆนางยังคงวางตำราแพทย์อีก2เล่ม พร้อมขนมว่างสามชุด และข้างกายนางคือองค์ชายหกซ่านเซิ่งหานที่ไม่ได้เจอหลายวัน: “ตำราแพทย์นี้ข้าดูเองคงไม่เข้าใจ ถ้าเป็นเวยเอ๋อร์อธิบายคงเข้าใจมากกว่า”
“อธิบายไปเจ้าก็คงไม่เข้าใจ” กู้อ้าวเวยอารมณ์ความรู้สึกดีขึ้นมาก
“ท่านอ๋อง แม่นางซู” เสียงทักทายจากผู้ดูแล
กู้อ้าวเวยตัวแข็ง ซ่านเซิ่งหานหันหลังกลับเพียงเพื่อดูว่าซ่านจินจื๋อกับซูพ่านเอ๋อเคียงคู่สนิทสนมกัน เขายังไม่ทันกล่าวคำทักทายใดๆ กู้อ้าวเวยก็รีบซ่อนมือ แล้วยืนขึ้นด้วยเท้าเปล่าบนก้อนหิน พร้อมก้มหัวลงถวายบังคม: “ท่านอ๋อง”
เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ซ่านจินจื๋อแทบจำไม่ได้แล้วกับการแสดงความเคารพของกู้อ้าวเวย
ซูพ่านเอ๋อร์โน้มตัวพิงไว้ในอ้อมแขน ยกมุมปากขึ้น แล้วรีบร้อนทรงตัวขึ้น พร้อมดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล: “ร่างกายของพี่อ้าวเวย…ต้องโทษข้าแล้ว….”
“ข้าไม่เป็นไร อ้าวเวยก็เป็นเพียงแค่ชีวิตหนึ่งมันไม่สำคัญ” กู้อ้าวเวยหลบตาลง ไม่แม้แต่จะมองไปยังซ่านจินจื๋อ เพียงโน้มตัวลงหยิบตำราแพทย์พร้อมอยากจะจากไป
“เหตุใดพี่อ้าวเวยถึงตรัสเช่นนี้ ท่านต้องการที่จะกล่าวโทษการกระทำที่ผ่านมาทั้งหมดของท่านพี่จื๋องั้นรึ?” ซูพ่านเอ๋อพูดเสร็จพร้อมไอสองสามที ขยับเข้าหาอ้อมแขนแกร่งมากขึ้นเรื่อยเท่านั้น
“มิได้กล่าวโทษ และไม่กล้าที่จะกล่าวโทษ” นางทำเพียงหยิบตำราแพทย์ขึ้น แต่ก็มองไม่เห็นรองเท้าที่ถอดทิ้งไว้ นางจึงเดินมุ่งหน้าไปทางวิหารเฟิ่งหมิงด้วยเท้าเปล่า ชายกระโปรงเต็มไปด้วยดินโคลนโดยไม่แยแส
ซ่านจินจื๋อกับซ่านเซิ่งหานจ้องไปยังขาคู่เล็กที่สั่นๆ
“เวยเอ๋อร์” ซ่านเซิ่งหานรีบลุกขึ้น เดินไปด้านข้างนางแล้วดึงตัวนางไว้
“เวยเอ๋อร์คือชื่อที่เจ้าสมควรเรียกงั้นรึ” ซ่านจินจื๋อขึ้นเสียง ทำให้องค์ชายหกกับซูพ่านเอ๋อร์ตกใจสะดุ้ง และซ่านจินจื๋อเพียงส่งซูพ่านเอ๋อร์ให้กับเฉิงซานที่ยืนข้างๆ แล้วจ้ำอ้าวเดินตรงไปตรงหน้ากู้อ้าวเวย จับเข้าที่ข้อมือนาง บังคับดึงนางให้หันมามองที่ตน: “เจ้าจะล่อลวงให้ใครอีก นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว”
“กู้อ้าวเวยสั่นไปทั้งตัว และเงยหน้ามองเขา: “ข้าไม่ใช่นางจิ้งจอก”
“ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะกระทำเรื่องเสื่อมเสียให้กับข้า”
“ใบหน้าของท่านข้าก็เคยตบมาแล้ว ท่านยังจะต้องกังวลอีก” กู้อ้าวเวยหัวเราะเสียงดัง มือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมใบหน้าของซ่านจินจื๋อ แล้วกระตุกยิ้ม: “อีกอย่าง ใครก็สามารถเรียกข้าว่าเวยเอ๋อร์ได้ ไม่ใช่แค่ท่านเพียงคนเดียว”
ซ่านจินจื๋อเพียงแค่จ้องมองที่นาง แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้ราวกับว่าบางสิ่งติดในลำคอ
“วันเวลาที่ผ่านมา ข้าเคยทำอะไรไม่ดีต่อท่านหรือไม่?” กู้อ้าวเวยทิ้งแขนที่สั่นสะเทือนสองข้างของนางลง และยิ้มที่มุมตา นางค่อยๆก้าวถอยหลังเล็กน้อย: “แต่ท่านทำกับข้า ยกเว้นสิ่งที่ข้าเคยสัญญากับท่านก่อนหน้านี้ ต่อไปนี้ข้าจะไม่ช่วยเหลือท่านใดๆอีก สักวันหนึ่งข้ากับท่านจะเป็นเหมือนคนแปลกหน้า ซ่านจินจื๋อ”
“ชื่อของท่านอ๋องเป็นข้อห้าม….”องครักษ์ใช้โอกาสนี้รีบรุดเข้ามา
“คราวนี้ข้าผิดต่อเจ้า จะไม่เอาความอะไร” ซ่านจินจื๋อสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ หันหลังกลับ และเดินเท้าเปล่าตรงไปที่วิหารเฟิ่งหมิง ซ่านเซิ่งหานไม่สามารถทนดูได้ รีบอุ้มนางไว้อ้อมแขนแกร่ง และพูดด้วยความระมัดระวัง: “สักวัน ข้าจะต้องเหนือกว่าเสด็จอา”
กู้อ้าวเวยพิงลงบนอกแกร่ง: “เจ้าจะรอข้า ใช่หรือไม่”
“แน่นอน เวยเอ๋อร์” ซ่านเซิ่งหานยิ้มอย่างเปิดเผย ราวกับคนในสายตาคือสมบัติล้ำค่าเขากระชับอ้อมแขนแน่น กู้อ้าวเวยทำเพียงถูข้อมือของตน หัวใจเย็นเยือก”
นางเหนื่อยจริง ๆ
แต่ซ่านจินจื๋อเพียงประคองซูพ่านเอ๋อร์วกกลับพระตำหนัก
ระหว่างซูพ่านเอ๋อร์กับกู้อ้าวเวย เขาเลือกได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น
กลับถึงวิหารเฟิ่งหมิง กู้อ้าวเวยรีบปีนขึ้นบนเตียง แล้วนอนหลับลงเงียบๆ
ซ่านเซิ่งหานใช้โอกาสนี้กระโดดออกจากวิหารเฟิ่งหมิง และนั่งคนเดียวบนกำแพงเพื่อถามคนของเขาว่า เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ แต่คนของเขาส่วนใหญ่ถูกซ่านจินจื๋อให้คนสกัดกั้นไว้หน้าประตู ทำให้ไม่มีใครรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายใน
ดูเหมือนว่าเสด็จอาจจะยอมสละทิ้งเวยเอ๋อร์ ข้าก็จะได้ทบทวนดีๆว่าต้องทำอย่างไร” ซ่านเซิ่งหานจ้องมองไปยังทิศทางของวิหารเฟิ่งหมิงด้วยความคิดถึง: “ตอนนี้มีคนคอยดูแลเวยเอ๋อร์แล้ว พวกเจ้าแยกย้ายไปช่วยข้าจัดการเรื่องอื่นๆ จำเป็นต้องถอนลากถอนโคนโหวเซ่อ
“โหวเซ่อก็เหมือนพวกเรา……
โหวเซ่อมองว่าเวยเอ๋อร์เป็นศัตรูในสายตาเสมอ เพียงแค่เรื่องนี้ก็สามารถทำให้ข้าลงมือได้แล้ว” ซ่านเซิ่งหานไหลลงจากกำแพง ลงสู่พื้นอย่างมั่นคง และออกจากตำหนักอ๋องอย่างรวดเร็ว
กู้อ้าวเวยผู้ซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงลืมตาของนางอย่างช้าๆ เห้อจิ้นหล่างกำลังเข้ามาในเวลานี้ บอกกับนางว่า: “ว่านฟางเข้าไปในจวนขององค์ชายสามกระทำบางอย่าง แต่เป็นเจ้าที่สั่งให้นางไป”
เพียงยกคิ้วขึ้น กู้อ้าวเวยแค่ยิ้มออกมา: “ข้าไม่รู้ แต่ข้าก็มีเรื่องอยากจะสอบถามว่านฟางด้วย ดังนั้นนายท่านเห้อกรุณาช่วยข้าส่งจดหมายที”
“ดี” เห้อจิ้นหล่าง ไม่พบว่าจะมีปัญหาอะไร
กู้อ้าวเวยลุกขึ้นเพียงเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ และเขียนใบสั่งยาอีกไม่กี่อย่าง จากนั้นก็เขียนสิ่งของจิปาถะอีกเล็กน้อยใส่รวมในซองเดียวกัน แล้วมอบให้เห้อจิ้นหล่าง: “ในซองคือใบสั่งยา หากว่าลูกๆของว่านฟางไม่สบายมันสามารถช่วยได้”
“ได้ สักครู่ข้าจะนำไปส่งให้ แต่ตอนนี้ตรวจชีพจรของเจ้าก่อน” เห้อจิ้นหล่างนำสิ่งของเก็บไว้ในถุง
กู้อ้าวเวยปล่อยให้เขาช่วยจับชีพจร แต่อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองบนหลังคา และไม่รู้ว่ากุ่ยเม่ยจะล่วงรู้ข้อความในจดหมายที่นางเขียนว่าผิดปกติ