บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 123
บทที่ 123 ความทรงจำใบไม้สีเขียว
ใต้แสงจันทร์อันหนาวเย็น ซ่านจินจื๋อมองนางที่บ่นไปร้องไห้ไป กระทั่งน้ำตาที่รินไหลลงมาไม่ขาดสายได้หยดแหมะลงพื้นติดๆกันอย่างต่อเนื่อง สาเหตุเพราะความเจ็บปวดในตอนหลังจึงร้องไห้อย่างหนักหน่วงขึ้นไปอีก
ซ่านจินจื๋อมองฝ่ามือที่บาดเจ็บแล้วยังมีถ้วยที่แตกเป็นเศษๆอยู่ข้างโต๊ะหิน พลันคิ้วขมวด ถ้าหากเมื่อสักครู่เชื่อคำพูดเซียวไห่และมาหา กู้เฉิงก็คงไม่กล้าระบายโทสะใส่กู้อ้าวเวยใช่ไหม
ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของซูพ่านเอ๋อร์
ผ่านไปชั่วครู่ กู้อ้าวเวยที่นั่งอยู่ตรงขั้นบันไดก็ลุกโงนเงนขึ้นมาอย่างกระทันหัน เดินมาคว้าไหสุราที่อยู่ข้างกายซ่านจินจื๋อกลับไปแล้วยังตบเข้าไปที่ไหสุราพลางกล่าวว่า “นี่ของข้า”
นางเช็ดน้ำตาด้วยมือเปล่า ซ่านจินจื๋อจนปัญญาที่จะสื่อสารกับนาง จึงปล่อยไหสุราใบนั้นไปให้ และใช้มือแบกร่างผอมบางนั้นยกขึ้นบ่า
“ปล่อยข้าลงนะ! เจ้าคนชั่ว! ข้าจะวางยาพิษท่าน!”น้ำตาของกู้อ้าวเวยไหลมาอย่างหนักหน่วง จนนางรู้สึกมวนท้องต้องการจะอาเจียนออกมา
ซ่านจินจื๋อพานางไปที่มุมกำแพงวิหารเฟิ่งหมิง ขณะตบเข้าที่บ่าของนางได้ทำให้นางอาเจียนออกมาจนเลอะเทอะ
กู้อ้าวเวยที่ใช้แขนยันกำแพงได้ดึงแขนเสื้อของซ่านจินจื๋อมาเช็ดมุมปาก แล้วพูดพึมพำขึ้นมา “ข้าเกลียดกู้เฉิง เขาไม่ใช่พ่อของข้า”
“แต่เขาเป็นพ่อของเจ้า” ซ่านจินจื๋อสะบัดแขนเสื้ออย่างรังเกียจ กลับต้องประคองนางขึ้นมาจากมุมกำแพงสกปรกอย่างไม่มีทางเลือก
กู้อ้าวเวยนึกอยากจะสะบัดเขาออกด้วยความไม่พอใจ แต่กลับถูกเขาจับไว้จนแน่น
ซ่านจินจื๋อจ้องตากลับอย่างดุเดือด กู้อ้าวเวยทุบกำปั้นเข้าที่หน้าอกของซ่านจินจื๋อปลายนิ้วกลับพันเข้ากับปกเสื้อของเขากระทั่งทำให้ร่างของตนเข้าไปชน “มีเพียงซ่านจวนฮ่าวที่ดีกับข้า…ทำไมพวกท่านจึงไม่ดีกับข้าบ้าง ข้าเองก็อยากถูกชมชอบ”
ซ่านจินจื๋อตะลึงงันได้แต่ถอนหายใจเบา
กู้อ้าวเวยกับซูพ่านเอ๋อร์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ท่านอาจารย์ในอดีตนั้นถึงแม้ซูพ่านเอ๋อร์จะซุกซนอย่างไรก็ยังได้รับความโปรดปรานอย่างที่สุด แทบจะคว้าเดือนดาราทั้งหมดบนท้องฟ้ามาให้กับนาง ทว่ากู้อ้าวเวยในวัยเยาว์ไม่เคยได้รับความรักจากบิดา ในภายหลังเพื่อทำให้บิดาชายตามองนางมากขึ้น จึงก่อให้เกิดนิสัยหยิ่งผยองและหยาบคายแต่ก็ไม่ยินยอมออกไปยั่วยุผู้คน สุดท้ายก็แต่งเข้ามาในจวนอ๋อง
ซ่านจินจื๋อไม่เคยให้ทั้งความรักและอิสรภาพกับนาง
แม้แต่กู้จี้เหยาเขาก็เคยชื่นชมชุดแพรต่วนจิ่นอี หรือไม่ก็เคยมอบของบางสิ่งให้กับมารดานาง
เหลือเพียงกู้อ้าวเวยที่เขาไม่เคยมอบอะไรแก่นางเลย แม้แต่สัญญานั่นเขาก็สามารถเปลี่ยนใจโยนทิ้งได้ภายในพริบตา
“ข้าอยากจะเปลี่ยนโลกนี้” คนในอ้อมแขนผลักเขาออกอย่างกระทันหันแล้วเดินเข้าไปในห้อง นางหยิบตำราแพทย์ส่วนหนึ่งออกมาจากในตู้อย่างทุลักทุเล ซ่านจินจื๋อสงสัยไม่ได้เลยว่าตรงที่นางชนตู้เมื่อสักครู่จะต้องม่วงเป็นจ้ำแน่ๆ
ทว่านางกลับไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้นทำเพียงแค่หยิบตำราออกมาวาง ดวงตาคล้ายกับแจ่มใสมากขึ้น “ไม่พอ…พื้นฐานก็ไม่พอ ข้าเพิ่งจะรู้แค่เล็กน้อย ร้องขอความรักอะไรกัน! ไม่สู้ตำราแพทย์พวกนี้ด้วยซ้ำ!”
นางหัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง พลิกตำราแพทย์ในมือเหมือนกันกับความคลั่งของนาง เล่นกับสมุนไพรที่อยู่ข้างมือ คำพูดคำจาเต็มไปด้วยเหตุผล “ข้าคู่ควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปมากกว่าใครๆ ตำราเหล่านี้มันยังไม่พอ”
ซ่านจินจื๋อไม่เข้าใจคำพูดจริงๆเท็จๆของนางหลังจากดื่มสุรา ขณะที่ขาขวานางเกือบจะสะดุดล้มก็ถูกคนอุ้มขึ้นมาเพื่อจะโยนกลับไปบนเตียง กู้อ้าวต้องการสลัดแขนขาของนางให้หลุด
“
“ข้าจะรั้งเจ้าไว้”ซ่านจินจื๋ออุ้มนางเข้าอ้อมกอด กระชับแน่นเข้ากับชุดนอนอันอ่อนนุ่ม กู้อ้าวเวยจึงหยุดนิ่ง นัยน์ตาทั้งสองแดงก่ำได้แต่จ้องซ่านจินจื๋ออย่างเอาเป็นเอาตาย “ทำไมหรือ? ตัวข้าเท่านั้นที่รั้งตัวเองได้ ไม่มีใครสามารถรั้งข้าได้หรอก…”
“พักผ่อนเถอะ”ซ่านจินจื๋อยกมือปิดดวงตาของนาง “ในโลกนี้ สตรีเกิดมาก็เพื่อถูกทะนุถนอม”
เช่นเดียวกับที่อาจารย์ได้ล่วงลับไปในครานั้น อาจารย์หญิงฆ่าตัวตายหน้าหลุมศพตามอาจารย์ไป
ในครานั้นฟ้าฝนโหมกระหน่ำ ทว่าซ่านจินจื๋อกลับได้ยินประโยคสุดท้ายที่อาจารย์หญิงกล่าวไว้ได้อย่างชัดเจน “ชั่วชีวิตเจ้าไม่เคยรักข้า ข้ากลับลุ่มหลงไปกับเจ้า เป็นเจ้า..ที่ติดหนี้ข้า”
แม้เป็นคนลุ่มหลงในรัก แต่กลับไม่รู้จักการหวงแหน
เขาไม่ยินยอมที่จะทรยศซูพ่านเอ๋อร์ แต่ก็ไม่ปรารถนาที่จะสูญเสียกู้อ้าวเวยอีกต่อไป
ลมหายใจคนในอ้อมกอดค่อยๆคงที่ กลิ่นสมุนไพรยาเข้มข้นในยามนี้ถูกย้อมไปด้วยกลิ่นสุราบางๆ ในโพรงจมูกรู้สึกขมปร่าทว่าซ่านจินจื๋อยังนอนหลับได้สนิท
เมื่อตื่นขึ้นในวันถัดมา กู้อ้าวเวยที่ปวดหัวราวกับจะระเบิดค่อยๆลุกขึ้นมานั่ง แต่กลับรู้สึกแปลกใจกับเตียงนอนข้างกายที่ว่างเปล่า ลูบท้ายทอยกล่าวด้วยความอับจน “หรือเมื่อคืนข้าฝันเห็นเจ้าพุทรามานอนเป็นเพื่อนข้ากันนะ?”
ก็แค่รู้สึก นางเองก็ไม่คิดเยอะจนเกินไปจึงค่อยๆลุกขึ้น
หน้าต่างไม่ได้ปิดทั้งคืน มิน่าละหลังจากปวดหัวแล้วยังเมื่อยคอชะมัด
ประตูของวิหารเฟิ่งหมิงยังคงถูกปิดแน่นหนา มีเพียงข้าวสองกล่องเพิ่มขึ้นมาที่หน้าประตู นางเลิกคิ้วหรี่ตามองไปที่ตำราบนโต๊ะอาหาร ดวงตาพลันสาดประกาย “ตำราหนังสือย่อมดีที่สุด”
นางลงมาจากเตียง กลับพบว่าบนตำราเหล่านั้นมีใบไม้เขียวสดอยู่จำนวนหนึ่ง อดที่จะแปลกใจไม่ได้
ภายในห้องหนังสือแห่งจวนอ๋องจิ้ง ซ่านจินจื๋อกำลังลูบขมับอยู่เช่นกัน เมื่อคืนเขาแค่ส่งเจ้าผีสุราขึ้นเตียง นึกไม่ถึงว่าจะลืมปิดหน้าต่างถึงได้ทุกข์ใจในยามนี้
และที่ข้างมือของเขา ก็มีใบไม้สีเขียวกำลังนอนแผ่หรา
คนรับใช้ติดตามนึกอยากจะหยิบใบไม้สีเขียวที่เกะเกะนี่ออกไป แต่เฉิงซานที่อยู่ด้านข้างกลับขัดจังหวะคน จึงได้แต่รีบขออภัยเผ่นไป
ซ่านจินจื๋อเงยมองไปที่นอกหน้าต่าง “ข้าไม่ได้ไปเยี่ยมป้ายหลุมศพอาจารย์หญิงนานแล้ว”
“ใช่ขอรับ” เฉิงซานพยักหน้าขึงขัง เมื่อมองไปที่ใบไม้สีเขียวก็ถอนหายใจเบาๆ
อาจารย์หญิงของซ่านจินจื๋อ ไม่ชมชอบดอกไม้ดอกหญ้าแต่ชื่นชอบใบไม้สีเขียวสดเป็นที่สุด ไม่กี่เดือนก่อนหน้าที่อาจารย์จะสิ้นใจ ทุกๆวันจะคอยจ้องมองแต่ที่ใบไม้ น่าเสียดายที่วันแห่งฤดูใบไม้ร่วงมาถึงและชีวิตของอาจารย์ก็ปลิดปลิวตามไป สิ้นลงในฤดูใบไม้ร่วงนั้น
“เมื่อวานซูพ่านเอ๋อร์ยังแผลงฤทธิ์อยู่ไหม?” ซ่านจินจื๋อเอ่ยเสียงเบา
“ไม่ได้อาละวาดแล้วขอรับ เพียงแต่หดหู่ไม่ยอมให้ใครเข้าไปจัดการดูแลขอรับ” พ่อบ้านรีบขานตอบ เมื่อเห็นซ่านจินจื๋อเคลื่อนไหวก็ยิ่งปั้นเสริมเติมแต่ง “เมื่อคืนแม่นางซูร้องไห้หนัก ราวกับรู้เห็นว่าท่านอ๋องได้เสด็จไปวิหารเฟิ่งหมิงมาด้วยเลยขอรับ”
ซ่านจินจื๋อพลันเลิกคิ้วเลิกสูงขึ้นจึงตัดสินใจว่าจะไปปลอบโยน เซียวไห่กลับบังเอิญเดินเข้ามาพร้อมกับถงโจว เซียวไห่เห็นท่าทีของเขาเช่นนี้ก็พูดขึ้นว่า “ท่านต้องให้นางเผชิญด้วยตัวคนเดียวบ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่ท่านต้องเตรียมเป็นสามีมากภรรยา ถ้าหากไม่ใจร้ายแบ่งหัวใจของตนเป็นสองส่วน เช่นนั้นคงไม่ยุติธรรมกับพระชายา”
ซ่านจินจื๋อจึงได้แต่อดทนทว่าใบหน้ายังคงเยือกเย็น
ถงโจวกลับฟังเข้าใจเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่ไม่คิดจะคุยถึงเรื่องนี้จึงพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ระยะนี้เซิ่นโหลว(หอลวงตา)เริ่มเผยตัวอีกครั้ง และองค์ชายหกยังได้เฝ้าติดตาม เพียงแต่การสำรวจในเมืองเทียนหยานนี้จะต้องรบกวนท่านอ๋องเสียแล้ว”
“พวกเจ้าช่างไม่รู้จักหยุดจักรหย่อน” ซ่านจินจื๋อมองด้วยสายตาเย็นชาโดยกำชับให้คนเฝ้าวิหารเฟิ่งหมิง หลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกับเซียวไห่และถงโจวก็พลันนึกได้ว่า “แล้วหยวนเอ๋อร์ล่ะอยู่ไหน?