บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 137
บทที่137 ตำหนักองค์ชายสี่
หยุนฝูถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาตอนดึก แต่เขาไม่โมโหแม้แต่น้อย พร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
“พระชายามีเรื่องใดจะสอบถาม?” หยุนฝูถูมือไปมา เพียงเพื่อชงชาหนึ่งถ้วยสำหรับกู้อ้าวเวย
เมื่อเทียบกับชิงต้ายหยินเชี่ยว หยุนฝูกลับรู้รสชาติที่นางชอบมากกว่า และเมื่อนางยังเด็กตอนที่ยังอยู่ข้างกายท่านปู่หยุนชิงหยาง หยุนฝูคนนี้ก็ตามติด ตอนเด็กยังเป็นแค่เจ้าลิงน้อยที่ผอมผอมสูงสูง แต่วันนี้กลับกลายเป็นคนรับใช้ที่ดีที่รู้ใจนาย
หลังจากคิดอย่างละเอียด กู้อ้าวเวยถึงค้นพบว่า หยุนชิงหยางสามารถแยกห้องส่วนตัวที่ใหญ่ไว้ในจวนเฉิงเสี้ยง(เฉิงเสี้ยงเป็นตำแหน่ง) และยังสร้างเจดีย์แปดเหลี่ยม ควบคู่กัน ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหยุน แม้แต่ซ่านจินจื๋อก็ไม่สามารถสืบได้ ตระกูลหยุนและชางหลานแอบมีข้อตกลงอะไรกันแน่?
”ไม่ว่าข้าถามอะไร เจ้าจะตอบข้าทั้งหมดใช่หรือไม่?” ดวงตากู้อ้าวเวยกลิ้งไปมาหนึ่งรอบ ถามคำถามอย่างระมัดระวัง
“โดยปกติแล้วไม่ แต่ถ้าเป็นพระชายาก็สามารถรู้ได้ทุกอย่าง ข้าจะบอกให้ทราบ” หยุนฝูยิ้มอย่างจริงใจ
กู้อ้าวเวยขมวดหัวคิ้ว ทบทวนสักพัก นางก็พูดต่อ: “ก่อนหน้านั้นที่บ้านริมน้ำค้นพบรูปภาพเทพเจ้าภูเขานั้น พวกเราตระกูลหยุนก็มีโทเทม(คือสัญลักษณ์หรือสัตว์ของวงศ์ตระกูลในสมัยโบราณ)เป็นของตนเอง?”
“มีเพคะ หลิ่งหนานตระกูลหยุน สัญลักษณ์ของวงศ์ตระกูลก็คือนกกระเรียน” หยุนฝูพูดอยู่ ก็ดึงแขนเสื้อขึ้นจนถึงไหล่ ที่บนปลายแขนถึงแม้ไม่ชัดเจน แต่แน่นอนว่ามีนกกระเรียน เพียงแต่ว่าบิดเบี้ยวเล็กน้อย
กู้อ้าวเวยนึกถึงตัวอักษรหยุนบนไหปลาร้าของตน แต่ไม่มั่นใจ: “ยาพิษก่อนหน้านี้……“
“สายเลือดของตระกูลหยุนมีคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง หากว่าท่านถอนพิษแล้ว จะต้องทิ้งอักษรหยุนไว้โดยธรรมชาติ เพื่อให้แน่ใจว่ามีสายเลือดตระกูลหยุนจริง” หยุนฝูถึงขั้นคาดเดาได้ถึงคำถามที่นางจะถามต่อได้
“ตระกูลหยุน……”
“มากกว่านี้ หยุนฝูคงไม่สามารถพูดมากกว่านี้แล้ว” หยุนฝูขัดจังหวะการพูดของนาง เพียงยกนิ้วแตะที่ปากทำท่าทางว่าเงียบ ดวงตาคู่นั้นกลับมีร่องรอยของการคุกคามเล็กน้อย: “แต่มีคำพูดหนึ่ง หยุนฝูไม่พูดไม่ได้”
กู้อ้าวเวยยกมือขึ้น แล้วทำท่าทางให้นางพูดต่อไป
“ตระกูลหยุนมีทายาทสืบทอด โหวเซ่อก็เช่นเดียวกัน นายท่านชิงหยางสามารถช่วยท่านให้อยู่ในจวนเฉิงเสี้ยง(เฉิงเสี้ยงเป็นตำแหน่ง)ไกลจากอันตราย แต่วันนี้ท่านได้แต่งเข้าตำหนักอ๋องแล้ว กลับไม่สามารถปกป้องได้ แทนที่จะเชื่อราชวงศ์ เชื่อตระกูลเป็นการดีกว่า” หยุนฝูพูดเบาๆจนจบ หลังจากก้มหัวคำนับแล้วก็จากไป
กู้อ้าวเวยกำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งก่อนหน้านี้ รู้สึกแปลกใจ
ก่อนหน้านี้ยังเคยบอกว่าราชวงศ์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลิ่งหนานตระกูลหยุน แต่ทำไมคนของตระกูลหยุนกลับบอกว่านางควรระวังราชวงศ์ล่ะ?
คิดไม่ออก กู้อ้าวเวยก็ไม่ดึงดันที่จะหาเรื่องใส่ตัวหาเหาใส่หัว แต่กลับไปที่ห้องเพื่อนอนหลับต่อ เพียงคิดว่าหลังจากงานอภิเษกขององค์ชายสี่แล้ว นางก็จะสามารถกลับไปยังหลิ่งหนานตระกูลหยุนเพื่อได้รับรู้ความจริง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น กู้อ้าวเวยเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าดีๆและแต่งหน้าแต่งตา ฉีหรัวก็เข้ามาในร้านขายยาเหย้าแล้ว เมื่อเห็นนางก็เพียงยิ้มให้อย่างสดใส: “เป็นท่านพ่อที่ให้ข้ามา บอกว่าคอยอยู่เป็นเพื่อนพระชายาให้มากๆ มีแต่ได้ไม่มีเสีย”
“เจ้ากำลังพูดความจริง” กู้อ้าวเวยเพียงหัวเราะแห้ง
ตำหนักขององค์ชายสี่ได้ถูกเตรียมพร้อมทั้งหมดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ผ้าแพรสีแดงซวงสี่(ซังฮี้)ก็จัดเตรียมพร้อมแล้ว แม้แต่เทียนมังกรและหงส์ก็ถูกเตรียมมาอย่างดี ตอนนี้ก็ขาดเพียงแค่หลังคาสวมขึ้นเท่านั้น กลัวว่าฝนตกหนักจะหลั่งไหลในวันนั้น มาไม่ทันที่จะหลีกเลี่ยง
อันที่จริงฝนในฤดูร้อนคือนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เขาเข้าไปในตำหนักอ๋อง ก็เห็นว่าในศาลาที่อยู่เหนือสระน้ำ มีซ่านเซียนหยวนกำลังร่ำสุราเพียงคนเดียว
“องค์ชายสี่ดูเหมือนจะไม่ต้องการอภิเษกกับแม่นางลี่วาน” ฉีหรัวเพียงแค่พูดเสียงเบาๆ
กู้อ้าวเวยก็ทำอะไรไม่ถูกเกี่ยวกับเรื่องนี้: “แต่ถ้าให้เขาแต่งงานกับสายลับ นั่นคงจะยิ่งทำให้ไม่พอใจ ตอนนี้ก็เพียงแค่อะไรปล่อยได้ก็ปล่อยไป ยิ่งไปกว่านั้นลี่วานก็ยังเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง”
ฉีหรัวกลับค่อนข้างประหลาดใจมองไปที่กู้อ้าวเวย: “เจ้าช่างเปิดใจกว้างจริงๆ ก่อนหน้านี้ลี่วานเพียงแค่เอ่ยถึงเรื่องของเจ้า กลับถูกองค์ชายสี่ตบเข้าที่ใบหน้า หลังจากนั้นองค์ชายสี่ก็ก่อเหตุตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวใคร เจ้าไม่คิดจริงหรือว่าลี่วานมองเจ้าอย่างไม่ชอบใจ?”
“คงจะไม่ใช่” กู้อ้าวเวยส่ายหัวไปมา ลี่วานคนนี้ปกติดูท่าทางแล้วก็สุภาพอ่อนโยน และเขาก็ปฏิบัติต่อนางอย่างดี คงจะไม่มีปัญหาอะไร
อีกด้านหนึ่งฉีหรัวต้องการจะพูดแต่ก็พูดไม่ได้ เมื่อเห็นลี่วานกำลังใกล้เข้ามา ก็หยุดเสียงในทันที
ลี่วานในวันนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ใช้ชีวิตในตำหนักอ๋องที่งดงามละเอียดอ่อน เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่ดูสูงส่ง ปิ่นปักผมกำไลข้อมือไม่มีขาดตกบกพร่อง ข้างหลังยังตามมาด้วยสาวน้อยสองคนที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ช่างมีราศีของชายาองค์ชายสี่จริงๆ
“พระชายา ท่านพี่ฉีหรัว” ลี่วานเพียงแค่คำนับ ยังคงมีรอยยิ้มที่สดใสเป็นเอกลักษณ์
ฉีหรัวพยักหน้าเล็กน้อย กู้อ้าวเวยก็ทักทายอย่างอบอุ่น ลี่วานเพียงเพิ่มยิ้มที่นุ่มนวลมากขึ้น แต่ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับซ่านเซียนหยวน หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็จับที่มือของกู้อ้าวเวย มองไปที่ฉีหรัว: “ท่านพี่ฉีหรัว รบกวนช่วยข้าดูที่ด้านบนหลังคานั่นหน่อยได้ไหม ข้ากับพระชายามาดูด้านนี้”
“ไม่จำเป็นแล้ว ข้าจะติดตามพระชายาเอง” ฉีหรัวไม่เชื่ออย่างเด็ดว่าหญิงสาวที่เสียนเฟย(พระสนม)ส่งมาจะซื่อได้แค่ไหน ดีที่สุดคืออยู่ข้างกายกู้อ้าวเวยไว้ถึงดี
มิฉะนั้นพระชายาจิ้งคนนี้อาจจะคิดว่าคนของราชวงศ์เป็นคนดีทั้งหมด!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไปฝั่งนั้นเอง” ลี่วานกลับไม่มีความฉุนเฉียวแม้แต่น้อย เพียงแค่เดินนำสาวใช้ทั้งสองคนไปอีกฝั่งเท่านั้น
กู้อ้าวเวยยังคงสำรวจที่ลานนี้อย่างละเอียดรอบคอบ เพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันงานอภิเษกนี้
ฉีหรัวเพียงถอนหายใจเบาๆ และรีบตามขึ้นไป
ซ่านเซียนหยวนที่อยู่ในศาลาก็มองเห็นกู้อ้าวเวยจากที่ไกลๆแล้ว แล้วเพียงวางจอกเหล้าลง สั่งให้คนข้างกายไปทำบางสิ่งบางอย่าง
ทั้งสองคนเดินจนมาถึงข้างๆใต้กระโจม ที่นี่ก็เพียงทำได้ครึ่งเดียว ฉีหรัวทำเพียงส่ายหัวเบาๆ: “เหตุใดต้องสร้างขนาดใหญ่เช่นนี้ ก็แค่องค์ชายคนหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ”
“แน่นอน การอภิเษกของราชวงศ์นี้เป็นการสิ้นเปลืองทั้งแรงงานและเงินอย่างแท้จริง” กู้อ้าวเวยก็ทำเสียงจุ๊ๆพูดเบาๆ
แต่แลกมากับการทำตาขาวเล็กๆของฉีหรัว: “เจ้าแต่งเข้าตำหนักอ๋องในเวลานั้น นั่นเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของเทียนเหยียน ถนนทั้งสายด้านหน้าตำหนักอ๋องในวันนั้น มีดอกไม้นับร้อยที่เบ่งบาน ในกลางคืนไฟเทียนไม่ดับ ดอกไม้ไฟที่พุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าสะท้อนให้เทียนเหยียนเหมือนดั่งกลางวัน หรือว่าเจ้าลืมทั้งหมดนี่แล้ว?”
กู้อ้าวเวยไม่มีความทรงจำนั้นเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่นึกขึ้นมาได้ มีดเล่มนั้นก็ปักลงกลางอก นางก็สามารถเห็นความทุกข์บนใบหน้าของซ่านจินจื๋อนั้นอย่างชัดเจน
เพียงแค่ความเงียบปกคลุม ฉีหรัวถึงเพิ่งนึกได้ว่ากู้อ้าวเวยก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นที่ชื่นชอบ บางทีในวันแต่งงานวันนั้น นางอาจนั่งเฝ้าห้องเปล่าเพียงลำพังแล้วทำได้เพียงแค่มองบรรยากาศด้านนอกผ่านหน้าต่าง
“ข้าไม่ได้ตั้งใจที่……”
“พูดจริงๆ ถ้านั่นไม่ใช่วันที่ข้าต้องแต่งงาน ข้าก็อยากจะเห็นมันเหมือนกัน” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ แล้วดึงมือฉีหรัวให้เดินไปข้างหน้า
ทั้งสองคนเพลิดเพลินเล็กน้อย คนรอบข้างที่กำลังแบกไม้เดินอ้อมออกมา แต่ก็ไม่มีช่องว่าแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่ากำลังจะชนเข้า กู้อ้าวเวยรีบดึงฉีหรัวไปด้านข้าง แต่ได้ยินเสียงคนร้องอุทานออกมา
กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมอง โดยที่ไม่รู้ว่าไม้จากข้างบนนั้นกำลังหล่นลงมา
“ระวัง” กู้อ้าวเวยขมวดคิ้ว มีเวลาเพียงพอแค่ผลักฉีหรัวออกไป แม้แต่ปลายแขนเสื้อของนางฉีหรัวก็ยังแตะไม่โดน ดวงตาค่อยๆปิดลงเล็กน้อ