บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 146
บทที่ 146 จะตายให้เจ้าดู
ช่วงกลางคืนของวันถัดมา
ภายในหอโคมเขียวจุดไฟสว่างไสว เหล่าหญิงสาวที่แออัดอยู่ในห้องของกู้อ้าวเวยเมื่อช่วงกลางวันได้แยกย้ายกันไปเพราะพวกนางต้องไปประจบเอาใจบุรุษเหล่านั้น ภายในห้องขนาดใหญ่มีหญิงโสเภณีคนหนึ่งที่ดูช่ำชองประสบการณ์กำลังนั่งอยู่ ดูเหมือนตำแหน่งนางจะสูงมากจึงไม่จำเป็นต้องออกไปทำอะไรเช่นนั้น
“เจ้ารู้จักข้าหรือ?” กู้อ้าวเวยเอ่ยถามเสียงเบา
“พวกเรารู้แค่ว่าบ้านไหนมีคุณชายเสเพล” หญิงสาวหยิบขนมใส่เข้าปากอย่างเบื่อหน่าย สองตากลับไม่เหลือบมองกู้อ้าวเวยสักครั้ง คล้ายกับได้รับการฝากฝังจากจูเย่นไม่ก็จูเซจึงไม่พูดคุยกับนางมากนัก
ก่อนนี้นางอธิบายถึงฐานะของตนแต่กลับแลกเสียงหัวเราะของหญิงสาวมาได้ไม่กี่คำ
พวกนางไม่เคยเห็นพระชายาจิ้ง แค่เคยได้ยินข่าวซุบซิบเท่านั้น จึงยิ่งไม่อาจเชื่อได้ว่าหญิงสาวที่ถูกกักตัวไว้ในซ่องจะเป็นพระชายาจิ้งที่มีฐานะสูงส่ง
ที่ทำได้ก็แค่ถอนหายใจล่ะนะ
ขณะที่นางกำลังตัดสินใจคิดหาหนทางและช่วงเวลาที่จะหลบหนี นางได้ยินเสียงของบางอย่างแตกเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงเอะอะโวยวายพร้อมกับเสียงกรีดร้องแตกตื่นของเหล่าหญิงสาวดังตามเข้ามา
แววตาของหญิงโสเภณีที่อยู่ในห้องนั้นเปลี่ยนไป จึงวางของในมือลงด้วยความไม่พอใจ พลางเปิดม่านมองออกไป
“มารดามันสิ! อย่าคิดว่าเจ้าเป็นคุณชายหู้ปู้เซ่อหลางแล้วข้าจะไม่กล้ายั่วโทสะเจ้าเรอะ!”
ในเวลาเดียวกันนั้นกู้อ้าวเวยได้ยินอย่างชัดเจนจึงตกตะลึงเล็กน้อย กว่างเสียนงั้นหรือ?
“กล้าไม่กล้าข้าไม่รู้ แต่เจ้าอย่าได้หาเรื่องข้าดีกว่า วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก!” นี่คือเสียงของกว่างเสียน
กู้อ้าวเวยลุกขึ้นจากเตียง ในใจกลับมีความคิดบางอย่างผุดขึ้น
หญิงสาวคนนั้นเปิดหน้าต่างออกก็สั่งสาวๆคนอื่นไปหลายคำ หลังจากนั้นก็มีเสียงของหนักบางอย่างกระแทกเข้ามา
“อึ่ก” กู้อ้าวเวยทรุดนั่งลงที่ข้างเตียงส่งเสียงอุทาน หญิงสาวคนนั้นปิดหน้าต่างเสียงดังปั้ง รีบรุดเข้ามาที่ข้างกายนางและประคองนางขึ้นมา “เจ้าอย่าได้คิดหนี รีบกลับ…..อึ่ก”
โลกเบื้องหน้าสายตามืดลงในทันที จนฟุบตรงที่ด้านหน้ากู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยรีบวางม้านั่งในมือลง ได้แต่กล่าวขอโทษลวกๆแล้วจึงลากนางไปที่เตียง ถอดเสื้อผ้าของนางมาสับเปลี่ยนกับของตนเองแล้วนำผมของตนมัดรวบขึ้น โชคดีที่หญิงโสเภณีคนนี้มักจะพกพัดตลอดเวลา นางกระแอมลำคอเลียนคำพูดคำจาด้วยเสียงเย้ายวน
เมื่อผลักประตูเปิดออก ชั้นล่างที่ชุลมุนวุ่นวาย กลุ่มชายต่างถิ่นร่างสูงใหญ่เปิดศึกทะเลาะกับเหล่าคุณชายรุ่นเยาว์ เหล่าหญิงสาวส่งเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจอยู่ข้างๆ นางลดระดับสายตากลับไม่พบทั้งจูเย่นและจูเซ
“อาฟาง ไม่ใช่ว่าเจ้า….” หญิงสาวนางหนึ่งเดินเข้ามามองนางด้วยสายตาประหลาดใจ
“ด้านนอกเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าไม่อาจเอาแต่รออยู่ในห้องได้” กู้อ้าวเวยส่งเสียงไอหลายครั้งขณะที่ถือพัดบังหน้า พลันนวดที่ลำคอของตน “ข้าสำลักของว่างที่เพิ่งทานไปน่ะ”
หญิงสาวนางนั้นจึงได้พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจและหลีกทางให้นาง
กู้อ้าวเวยตบเบาๆหน้าอกด้วยความหวาดผวา เมื่อมาถึงชั้นล่าง นางเห็นรางๆว่าจูเซกำลังขึ้นบันไดไปจากอีกด้านหนึ่งคล้ายกับว่าจะเข้าไปที่ห้องจูเย่น จึงลดสายตาและเบียดร่างเข้าไปในฝูงชน ท่ามกลางความโกลาหล ก่อนที่จูเซจะออกมาจากห้องของจูเย่นในที่สุดนางก็ได้มายืนอยู่ที่ด้านหลังของกว่างเสียน
นางควักเศษแก้วออกมาจากแขนเสื้อ มือข้างหนึ่งวางไว้บนไหล่ของกว่างเสียน ทว่าเศษแก้วในมือลดต่ำลงมาที่บริเวณลำคอส่งเสียงบอก “พาข้าออกไป”
กว่างเสียนตกใจกลัว แต่น่าเสียดายที่เศษแก้วนี้ถูกแขนเสื้อบังเอาไว้ คนรอบๆเพียงแค่เข้าใจว่าพวกเขาถือโอกาสความชุลมุนนัวเนียกันอยู่
กว่างเสียนจึงได้แต่กลืนน้ำลาย “ถ้าหากเจ้าถูกแม่เล้ารู้เข้า….”
“เบิกตาของเจ้าให้กว้างแล้วมองดูให้ดีๆว่าข้าเป็นใคร” กู้อ้าวเวยบิดหน้าของเขาให้หันมา
กว่างเสียนเมื่อเห็นกู้อ้าวเวยสีหน้าก็ดำคล้ำลงในทันที และเวลานั้นกู้อ้าวเวยได้เห็นจูเซออกมาจากห้องแล้ว ในใจอดที่จะกังวลไม่ได้ “พาข้าออกไปที”
“ข้าสามารถ….สามารถช่วยท่านไปบอกท่านอ๋องได้”
“ข้าไม่เชื่อเจ้า” ก่อนหน้านี้นางและกว่างเสียนมีความขัดแย้งกันไม่น้อย จะเชื่อเขาได้อย่างไร ชั่วขณะที่กว่างเสียนถูกพูดความในใจออกมาพลันรู้สึกเสียหน้า
ทว่ากู้อ้าวเวยไม่สามารถรอได้อีกต่อไป จูเย่นได้เดินออกมาจากในห้อง แล้วจูเซก็คล้ายจะพบเห็นเหตุการณ์ในห้องแล้วเช่นกัน นางจึงได้แต่ใช้กำลังถือโอกาสช่วงชุลมุนคุมตัวกว่างเสียนเดินออกไปข้างนอก
แต่นางประเมินกว่างเสียนต่ำไป
ในเวลาต่อมา ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่ข้อมือของนาง กว่างเสียนดูเหมือนจะเห็นร่องรอยบนข้อมือที่ถูกพันผ้าไว้จึงบิดอย่างรุนแรง อีกทั้งยังกดนางเอาไว้ที่เสาด้านข้าง เสียงที่ดังขึ้นทำให้คนไม่น้อยหันมามอง
กู้อ้าวเวยผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่จูเย่นที่อยู่บนชั้นสองกลับจำนางได้
หัวใจนางราวกับสิ้นหวัง เห็นรอยยิ้มอันเย่อหยิ่งบนใบหน้าของกว่างเสียน กล่าวด้วยเสียงแน่นหนัก “ท่านหาเรื่องตายเองนะ”
“ตอนนี้ท่านอยู่ในซ่อง ก็แค่ให้ความสุขสบายกับผู้คนใช่ไหมล่ะ!” มือของกว่างเสียนยังไม่ทันจะสัมผัสโดนเอวของนาง คนของจูเย่นที่ปะปนอยู่ตามหลืบมุมก็ซัดเขาลงไปกองที่พื้น กู้อ้าวเวยคิดจะหนีแต่ยังไม่ทันจะถึงหน้าประตู จูเซก็ได้มาขวางทางของนาง “เจ้าไม่สมควรหนีนะ”
“ข้าเคยบอกไปแล้วว่าข้าไม่อยากตาย” กู้อ้าวเวยหยุดเท้าลง ถึงขนาดที่นางไม่ต้องไปมองก็รู้ว่าตอนนี้จูเย่นกำลังยืนอยู่ที่ด้านหลังของนาง
“พี่ ครั้งนี้ข้าว่าแค่ต้องใส่ตรวนเท้าให้นางก็พอแล้ว” นี่เป็นประโยคสุดท้ายที่ได้ยินหลังจากที่กู้อ้าวเวยสลบไป
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าทั่วทุกแห่งบนร่างไม่มีตรงไหนที่ไม่เจ็บ สองมือและสองขาได้ถูกโซ่ตรวนพันธนาการไว้ จูเย่นกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามมองมาที่นางด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “ถ้าหากไม่ใช่น้องสาวข้าขวางไว้้ ขาของเจ้าคง…”
“เช่นนั้นก็ต้องขอบใจเจ้าแล้ว”กู้อ้าวเวยเย้ยหยันด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว ขณะที่กำลังคิดจะเปลี่ยนอิริยาบถสบายๆ ก้เห็นว่าในรถม้ายังมีคนนอนเกะกะขวางอีกคน
ตอนที่เห็นชัดๆว่าเป็นใบหน้าของกว่างเสียน กู้อ้าวเวยกลับส่งเสียงยิ้มเย็น “น่าเสียดายที่คนที่ข้าคบหาเป็นผู้ดีมีสกุล”
“เขาไม่ใช่เพื่อนเจ้างั้นรึ?” จูเย่นหัวเราะเสียงเย็นเยียบ พลันเตะคนบนพื้นที่สลบไปนานแล้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าอย่าคิดว่าพูดเช่นนี้แล้วข้าจะปล่อยมันไปทั้งที่มันเห็นทุกอย่างหมดแล้ว”
“หู้ปู้เซ่อหลางไม่ปล่อยเจ้าหรอก” กู้อ้าวเวยส่งเสียงตำหนิ
ถึงแม้ว่านางจะรังเกียจกว่างเสียนมาก แต่นางไม่สามารถเอาชีวิตคนมาเกี่ยวข้องได้อีก
“เช่นนั้นก็ต้องให้พวกเจ้าสองคนมีชีวิตกลับไป ยิ่งไปกว่านั้นเคยได้ยินมาว่าหู้ปู้เซ่อหลางชื่นชอบบุตรชายผู้นี้มากเสียด้วย” รอยยิ้มบนใบหน้าจูเย่นยิ่งทวีความชั่วร้าย
กู้อ้าวเวยจึงได้แต่กัดริมฝีปาก ผินหน้าหันไปอีกด้าน
“การออกนอกเมืองของพวกเราคงไม่ง่ายดายขนาดนั้น พวกเจ้าปล่อยข้าจะดีกว่า” กู้อ้าวเวยรู้ตัวเองดีว่ากำลังดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ แต่นางก็ยังอดไว้ไม่ได้
จูเย่นดึงเชือกที่มัดนางไว้ทำให้นางนอนพังพาบไปกับขาของตน กู้อ้าวเวยได้แต่พยายามคุกเข่าคลานที่ข้างกว่างเสียน พลันถูกจูเย่นบีบคางขึ้นมาประชันหน้า “อย่ามาวางมาดใหญ่โตตบตาข้า มิเช่นนั้นข้าอาจพิจารณาดึงลิ้นของเจ้าออก”
กู้อ้าวเวยยกยิ้มอย่างไม่กลัวตาย “เช่นนั้นข้าก็จะตายให้เจ้าดู”