บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 157
บทที่157 ความทะเยอทะยาน
สองชั่วยามเต็ม ซู๋โหย่วเว่ยเพียงเฝ้ามองอยู่อีกด้าน คอยช่วยเหลือเป็นครั้งคราวเมื่อข้อมือของกู้อ้าวเวยเจ็บ
แต่ซู๋โหย่วเว่ยและกู้อ้าวเวยยังคงไม่เหมือนกัน กู้อ้าวเวยถึงจะรอบรู้ แต่มือคู่นี้บนร่างกายยังไม่ได้รับการฝึกฝน การฝังเข็มของซู๋โหย่วเว่ยกลับสะสมมาหลายปี พอถึงครึ่งชั่วยามสุดท้าย กลับกลายเป็นนางที่เอ่ยปากขึ้น บอกกับซู๋โหย่วเว่ย
มาเพื่อดูความสนุกอย่างยัยไง่หงเมื่อเห็นการฝังเข็มเสร็จแล้ว จึงได้รีบไปเอาของว่างพร้อมน้ำชาเข้ามา
ผ้าผืนบางบนข้อมือของกู้อ้าวเวยนั้นย้อมไปด้วยสีแดงแล้ว นางเพียงแค่นำสมุนไพรมาพันใหม่อีกครั้ง ราวกับว่าไม่ได้เจ็บปวดเลย ยัยไง่หงที่ยืนข้างๆทนไม่ไหวจึงร้องทักขึ้น: “แม่นางเอ่อร์ชิง ทำไมบาดแผลของท่านนี้ถึงได้สาหัสเช่นนี้……”
“มีเพียงแค่ข้อมือที่สาหัสเล็กน้อย” กู้อ้าวเวยหัวเราะแห้ง
“ก่อนหน้านี้ก็พูดแล้ว หลายวันนี้ให้รักษาบาดแผลดีๆยังไม่ต้องใช้มือ แต่เจ้ากลับ ไม่เขียนใบสั่งยาก็ช่วยข้าหยิบยา” ซู๋โหย่วเว่ยเลือกยาที่ดีที่สุดให้นางเท่านั้น กู้อ้าวเวยเมื่อถูกตำหนิจากหมอเหมือนกัน จึงหัวเราะแห้ง ไม่กล้าโต้เถียง
และเมิ่งซู่เมื่อเช็ดตัวแล้ว ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดที่สะอาด ก็รู้สึกตัวเบาดุจนกนางแอ่น ไม่แน่นหน้าอกศีรษะก็ไม่ปวดแล้ว
“ขอบคุณแม่นางเอ่อร์ชิงมาก”
“ไม่เป็นไร พวกเราก็แค่มีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น” กู้อ้าวเวยรู้สึกเจ็บที่กระดูกไหปลาร้าอีกครั้ง สงสัยว่าแผลที่หน้าอกจะอักเสบหรือไม่ จึงมองยัยไง่หงที่ยืนอยู่ข้างๆ: “ยังมีห้องว่างไหม ข้าต้องการจะเปลี่ยนยา”
“มีเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านดีกว่า เป็นข้างหลังที่บาดเจ็บ หรือว่าข้างหน้า?” ยัยไง่หงดูเหมือนจะเห็นผ้าผืนบางตรงสาบเสื้อของนาง ทันใดนั้นก็ให้การดูแลกู้อ้าวเวยเช่นคนป่วยคนหนึ่ง แล้วประคองนางเดินออกด้านนอก
เมิ่งซู่กำลังสงสัย ซู๋โหย่วเว่ยที่อยู่ข้างๆเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก แล้วจึงพูดต่อ: “ไม่กี่วันก่อนตอนที่พบกับแม่นางท่านนี้ บนไหล่และใต้กระดูกไหปลาร้าเต็มไปด้วยบาดแผลขนาดใหญ่ ตรงข้อมือทั้งสองข้างบาดแผลสาหัสกว่า เหมือนหญิงสาวกระโดดลงน้ำหนีมา บาดแผลเมื่อถูกแช่อยู่ในน้ำ ตอนนี้เจ็บปวดยากจะอดทน แต่นางก็ยังไม่ยอมพักผ่อน ข้าก็ไม่รู้ต้องทำเช่นไรกับนาง”
“ท่านลุงซู๋ นางมาจากที่ใดกันแน่”
“บอกว่าจากเทียนเหยียน แต่ตอนนี้ต้องการจะไปหลิ่งหนาน แต่นางเต็มไปด้วยความสามารถ ต้องสามารถรักษาเจ้าได้ สองสามวันนี้ ข้าคงต้องฝากนางให้พวกเจ้าช่วยดูแลแล้ว แต่ห้ามรังแกแม่นางที่น่าสงสารคนนี้เด็ดขาด” ซู๋โหย่วเว่ยพูดด้วยความจริงจัง แทบอยากจะเอาเมิ่งซู่มาเป็นบุตรชายของตน
อาโม่ที่อยู่ข้างๆเมื่อได้ยินแล้ว ก็วิ่งเข้าไปใกล้เมิ่งซู่: “พี่ชาย ข้าก็ต้องการที่จะอยู่ด้วย พี่สาวท่านนี้ช่างเป็นคนดีมาก ก่อนหน้านี้ยังสัญญาแล้วว่าจะสอนข้าทำยาแก้คัน”
เฟิงเมี่ยวยิ้มบางๆ ซู๋โหย่วเว่ยทำอะไรไม่ได้ ถือโอกาสปล่อยให้เด็กสาวคนนี้อยู่ที่นี่เสีย
เมิ่งซู่จึงจูงมืออาโม่ไปเล่นในสวน อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังห้องพักที่กู้อ้าวเวยอยู่
เขาถูกขังอยู่ที่นี่ ในวันปกติที่ตำบลซ่านหลินนี้ก็เคยเห็นสตรีที่มาจากตระกูลใหญ่มีฐานะ แต่ยังไม่เคยเห็นหญิงสาวที่มีพรสวรรค์เช่นนี้มาก่อน
กู้อ้าวเวยเมื่อได้รู้ว่าซู๋โหย่วเว่ยจะทิ้งตนให้อยู่ที่นี่ กลับไม่มีความกังวล แต่คำกล่าวที่ว่าการระวังผู้อื่นก็มิควรขาด นางจึงได้นำสมุนไพรที่เก็บในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ห่อรวมกับสมุนไพรในร้าน สกัดเป็นยานอนหลับเพื่อป้องกันตน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอาโม่อยู่ด้วยทั้งคน
ยัยไง่หงรอจนกระทั่งนางเปลี่ยนยาและผ้าผืนใหม่เสร็จ ถึงได้นำเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่มาให้นางได้เปลี่ยน: “แม่นางเอ่อร์ชิง บาดแผลของท่านเหมือนว่ายังสาหัสนัก พักอยู่ที่นี่เพียงแค่ห้าวัน ไม่น้อยเกินไปหรือ”
“เวลาไม่คอยคน” กู้อ้าวเวยมัดผ้ารอบเอวแน่นแล้ว จึงได้นำแมวไม้เชือกแดงก็ผูกเข้าด้วย
ความไม่พอใจเพียงอย่างเดียว ก็คือมีดเล่มเล็กของนางที่ชื่อลากบัวถูกเอาไปโดยคนของโหวเซ่อ
ต้องมีสักวัน ที่นางจะนำลากบัวกลับมา
ยัยไง่หงรีบนำเอาสิ่งของที่เปื้อนเลือดและเสื้อผ้าสกปรกออกไป แม่บ้านเก่าแก่ได้เล่าเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับแม่นางเอ่อร์ชิงให้กับนางแล้ว จากนั้นจึงเคาะประตูของกู้อ้าวเวย: “แม่นางเอ่อร์ชิง อยู่ที่จวนนี้หากว่าต้องการทำอะไร สามารถเรียกใช้พวกเราได้ตลอดเวลา”
“เข้าใจแล้ว แต่คุณชายเมิ่งเหงื่อออกช่วงดึก ข้าขออยู่ลานเดียวกับเขาดูว่าได้หรือไม่” กู้อ้าวเวยแตะเบาๆที่ข้อมือ
“นี่อาจไม่ได้ หากว่ามีการพูดออกไป จะส่งผลต่อชื่อเสียงของท่าน……”
“ชีวิตคนอยู่เหนือฟ้า เรื่องชื่อเสียงหากว่าพวกเจ้าไม่พูดออกไป ก็จะไม่เป็น” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆให้กับเรื่องนี้ แม่บ้านเก่าแก่เถียงไม่ชนะนาง จึงทำได้เพียงแค่ตอบตกลง
กระทั่งช่วงดึก เมิ่งซู่ไม่สามารถนอนหลับในกลางคืน กู้อ้าวเวยตรวจอย่างละเอียดแล้ว ในวันที่สองจึงได้เขียนใบสั่งยา
จะต้องปล่อยเลือดของเขาเล็กน้อย แล้วให้ซู๋โหย่วเว่ยมาช่วยฝังเข็ม ถึงสามารถดื่มยาได้หนึ่งถ้วย เมิ่งซู่เมื่อดื่มยาแล้วก็โบกๆมือ: “เมื่อคืนนางดูแลข้าทั้งคืน พวกเจ้าต้องดูแลนางให้ดี”
“แน่นอน แต่คุณหนูซู๋ตามติดแม่นางเอ่อร์ชิง วุ่นวายไม่ห่าง” แม่บ้านเก่าแก่ถอนหายใจเฮือก
เมิ่งซู่จึงได้ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วพาอาโม่มาไว้ข้างกาย ให้กู้อ้าวเวยได้ไปพักผ่อน
กระทั่งเวลาที่นายท่านเมิ่งและฮูหยินเมิ่งกลับมาถึง กู้อ้าวเวยก็หลับสนิทแล้ว ทำให้ไม่ได้พบกัน
ซู๋โหย่วเว่ยและนายท่านเมิ่งเมื่อพี่น้องได้เจอกัน ก็พูดคุยกันอย่างออกรส เมื่อได้รู้ว่ากู้อ้าวเวยถึงแม้อายุยังน้อยแต่กลับมีความสามารถเช่นนี้ จึงหัวเราะด้วยความชอบใจแล้วพูดว่า: “อย่าว่าแต่หลิ่งหนาน ถ้านางต้องการที่จะไปเมืองเทียนเหยียน ข้าก็จะจัดคนไปส่งนางด้วยตนเอง
“นายท่าน……” ฮูหยินเมิ่งที่อยู่ข้างๆดึงแขนเสื้อของสามีไปมา ส่งสายตาไปทางเมิ่งซู่
เมิ่งซู่กำลังไม่มีใจที่จะดื่มชากินข้าว เมื่อได้ยินซู๋โหย่วเว่ยเล่าว่าหญิงสาวคนนี้หน้าตาและนิสัยใจคอล้วนไม่เลว นายท่านเมิ่งก็เข้าใจได้ในทันที รอจนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็นและทานอาหารพร้อมกู้อ้าวเวย นางเร็วดุจพายุหอบปุยเมฆทานไปไม่น้อย เพียงแค่ฟังนายท่านเมิ่งพูดสรรเสริญเยินยอ นางเพียงแค่ตอบเสียงเบาเพื่อตอบสนอง ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดู
หลังอาหารมื้อเย็น กู้อ้าวเวยตรวจร่างกายให้กับฮูหยินเมิ่ง เพียงส่ายหัวเบาๆ: “รอให้ร่างกายของคุณชายเมิ่งดีขึ้น ความเจ็บป่วยของท่านก็จะหายไปเอง เพียงแต่ว่าช่วงนี้ไม่ต้องทานของที่มีน้ำมันมากเกินไป
ฮูหยินเมิ่งก็ทำเพียงพยักหน้ารับ รับสั่งให้คนดูแลแม่นางเอ่อร์ชิงให้ดี
สองวันติด ที่กู้อ้าวเวยช่วยเมิ่งซู่ปรับสภาพร่างกาย ตอนนี้กลับไม่เป็นไร เมิ่งซู่ก็รู้สึกสุขภาพกายใจดีขึ้นมาก จึงจับพู่กันสร้างภาพวาด
กู้อ้าวเวยว่างไม่มีอะไรทำเพียงพลิกหนังสือในห้องหนังสือของเขา พลิกถึงเล่มหนึ่งที่เป็นสมุดจดบันทึกเล่มเล็กของเขา กลับหัวเราะเบาๆ: “บ้านก่อนบ้านเมืองทีหลัง ใจคนอยู่หน้า ความดีอยู่หลัง ยังดีที่มีคนคิดเช่นนี้”
“เจ้าคิดเห็นเช่นไร?” เมิ่งซู่หยุดพู่กันลง แล้วถามนาง
อยู่ร่วมกันมาแล้วสองสามวัน เขาก็ดูออกแล้วว่ากู้อ้าวเวยไม่เหมือนกับคนอื่นๆ บางครั้งดูบันทึกของเขาทั้งสองคนก็สามารถพูดคุยกันได้ครู่หนึ่ง กลับเต็มไปด้วยความถูกชะตา
เมื่อวางพู่กันในมือลง กู้อ้าวเวยก็ไปค้นหาเล่มต่อไป: “ปกติก็ไม่มีอะไรถูกหรือผิดในโลกนี้ ข้าคิดเช่นไรมันไม่สำคัญ สำคัญที่ความมุ่งมั่นและปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเจ้า หากต้องเสียเปล่าอยู่ที่จวนแห่งนี้ ช่างน่าเสียดายแล้ว”
เมิ่งซู่วิสัยทัศน์เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เขาตั้งแต่เล็กที่บ้านก็มีฐานะร่ำรวย ก็เพราะพี่ชายวิ่งไปทั่วสี่ทิศ บวกกับการอ่านตำราอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง กลับไม่ได้เป็นพวกบัณฑิตไร้ประโยชน์ กลับกันความคิดด้านอารมณ์ยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค้าขายหรือความคิดต่างๆ ก็ทิ้งห่างไปข้างหน้า
แต่กับเขาไม่ต้องต่อสู้แข่งขันกับคนอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องปากหวานก้นเปรี้ยว เพียงแค่ตั้งใจเล่าเรียน
คิดมาถึงตรงนี้ นางกลับมีความคิดที่จะดึงตัวมาเก็บไว้ หากวันข้างหน้าเมิ่งซู่สามารถเข้าวังเป็นขุนนาง มีความสำเร็จที่ดี ในภายภาคหน้านางก็สามารถมีภูเขาให้พึ่งพิงเพิ่มอีกลูก จึงได้หันไป: “หากเจ้าต้องการเข้าร่วมการสอบขุนนาง ข้าสามารถช่วยเจ้าได้