บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 192
บทที่ 192 เผยรอยยิ้ม
เรือนเล็กสี่ทิศ คนนับสิบชีวิตกำลังปรนนิบัตินาง
ยามนี้เข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ตรงเบื้องหน้ายังสามารถเห็นแสงแดดที่ทอดลงมาเป็นเส้น เพียงตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นับวันร่างกายนางก็ซูบผอม ทั้งไม่เอ่ยวาจาสักคำ เกรงว่าเห้อจิ้นหล่างคงถูกบังคับหิ้วกล่องยาตามมาตรวจชีพจรนาง ซึ่งนางยังคงบื้อใบ้อย่างเคย
ซ่านจินจื๋อยืนอยู่ข้างๆ จับตามองทุกอิริยาบถของเห้อจิ้นหล่าง
หากไม่ใช่เพราะหลางจงพเนจรกับเมี่ยวหารไร้ปัญญาจะรักษาร่างกายของกู้อ้าวเวย ซ่านจินจื๋อคงไม่เอาทุกชีวิตของจี้ซื่อถางบีบบังคับให้เขามาที่นี่เพื่อตรวจชีพจรให้นางอย่างแน่นอน
เห้อจิ้นหล่างขมวดคิ้วแน่น ชำเลืองมองกู้อ้าวเวยอยู่หลายครา “ท่านอ๋องนี่คือการทำให้นางอายุสั้น”
“เจ้าจำเป็นต้องพูดแค่ว่า ยามนี้นางสามารถตั้งครรภ์ให้กับข้าได้หรือไม่” ในช่วงหลายวันมานี้ถูกกู้อ้าวเวยยั่วโทสะ กระทั่งยามที่เขานึกอยากลงมืออย่างเหลืออดแต่จนที่สุดเขาก็อดทนกัดฟันแน่น หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ซ่านจินจื๋อยืนกรานจะทำให้นางเอ่ยวาจาอะไรบ้างแต่กลับทำให้เขาต้องเวียนศีรษะแทนก็คงจะไม่โกรธขนาดนี้
เมื่อได้ยินคำเอ่ย กู้อ้าวเวยไม่โกรธแต่กลับหัวเราะยกยิ้มมุมปาก สอดมือออกมารินชาเขียวให้ตนเอง นิ้วเรียวเล็ก และแขนที่ผอมบางเกินไปเผยให้เห็นเส้นเลือดดำที่ปูดโปน กระดูกไหปลาร้าเด่นชัด และช่วงเอวบางที่แทบจะไม่มีเนื้อ
ราวกับว่าเพียงแค่แตะเบาๆก็สามารถแตกสลาย
“หากท่านอ๋องต้องการรั้งชีวิตของนางไว้จริง ไม่สู้พานางไปเดินเล่นผ่อนคลายให้เบิกบานใจเพื่อที่จะได้ตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย หากเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ร่างกายจะตั้งครรภ์แต่ภายในสามเดือนทารกยังไม่รูปร่างก็ไม่รอดแล้ว” เห้อจิ้นหล่างไม่ฝืนมองอีกครั้ง เดิมทียังคิดอยากจะกล่าวโน้มน้าวนางหลายประโยค แต่บัดนี้เมื่อซ่านจินจื๋อยืนขนาบข้างก็ไม่อาจที่จะทำได้
ทว่ากู้อ้าวเวยเอาแต่ส่งเสียงวนไปมา มองที่เห้อจิ้นหล่างเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย แต่ยังไม่เอ่ยวาจาสักคำ
เห้อจิ้นหล่างเลิกคิ้ว เพียงแค่ส่งเสียงอุทานเบาๆ ยกมือตบที่หัวไหล่ของนางเบาๆ
เห้อจิ้นหล่างสำหรับกู้อ้าวเวยแล้ว เปรียบได้ดั่งหยุนชิงหยางที่มีชีวิตอยู่ เพียงแตกต่างกันนิดเดียว คนทั้งสองเป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งอาจารย์ แค่การกระทำที่เล็กๆน้อยๆเช่นนี้ ส่งผลไหล่ของกู้อ้าวเวยที่แข็งตึงให้ผ่อนคลายลงอย่างมาก เผยรอยยิ้มบางออกมา พยักหน้าให้กับฝ่ามือนั้นของเห้อจิ้นหล่าง
เห้อจิ้นหล่างตกใจเล็กน้อย จึงเอ่ยด้วยความจนใจ “เจ้ายังจำหนุ่มสองคนนั้นได้ไหม?”
กู้อ้าวเวยเพียงแค่ผงกศีรษะเล็กน้อย นางถูกกักขังมานานเกินไป แค่อยากได้ยินเรื่องราวโลกภายนอก ถึงแม้จะเป็นเรื่องของขอทานตัวเล็กๆสองคนที่ช่วยชีวิตไว้ในวันนั้นก็ตาม
“พวกเขาสบายดี เอาแต่เฝ้าคอยจะคืนเงินให้เจ้าท่าเดียว”
เห้อจิ้นหล่างที่กล่าวประโยคนี้จบได้ทันและผลุนผลันจากไปในทันที
ซ่านจินจื๋อยังคงโกรธอยู่ แต่เมื่อเห็นกู้อ้าวเวยค่อยๆลุกขึ้นหันมาประชันหน้ากับเขา ถึงแม้จะคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่นางก็ยังเอ่ยกับเขาด้วยเสียงแผ่วเบา “เลือดที่ท่านต้องการ ข้าให้ท่าน แต่ท่านจงจำไว้ว่าชีวิตนี้ท่านติดหนี้ข้ามาโดยตลอด”
“ไม่ว่าเวลาใดเจ้าก็ข่มขู่ก้าวร้าวอย่างนี้เสมอหรือ?”
ซ่านจินจื๋อเย็นชาเล็กน้อย เพียงยกมือนำร่างเข้าเข้าอ้อมกอด
เหตุใดเพียงแค่คำพูดที่ก้าวร้าวของกู้อ้าวเวย เมื่อฟังแล้วยังเสนาะหูกว่าเสียงนกร้องในฤดูใบไม้ผลิเสียอีก
“ท่านไม่คู่ควรที่จะปฏิบัติกับข้าอย่างอ่อนโยน อย่างที่ท่านทำสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดกับข้า” กู้อ้าวเวยไม่มีเจตนาที่จะดิ้นรน เพียงแต่น้ำเสียงค่อยจางลงเรื่อยๆ
แม้ว่าคำพูดไม่กี่ประโยคของเห้อจิ้นหล่างจะไม่ช่วยอะไร แต่นางกลับคิดตกได้เล็กน้อย
ผืนฟ้าพสุธากว้างใหญ่ เหตุใดต้องจมปลักอยู่กับชีวิตของตน เด็กขอทานยังมีสายใยแห่งความปรารถนาที่จะอยู่รอด แต่นางยังสามารถใช้คุณค่าจากสถานะที่เหลืออยู่แล้วเหตุใดจะต้องร้องขอความตายด้วย
เมื่อวันนั้นมาถึง สิ่งที่พูดในวันนี้จะต้องสำเร็จ
เป็นเวลาหลายวันติดต่อกันที่ซ่านจินจื๋อตามประกบเคียงข้างกู้อ้าวเวยเป็นอย่างดี พานางขึ้นเขา จับมือนางเดินท่องไปในป่า หรือไม่ก็พานางไปคัดเลือกสมุนไพรแล้วนำกลับมาบดอย่างประณีต
แต่นางไม่เคยนึกอยากเอ่ยวาจา ความปกติสุขก็แค่การรับปายเสากับพุทราที่ซ่านจินจื๋อส่งมาแล้วพูดพึมพำกับตนเอง ทุกครั้งที่เอนกายนอนบนเตียง นางผ่อนคลายร่างกายหลับตาปล่อยไปตามครรลอง แม้ว่าจะกัดจนริมฝีปากแตกก็ยังคงเงียบงัน
แค่สั้นๆไม่กี่วันเท่านั้น ซ่านจินจื๋อกลับรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาแสนประเสริฐที่สุด
ทว่าซูพ่านเอ๋อเมื่อได้ยินมาว่าซ่านจินจื๋อยังไม่สังหารกู้อ้าวเวย กระทั่งมีข่าวว่านอนร่วมเตียงเคียงหมอนจึงได้แต่ร้อนใจดั่งไฟสุม หลังจากที่เป็นลมหมดสติไปคราหนึ่งพอตื่นมาก็ร่ำไห้ไม่เป็นภาษา จิ่นซิ่วเพียงแค่ปิดหน้าต่างเสียมิดชิดและไล่คนออกไป กระซิบปลอบใจว่า “ท่านอ๋องก็แค่ทำเพื่ออาการป่วยของท่าน….”
“เพื่อข้างั้นหรือ! ถ้าเพื่อข้าจริงพี่จื๋อก็สมควรฆ่านางทิ้งซะ!”
ทำไม! ทำไมต้องร่วมเตียงเคียงหมอนกับนาง เพื่อให้ตั้งครรภ์ทายาทด้วย!
เป็นเพราะนายท่านเห้อเคยกล่าวไว้ รกเด็กก็นับว่าเป็นเลือดเนื้อ” จิ่นซิ่วไม่สามารถพูดต่อได้อีก
ซูพ่านเอ๋อกลับถลึงดวงตาคู่งาม จนแทบอยากจะคว้านลูกตาของจิ่นซิ่วออกมา ในใจโกรธขึ้งอย่างมาก “เมื่อกล่าวเช่นนี้ ถึงตอนนั้นนางจะอุ้มลูกของพี่จื๋อกลับมาน่ะสิ! ข้าจะให้เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นง่ายๆได้อย่างไร! ยังไม่เรียกเมี่ยวหารมาให้ข้าอีก!”
“เจ้าค่ะ…..” จิ่นซิ่วไปเรียกเมี่ยวหารด้วยความสั่นเทา
จนรอหน้าประตูมาได้ครึ่งชั่วยาม เมี่ยวหารก็เดินออกมาด้วยใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซวนเซ แต่ไม่ว่าจิ่นซิ่วจะถามอย่างไร เขาก็เหม่อลอยคล้ายว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และเคลื่อนกายหายไปจากที่แห่งนี้
“นี่..นี่มันอะไรกันแน่?” จิ่นซิ่วได้แต่สงสัย
ยามนี้ในจวนขององค์ชายสี่ก็เกิดความวุ่นวายเช่นเดียวกัน
ซ่านเชียนหยวนเพิ่งจะทราบเรื่องที่ลี่วานปฏิเสธหยินเชี่ยวกับชิงต้าย ยามนี้จึงโกรธเกรี้ยวยิ่ง เบื้องหน้าสายตาคือความสับสนชุลมุน เขาแค่ถูกกู้อ้าวเวยปลุกปั่นและจากไปเมื่อไม่กี่วัน แต่ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อไปฟังคำยุยงของใครเขามา ถึงสั่งให้เขาไปบ้านริมน้ำโล่เสียเพื่อจัดการเรื่องที่เหลือ
ตอนที่กลับมาก็ได้รู้เรื่องที่ลี่วานกระทำลงไปจากคนรับใช้
“องค์ชายสี่เพคะ หม่อมฉันแค่ทำเพื่อท่าน ถึงแม้ท่านจะเห็นพระชายาจิ้งเป็นดั่งพี่สาว แต่ยามนี้อ๋องจิ้งต้องการกำจัดนาง หากท่านผลีผลามเข้าไปก็จะเป็นอย่างครั้งที่แล้วแน่นอน….”
“หากนางตาย ชีวิตของเจ้าก็ไม่ต้องเอาไว้แล้ว” ซ่านเชียนหยวนสองตาแดงฉานด้วยความโกรธ โดยที่กระบี่มิได้อยู่บนที่สายคาดเอวอีกต่อไป สั่งพ่อบ้านคนสนิทว่า “พระชายาองค์ชายสี่ทราบเรื่องแต่ไม่รายงาน งดเบี้ยหวัดสามเดือน นอกจากนี้ไปเตรียมรถม้าให้ข้าไปสอบถามโรงยา”
ลี่วานหน้าถอดสี สั่นเทิ้มไปทั่วทั้งร่าง “พระองค์ทำแบบนี้กับหม่อมฉันก็เพราะพระชายาจิ้งจริงๆ!”
“เจ้าไม่เข้าใจข้า ข้านับถือเจ้าและปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความรักใคร่ พยายามที่จะมอบความรู้สึกให้กับเจ้า แต่เจ้ากลับไม่เข้าใจมาโดยตลอดว่ากู้อ้าวเวยสำหรับข้าเปรียบเสมือนพี่หลิงเอ๋อที่คอยปกป้องข้ามาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ พี่หลิงเอ๋อจิตใจดี จิตใจกว้างขวาง แต่ยังต้องตายด้วยน้ำมือคนชั่ว ยามนี้ข้าไม่อาจทนดูทุกสิ่งซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง”
ซ่านเชียนหยวนสะบัดแขนเสื้อจากไป ย่อมต้องพาชิงต้ายกับหยินเชี่ยวไปทวงความยุติธรรมที่จวนเฉิงเสี้ยงแน่นอน
เสนาบดีกู้เฉิงเสี้ยงยามนี้จิตใจมืดบอด ขนาดลูกสาวแท้ๆของตนก็ไม่สนใจดูดำดูดีแล้วหรือ?
แต่ยังไม่ทันที่จะถึงโรงยาก็พบความวุ่นวายบนกลุ่มหนึ่งบนท้องถนน สตรีนางหนึ่งกอดบุตรสาวที่เพิ่งย่างแปดขวบร่ำไห้เสียยกใหญ่อยู่บนถนน คนเบื้องหน้าท่าทางจะเป็นหลางจงพเนจรกลับกล่าวด้วยความหยิ่งยโส “ “ตอนแรกลูกสาวเจ้าเห็นข้าทำธุระให้จวนอ๋องจิ้งถึงได้ยอมอิงแอบแนบชิดอยู่ในอ้อมอก ยามนี้นางตายไปแล้วจะกล่าวโทษข้าอย่างนั้นหรือ?