บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 196
บทที่ 196 พาเจ้ากลับจวน
แผ่นหลังอาบย้อมไปด้วยเลือด เยว่ใบหน้าซีดขาว กลับยังคงมองซ่านเซิ่งหานอย่างไม่ระทดระท้อ
ลงแส้สามสิบครั้งสำหรับเยว่ในฐานะองครักษ์ลับแล้วไม่เจ็บไม่คันเท่าไรนัก แต่สำหรับเยว่ในฐานะอนุภรรยาขององค์ชายสาม นี่นับว่าเป็นบทลงโทษสาหัสสากรรจ์อย่างที่สุด เมื่อถูกคนสนิทของซ่านเซิ่งหานโยนลงไปบนพื้น นางจึงได้ประคองร่างกึ่งลุกกึ่งคลาน
ซ่านเซิ่งหานที่มักจะสุภาพเรียบร้อยมารยาทงามในยามปกติ หลงเหลือเพียงท่าทีเย็นชาโหดร้ายไร้เมตตาปราณี
“ข้าให้ท้ายเจ้ามานาน เจ้ากลับไม่รู้สำนึกผิดปรับปรุงตัว” ซ่านเซิ่งหานยืนมือไพล่หลัง มองสมุนคนสนิทด้วยนัยน์ตาเยือกเย็น “จับตาดูนางไว้”
“องค์ชาย!” เยว่คลานไปหาซ่านเซิ่งหาน กำแขนเสื้อของเขาเอาไว้จนแน่น “เหตุใดท่านยินยอมเชื่อถือพระชายาจิ้งที่เคยพบพานเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับไม่ยอมเชื่อเยว่ที่ท่านสั่งสอนมากับมือเล่า? เยว่ กระทั่งชื่อนี้ท่านยังมอบให้หม่อมฉันด้วยพระองค์เอง!”
เยว่ไม่อาจเข้าใจได้เลย
ซ่านเซิ่งหานให้ท้ายจนทำตัวใหญ่คับฟ้า ในสายตาของเยว่กลับมีเพียงเจ้าของวังผู้นี้ สตรีทั่วไปไม่ว่าอย่างไรแล้วก็ไม่คู่ควรกับเขา แต่ซ่านเซิ่งหานยังคงเก็บไว้ด้วยความเมตตาที่มีต่อนาง “ในวันหน้าเจ้าทำตามเพียงเท่าที่ข้าสั่ง หากกระทำผิดซ้ำจะขับไล่ออกจากชางหลานไม่ต้องกลับมาอีกตลอดกาล”
“องค์ชาย….”
เยว่มองคนตรงหน้าอย่างยากที่จะเชื่อ ปลายนิ้วที่กำแน่นถูกซ่านจินจื๋อแกะออก นั่งทรุดอยู่บนพื้นที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง สายตาทอดมองไปตามเงาร่างของซ่านเซิ่งหานที่หายลับไปจากห้องนี้
“บานประตูถูกปิดแน่นสนิท ไม่ได้ยินเสียงของเยว่ขากข้างในอีกต่อไป
เงาร่างสายหนึ่งคุกเข่าลงที่ข้างกายซ่านเซิ่งหาน เอ่ยเสียงกระซิบ “องค์ชาย ทางฝั่งฮูหยิน….”
“รอนางฟื้นแล้วค่อยให้บิดานางมาเจรจาด้วยตนเอง” ซ่านเซิ่งหานพลางนวดขมับที่เริ่มมีอาการปวด หวังเพียงว่าทางฝั่งฉางอิฉินจะไม่เลวร้าย
……
ในเวลาเดียวกัน ณ ห้องหนังสือของจวนอ๋องจิ้ง
หลางจงพเนจรกำลังคุกเข่าบนพื้นประคองผ้าเปื้อนเลือดอย่างพินอบพิเทา “ท่านอ๋องจิ้ง เวลาไม่คอยท่า อาการป่วยของแม่นางซูเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงนับวันยิ่งรุนแรง หากไม่ได้เลือดเนื้อของทายาทตระกูลหยุนเกรงว่าจะประคองไม่พ้นฤดูหนาวนี้”
“แกร่ก—-”
พู่กันในมือของซ่านจินจื๋อถูกหักกลายเป็นสองท่อน คนรับใช้ข้างกายและหลางจงพเนจรกระวีกระวาดคุกเข่าก้มหน้างุดๆ ไม่กล้าแม้แต่จะโงหัวขึ้น
พู่กันในมือร่วงหล่นลงพื้น ซ่านจินจื๋อนิ่งเงียบอยู่นานจึงได้ขมวดคิ้วเอ่ยปาก “ความหมายของเจ้าคือตั้งใจให้ข้าสังหารพระชายางั้นอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าน้อยมิกล้า!” หลางจงพเนจรเหงื่อไหลท่วมราวกับเม็ดฝน ไหล่สั่นเทิ้มเบาๆ ก้มกราบจนปลายจมูกแทบจะขุดลงที่พื้นแต่ยังพยายามกล่าวต่อ “แค่ต้องรอจนกระทั่งเลื้อดเนื้อของพระชายาก่อขึ้นเป็นรูปร่าง หลังจากนั้นค่อยนำออกมาพ่ะย่ะค่ะ….”
“เจ้าน่าจะรู้ดีว่านี่ก็เป็นเลือดเนื้อของข้า!”
ซ่านจินจื๋อทุบโต๊ะผุดลุกจากที่นั่งด้วยความโกรธจัด
หลางจงพเนจรร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวในทันที แม้แต่ท่าทางที่หมอบคุกเข่าก็ประคองไว้ไม่อยู่ ได้แต่ทรุดนั่งกับพื้นด้วยความสั่นกลัว จึงรวบรวมความกล้าก่อนที่ซ่านจินจื๋อจะโยนเขาออกไปโดยยกผ้าเปื้อนเลือดชิ้นนั้นในมือขึ้นมา “ท่านอ๋องต้องการชีวิตของแม่นางซู หรือว่าต้องการเลือดเนื้อเชื้อไขของพระชายาล้วนสมควรให้ท่านอ๋องเป็นผู้ตัดสินใจ ข้าน้อย….ข้าน้อยไม่ว่าอย่างไรก็จะช่วยท่านอ๋องสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ!”
“เฉิงซาน นำมันไปไว้ห้องเก็บฟืน! หากไม่มีคำสั่งของข้า ไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนปล่อยมันออกมา!”
ซ่านจินจื๋อสะบัดแขนเสื้อ เร่งให้คนนำตัวออกไป
เมื่อเขาถึงบ้านพัก กู้อ้าวเวยกำลังนั่งอยู่ในลานบ้านพร้อมกับบ่วงข้อมือ ข้างๆมีขนมเรียงกันอยู่สามอย่างแต่กลับไม่เห็นนางเอื้อมมือไปหยิบ ดวงตาคู่นั้นหวนคืนสู่ความมีชีวิตชีวาเล็กน้อย และยังอาจเห็นเงาแห่งความคลุมเครือเจือบางๆ
ยามนี้เมื่อเห็นว่าประตูหลักมีคนเข้ามากู้อ้าวเวยจึงเงยหน้าขึ้นมอง “ใครมาอีกแล้วล่ะ?”
“เรียนพระชายา เป็นท่านอ๋องที่มาเพคะ” สาวใช้ข้างกายเอ่ยเสียงค่อยจึงค่อยถอยหลังจากไปอย่างเงียบๆ
กู้อ้าวเวยถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าวันนี้ซ่านจินจื๋อถ่อมาถึงที่นี่เพราะอะไรกันแน่
กระทั่งซ่านจินจื๋อมายืนปักหลักอยู่เบื้องหน้าของนาง นางจึงได้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองแสร้งราวกับว่าเพิ่งจะเห็นเขา
“เตรียมสัมภาระ นำพระชายากลับจวน”
น้ำเสียงของคำสั่งเจือโทสะอยู่ในนั้นด้วยสามส่วน
กู้อ้าวเวยยกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว อยู่ด้วยกันทั้งเช้าทั้งเย็นมาก็นาน นางรู้จักนิสัยใจคอของซ่านจินจื๋อราวกับเป็นภรรยาเอกของเขา แต่น่าเสียดายที่รอยยิ้มนี้ในสายตาของซ่านจินจื๋อช่างขัดกับสถานการณ์ยิ่งนัก
แววตาของซ่านจินจื๋อทอดมองลงที่ครรภ์น้อยๆของนาง เป็นครั้งแรกที่ค้อมเอวลงไปคุกเข่าตรงหน้านาง “เจ้าคิดชื่ออะไรไว้ให้เข้าแล้วบ้าง”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เมื่อเอ่ยถึงเมล็ดพันธุ์ที่ฟูมฟักอยู่ในครรภ์ของนาง กลับไร้ท่าทีรังเกียจแม้แต่น้อย อีกทั้งยังยกยิ้มมุมปากกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “หากเป็นบุตรสาวจะเรียกนางว่า ป๋ายมี่ หากเป็นบุตรชายจะเรียกว่า ซีจือ”
ชั่วเวลานั้นซ่านจินจื๋อพูดอะไรไม่ออก เพียงนึกอยากเอื้อมมือไปสัมผัสครรภ์น้อยของนางที่ยังไม่นูนออกมา แต่กลับถูกกู้อ้าวเวยปัดทิ้งอย่างไม่ใยดี เพียงมองเขาเป็นเชิงตักเตือน “ที่ท่านอ๋องต้องการไม่ใช่ทั้งป๋ายมี่หรือซีจือ อย่าได้เหลือเยื่อใยจะดีกว่า เมื่อถึงวันหน้าข้าจะพาลูกจากไป”
จากไปไหน?
ซ่านจินจื๋อเหยียดกายลุกขึ้นทันที “แต่ข้าเป็นบิดาที่ให้กำเนิดเขา”
“ไร้เมตตาไร้คุณธรรมเช่นท่านจะมาเป็นบิดาของลูกข้าได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องมีวันนั้นที่ซูพ่านเอ๋อร่างกายสุขภาพแข็งแรงปลอดภัย ต่อให้พวกท่านจะให้กำเนิดลูกหนึ่งพันแปดร้อยคนก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า แต่นี่คือสิ่งเดียวที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ไม่ใช่แซ่กู้และก็ไม่ใช่แซ่หานด้วย” กู้อ้าวเวยท่าทางน่าเกรงขาม ลุกขึ้นพร้อมกับเครื่องจองจำที่ยังเต็มอยู่บนร่าง หลังจากที่เสียงคำพูดสะท้อนดัง แผ่นหลังเขายังคงตรงยืดตรง รวบกำปั้นแน่น บริเวณลำคอเส้นเอ็นเส้นเลือดเกร็งขมึงปูดโปนขึ้นมากระทันหัน
“พระชายา ไม่น่ากล่าวกับท่านอ๋องเช่นนี้” สาวใช้ข้างกายรีบเข้ามาเตือน
กู้อ้าวเวยหายใจหอบถี่ ได้แต่กุมปกเสื้อบริเวณอกด้วยคิ้วขมวดมุ่น นั่งลงบนม้าหินด้วยลมหายใจที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก เหล่าสาวใช้รอบกายเข้ามารุมล้อมกันเซ็งแซ่
“ออกไป” กู้อ้าวเวยโบกมือไล่อย่างสุดทน เพียงแค่ลากตรวนโซ่ข้างๆขึ้นมาต้องการจะกลับเข้าไปในห้อง อดไม่ได้ที่กำมันจนแน่นและได้แต่ลากตรวนโซ่เหล็กนั้นเดินเข้าห้อง
ซ่านจินจื๋อคว้าข้อมือเรียวบางของนางในทันทีพร้อมเอ่ยต่อ “เฉิงซาน นำเครื่องจองจำของพระชายาถอดออก”
“ท่านต้องการจะทำอะไร?” กู้อ้าวเวยนึกอยากจะสลัดตัวออกอย่างระแวดระวัง กลับถูกซ่านจินจื๋อรั้งไว้อยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง เพียงโดนซ่านจินจื๋อกดข้อมือและรอบเอวอย่างแน่นหนา เครื่องจองจำบนร่างถูกถอดออกจนหมด
ร่างกายไม่ได้ปลอดโปร่งเช่นนี้มานาน ทว่ายามที่กู้อ้าวเวยถูกซ่านจินจื๋อลากไปด้านนอกยังอดกังวลไม่ได้ “ท่านต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
“พาเจ้ากลับจวนเพื่อบำรุงครรภ์”
“ไม่ได้!” กู้อ้าวเวยรีบสลัดตัวออก
หากกลับไปที่จวนอ๋องนั่น ด้วยสายตาทั้งสองข้างของนางมองเห็นไม่ชัด ในจวนยังมีซูพ่านเอ๋อกับกู้จี้เหยา ไม่ว่าใครจะให้ร้าย นางก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อกรด้วยได้ ยิ่งไปว่านั้นที่ตอนนี้นางอุ้มท้องกลับจวน ซูพ่านเอ๋อต้องเห็นนางเป็นหนามทิ่มตาแน่
ซ่านจินจื๋อกลับนึกถึงคำพูดของหลางจงพเนจรคนนั้น จู่ๆเกิดตกตะลึงกู้อ้าวเวยจึงหลุดเป็นอิสระ กระทั่งก้าวถอยหลังหนีไปหลายก้าวจนไม่ทันระวังเท้าชนเข้ากับกระถางดอกไม้
ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง รีบพุ่งเข้าไปคว้าร่างที่กำลังตั้งครรภ์เข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น