บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 204
บทที่ 204 แนะนำเมิ่งซู่
สิ่งที่ชิงต้ายรู้นั้นไม่น้อยเลยทีเดียว
ซ้ำยังรู้ด้วยว่ารัชทายาทไม่เอาเด็กในสลัม เพราะกลัวเหลือเกินว่าเด็กในสลัมพวกนั้นจะกลายมาเป็นขุนนางสนับสนุนตนเอง และยิ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าองค์ชายพระองค์ใดที่ถูกส่งมาสอดแนมนั้นจะเป็นผู้เสี้ยมเขาให้ชนกัน อีกด้านหนึ่ง ตระกูลจูนั้นแต่เดิมก็เป็นผู้ก่อร่างสร้างแคว้น กิจการกว่าหนึ่งศตวรรษทำให้พวกเขายิ่งเพิ่มความจงเกลียดจงชังและดูแคลนพวกเด็กในสลัมเหล่านั้น
สองฝั่งชุลมุนกันเช่นนี้ ฮ่องเต้เองก็จนปัญญา
ดังนั้นนับตั้งแต่มีการสถาปนารัชทายาท เด็กในสลัมก็ยิ่งยากจะโดดเด่น ก็ต่อให้เด่นออกมา ยังต้องรอให้ฮ่องเต้ชี้ตัวด้วยองค์เอง แต่ว่าคนแบบนั้นก็ช่างน้อยนิดเหลือเกิน
“เพียงแต่คุณหนู เหตุใดถึงได้อยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมากะทันหันกัน แต่ก็เป็นเพียงแค่เรื่องที่ชาวบ้านร้านตลาดสนทนากันก็เท่านั้นเอง” ชิงต้ายช่วยนางเช็ดเท้าเป็นอย่างดี ก่อนจะส่งตัวนางขึ้นบนแท่นนอน
“อยากรู้ไปเสียทุกที่อยู่แล้วแค่นั้นแหละ” กู้อ้าวเวยพลิกตัวเข้าไปบนเตียง ก่อนกวักมือเรียกชิงต้าย “ข้ายังรู้สึกหนาวๆ อยู่เลยนะ”
“ข้าจะไปขอผ้านวมมาเพิ่มให้ท่าน” ชิงต้ายพาดผ้าขนหนูผืนนั้นขึ้นบนบ่า ก่อนยกน้ำเดินออกไป
กู้อ้าวเวยเห็นว่าในห้องไร้สุ้มเสียงแล้ว จึงแอบลงจากเตียง คว้าเสื้อนอกมาคลุม ก่อนเคาะประตูห้องถัดไปเบาๆ
กู้เฉิงที่อยู่ถัดไปดูเหมือนว่ายังคงพูดคุยเกี่ยวกับบางอย่างกับคนอื่นๆ อยู่ ได้ยินเสียงเคาะประตูก็ไม่เอะอะและให้นางเข้าไป
ผลักบานประตูออก ด้านข้างก็ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ประคองนางเอาไว้ แล้วให้นางหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ
“เวยเอ๋อ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ทำไมเจ้ายังมาที่นี่” ของในมือของกู้เฉิงวางลงแล้ว ก่อนขยิบตาส่งสัญญาณให้คนในห้อง คนพวกนั้นทำเพียงคารวะและรีบจากไปทันที
“แค่มาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองเท่านั้น อยากถามบิดาว่าเหตุใดจึงต้องแกล้งป่วยเพราะรัชทายาทด้วย” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นลูบโต๊ะที่อยู่ข้างมือ มันไม่ได้มีแก้วเลยสักใบด้วยซ้ำ
เมื่อครู่ตอนที่ออกไป พวกเขาเองก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลยแม้แต่แอะเดียว
แน่นอนว่าจะต้องเป็นลูกน้องของกู้เฉิงเป็นแน่
“พวกเจ้าแต่งเข้าจวนอ๋องจิ้งแล้ว พ่อยังจะยืนอยู่ฝั่งรัชทายาทอยู่อย่างนั้นเชียวหรือ ว่าแต่เจ้าเถอะ ทำไมเมื่อก่อนไม่ยักจะเห็นเจ้าเฉลียวฉลาดขนาดนี้ ซ้ำยังช่วยกู้จี้เหยาทำเรื่องนั้น…”
“บิดา” กู้อ้าวเวยตัดบทของเขา ทำเพียงเอ่ยต่อไปเท่านั้น “คำพูดพวกนี้ไม่พูดจะดีกว่านะเจ้าคะ ข้ากลับรู้สึกว่า การสอบจอหงวนช่วงใบไม้ผลินี้เป็นโอกาสหนึ่งที่ไม่เลวเลยทีเดียว”
“เจ้ายังรู้เรื่องสอบจอหงวนด้วยหรือ” กู้เฉิงคล้ายกับว่าเดินมาด้านข้างของกู้อ้าวเวย
“แน่นอน ข้าเคยพบกับบัณฑิตคนหนึ่งที่ตำบลซ่านหลินนามว่าเมิ่งซู่ เขามากความรู้และมีไหวพริบ ติดต่อสื่อสารกับผู้คนก็มากเล่ห์นัก หากท่านสามารถเกณฑ์เขาได้ วันหน้าจะต้องเป็นลูกน้องที่ให้ความช่วยเหลือแก่ท่านเป็นอย่างมากแน่นอน” กู้อ้าวเวยกระตุกมุมปาก ทำเพียงรับน้ำอุ่นที่บิดาเติมไว้ให้มาถือในมือเท่านั้น
กู้เฉิงมองดูกู้อ้าวเวยอย่างเคลือบแคลง ลูกสาวไม่เอาไหนของเขาคนนี้คิดจะจัดแจงเรื่องราวบ้านเมืองตั้งแต่เมื่อไรกัน
“เวยเอ๋อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าการสอบจอหงวนในปีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง องค์ชายจำนวนมากเริ่มจะรวบรวมกองกำลัง บัณฑิตที่มาจากสลัมยาจกขี้ปะติ๋วคนนี้ จะสามารถซัดโถมระลอกคลื่นใหญ่ในราชสำนักได้หรือ” กู้เฉิงถอนหายใจเฮือกยาว “เรื่องที่พ่อแกล้งป่วยเพื่อรัชทายาทมันก็เป็นเพียงแค่หลอกลวงผู้อื่นให้เข้าใจผิดเท่านั้นเอง”
ดูท่ากู้เฉิงคนนี้สามารถปีนขึ้นมาสู่ตำแหน่งเฉิงเสี้ยงได้ ย่อมต้องมีทักษะบางอย่างเป็นแน่
ที่แท้ก็เสแสร้งเพื่อให้คนทางฝั่งรัชทายาทเข้าใจผิด แต่กลับไม่กังวลว่าอ๋องจิ้งจะสงสัยตัวเองเลย ความอาจหาญนี้ช่างน่าทึ่งนัก
“เขาย่อมไม่อาจสร้างคลื่นเกลียวใหญ่อะไรได้อยู่แล้ว แต่เขาไม่ใช่กบในกะลา วันหน้าท่านได้ยศเอก เขาจะต้องปกป้องท่านได้แน่” กู้อ้าวเวยกระตุกมุมปาก ยกน้ำอุ่นขึ้นดื่มเสียหน่อย ก่อนเอ่ยคำต่อไป “แต่ว่า ข้อพิพาทขององค์ชายกำลังจะเริ่มขึ้น บิดาอย่าเพิ่งไปกวนน้ำให้ขุ่นก่อนจะดีกว่า”
“หมายความว่าอย่างไร” กู้เฉิงไม่เข้าใจ
เห็นชัดว่ากู้อ้าวเวยอยากให้เขาดึงเมิ่งซู่คนนี้เข้ามา แต่ก็เหมือนจะไม่อยากให้เขาดึงมาพัวพัน อย่างไรก็ไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ
“ท่านส่งลูกสาวสองคนเข้าไปในจวนอ๋องจิ้ง ก็นับว่าเป็นการไต่เต้าในจุดสูงสุดของอ๋องจิ้ง หากจงใจอยากได้เมิ่งซู่คนนี้เป็นพิเศษ คนอื่นจะต้องขัดขวางแน่ วิธีการที่ดีที่สุด ก็คือคอยสนับสนุนอยู่ลับๆ ให้เวยเอ๋อเชื่อมสะพานให้ท่านเอง” กู้อ้าวเวยวางแก้วใบนั้นลง ก่อนยกมุมปากขึ้น
“พ่อยังไม่เคยเห็นเมิ่งซู่คนนั้นมาก่อนเลย” กู้เฉิงยังคงอึกอัก
“ถ้าได้เห็นแล้วท่านจะรู้เอง หากท่านไม่รังเกียจ ไม่สู้ให้ข้าเขียนจดหมายสักฉบับ และไปพบกันที่อารามแห่งนั้นจะดีกว่า? หากท่านถูกจริต ก็ให้ลูกลอบติดต่อลับๆ” กู้อ้าวเวยพูดอย่างรวดเร็ว
กู้เฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม คิดว่าอย่างไรเสียการมาคราวนี้ก็มากันอย่างลับๆ อยู่แล้ว หากว่ามีคนมากความสามารถจริงๆ ก็ให้ติดต่อกันลับๆ เสียก่อน วันหน้าหากว่าเขากลายเป็นศิษย์สำนักอื่น ไม่แน่ว่ายังพอจะเป็นหูเป็นตาของตนได้บ้าง
นึกถึงตรงนี้ กู้เฉิงจึงพยักหน้าตกลง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังต้องรบกวนบิดาส่งจดหมายฉบับนี้ไปที่ศูนย์การแพทย์ของตำบลซ่านหลินด้วย” กู้อ้าวเวยล้วงจดหมายหนึ่งฉบับออกมาจากแขนเสื้อ ด้านบนเขียนตัวหนังสือบิดๆ เบี้ยวๆ เอาไว้ เดาว่าจะต้องเป็นตอนที่กู้อ้าวเวยมองไม่ชัดและคลำเขียนขึ้นมาเป็นแน่
“เจ้าคาดเดาล่วงหน้าแล้วว่าพ่อจะตอบตกลงกระนั้นหรือ” กู้เฉิงขมวดคิ้ว
“จะอย่างไรข้าก็เป็นถึงลูกสาวของท่านนะ ต่อให้ท่านไม่คิด แม้ว่ามันจะเป็นไปเพื่อตัวข้าเอง ก็ควรวางแผนเอาไว้เสียหน่อย วันนี้ข้าช่วยบิดาและน้องสาวไว้ วันหน้าก็ขอร้องบิดาว่าให้ปฏิบัติต่อข้าอย่างมีเมตตาบ้าง ดีหรือไม่” กู้อ้าวเวยทอดถอนใจเบาๆ ทำเพียงหยัดกายลุกขึ้น คลำกำแพงด้านข้างและเดินออกไปข้างนอก
นับแต่ต้นจนจบกู้เฉิงไม่ได้เปล่งวาจาเลย รอจนกระทั่งตอนที่กู้อ้าวเวยกลับไปในห้องอีกครั้ง ชิงต้ายก็ได้เพิ่มผ้านวมให้แล้ว ไม่มีเงาของนาง แต่กลับเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง
นอนแผ่อยู่บนเตียง กู้อ้าวเวยเริ่มสงสัยว่ากู้เฉิงคนนี้จะไม่ใช่บิดาแท้ๆ ของตนเสียแล้ว
ทั้งๆ ที่ตอนยังเด็กกู้เฉิงปฏิบัติต่อตนไม่เลวเลยทีเดียว แต่นางกลับไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับแม่เลย กระทั่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ กู้เฉิงก็เริ่มไม่เห็นตนในสายตา ถ้าไม่ใช่ว่าหยุนชิงหยางคอยดูแล กู้อ้าวเวยก่อนหน้านี้กลัวว่าก็คงจะไม่ได้วางท่าใหญ่โต
นอนหลับสบายตลอดคืน วันถัดมาก็เริ่มเคลื่อนขบวนสัญจรอีกครั้ง
ได้ยินว่าตลอดเส้นทางนี้วิวทิวทัศน์งดงามยิ่ง แต่น่าเสียดายที่ดวงตาของกู้อ้าวเวยพร่ามัว มองอะไรไม่ค่อยชัดเจนนัก
เดินทางมาตลอดหกเจ็ดวัน ก่อนจะมาถึงวัดวาอารามแห่งนี้ในที่สุด…วัดซานชิ่ง
วัดซานชิ่งตั้งอยู่กลางภูเขาและมีป่าจำนวนมาก ด้านหลังป่ามีน้ำตกเพื่อฝึกสมาธิ ที่เรียกกันว่าห้องภาวนา หลังจากผ่านประตูเข้าไปต้องตัดผ่านสองอาคารที่มีสามชั้น และต้องเหยียบบันไดร้อยขั้นกว่าจะถึง เดินขึ้นไปบนภูเขาอีกหน่อย จะมีถนนทอดยาวสองเส้น หากเป็นพวกเคร่งศาสนาจะต้องเดินขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อไหว้สักการะสามครั้งและโขกศีรษะเก้าครั้ง
นอกจากนี้บนยอดเขายังมีวัดอยู่แห่งนี้ แต่กู้อ้าวเวยขึ้นไปไม่ไหวแล้ว ทำเพียงฝืนนิสัยเดินขึ้นบันได้ร้อยขั้น มายังห้องสวดภาวนาแห่งนี้
ภายในห้องสวดภาวนามีเพียงโต๊ะหนึ่งตัวเตียงหนึ่งหลัง บวกกับชั้นหนังสือและชุดเครื่องนอน แก้วชาม ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีกแล้ว
“ที่นี่ช่างสมถะจริงๆ” ชิงต้ายทำเพียงวางของลง ก่อนเข้ามาในอาราม สิ่งของที่มันเยิ้มไม่สะดวกจะนำขึ้นมาด้วย เนื่องจากกู้อ้าวเวยกำลังตั้งครรภ์ สามารถกินมังสวิรัติได้พอดี พระในวัดได้ตระเตรียมอาหารมากมายเอาไว้แล้ว
“พักหลังนี้มีเรื่องอะไรจะต้องทำบ้างหรือ” กู้อ้าวเวยถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ข้ากลัวว่าจะตื่นตระหนก”
“เมื่อครู่ตอนที่ขึ้นมาข้าไปสอบถามทางด้านท่านอาจารย์น้อยมาแล้ว ในวัดนี้มักจะมีผู้คนร่ำรวยมาอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงตั้งร้านยาแห่งหนึ่งเอาไว้ ในยามปกติหากว่าคุณหนูไม่เป็นอะไร ข้าสามารถพาท่านเข้าไป มันอยู่ไม่ไกลจากห้องสวดภาวนานี่เท่าใดนัก” ชิงต้ายยิ้มอย่างเบิกบานใจ
ชั่วขณะนั้นดวงตาของกู้อ้าวเวยสว่างวิบวับขึ้นมา
สิ่งของเหล่านี้ที่ไม่สามารถกินดื่มได้ในจวนอ๋องจิ้ง ตอนนี้ออกจากจวนอ๋องจิ้งแล้ว ก็พอจะสบายใจเฉิบได้บ้างสินะ