บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 279
บทที่ 279 ความจริงในฉางผิง
กุ่ยเม่ยทำความสะอาดบ้านของโจวซื่อกับคุณยายให้เรียบร้อย
กู้อ้าวเวยจะไม่ช่วยทำการบ้านอยู่แล้ว เธอนั่งพักผ่อนอยู่ที่หน้าประตู ชาวหมู่บ้านที่เดินผ่านได้ยินว่าโจวซื่อกับคุณยายเสียไปเมื่อวานนี้ เลยอยากเข้ามาไว้ทุกข์ แต่เห็นกู้อ้าวเวยนั่งอยู่ที่หน้าประตู เลยไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้
แววตาเต็มไปด้วยความกลัว
กู้อ้าวเวยเห็นว่า ในสายตาของพวกเธอมีแต่ความจริงใจ เลยรู้สึกแปลกๆ ลุกขึ้นและเดินไปหาหญิงชาวหมู่บ้านพวกนั้น ยังไม่ทันพูดอะไร ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆกี่คนนั้น รีบวิ่งมาและปกป้องหญิงชาวบ้านพวกนี้ไว้ด้านหลัง
ทำให้กู้อ้าวเวยตกใจมาก
“ฉันแค่อยากจะถามเรื่องนิดหน่อย” กู้อ้าวเวยพูดด้วยเสียงเบา และพร้อมก้าวถอยหลัง
ผู้ชายพวกนั้นจ้องมองหน้ากันไม่รู้จะทำยังไง ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าเดินออกมาและพูดว่า “ท่านพระชายาครับ หมู่บ้านเล็กๆของเรานี้ ไม่เหมาะกับท่านที่มีคุณธรรมสูงส่งหรอก ตอนนี้ป้าโจวกับคุณยายก็เสียไปแล้ว ท่านไม่ต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกแล้วมั้ง พาเพื่อนของท่านรีบจากไปเถอะ”
นำเสียงคำพูดนี้ไม่มีความเคารพต่อพระชายาเลย รู้สึกว่าพวกเขาไม่ค่อยชอบเธอเท่าไหร่
กู้อ้าวเวยยิ่งแน่ใจว่า ต้องมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เธอคิ้วขมวดขึ้นมาทันทีและถามว่า “ผู้คนในที่ทำการปกครองรังแกพวกคุณเหรอ หรือว่ามีเรื่องอะไรที่ไม่เป็นธรรมไหม”
พวกชาวบ้านสีหน้าดูลำบากและอึดอัด พวกเขาต่างคนต่างเงียบ มีแต่ไล่เธอจากไป ไม่งั้นจะทำการบีบบังคับเธอ และยังพูดว่าถ้าตายก็ตายด้วยกันประมาณคำพูดแบบนี้ด้วย
พวกชาวบ้านต่างคนต่างพูดขึ้นอย่างไม่เป็นศัพท์ กู้อ้าวเวยกลัวจะรบกวนกุ่ยเม่ยที่อยู่ในห้อง สีหน้าเธอมืดมนลง และพูดว่า “ถ้าวันนี้พวกคุณไม่พูดมา วันหลังถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็จะไม่มีใครสามารถปกป้องพวกคุณได้”
พวกชาวบ้านเงียบลง และจ้องมองเธอ
“การที่ขุนนางช่วยกันปิดบังในชางหลาน ไม่ใช่เกิดขึ้นในสองสามวันนี้เอง ขุนนางที่ดีพึ่งได้รับราชการจากการสอบคัดเลือกขุนนางในปีนี้ ต้องคุมไม่ถึงเมืองเยว่ซานที่อยู่หากไกลขนาดนี้หรอก แม่ทัพมีอำนาจการทหารคุมพื้นที่คนเดียว รวมทั้งบริเวณร้อยกว่ากิโลเมตรนี้ เมืองเยว่ซานไม่ได้เปลี่ยนพวกขุนนางคนใหม่มาตั้งสิบกว่าปีแล้ว ถ้าพวกคุณไม่พูด ภายในห้าปีนี้ ต้องไม่มีใครมาช่วยพวกคุณแก้ปัญหาแน่ๆ” กู้อ้าวเวยพูดและพร้อมจับลากหญิงชาวหมู่บ้านที่อยู่ข้างหลังผู้ชายสองสามคนนี้ออกมา
เธอตกใจและตะโกนขึ้น คนอื่นต่างหันไปมองด้วยสายตาเตือน
กู้อ้าวเวยไม่ได้ทำอะไรกับเธอสักหน่อย กลับยิ้มและพูดว่า “กลัวอะไร พวกคุณมีคนเยอะขนาดนี้ ฉันแค่คนเดียวเอง”
พวกเขาคิดสักพัก และต่างพยักหน้า
กู้อ้าวเวยไม่สนใจว่าพวกเขาจะปิดบังต่ออีกไว้หรือไม่ ลากหญิงชาวหมู่บ้านที่อายุน้อยกว่ามานั่งอยู่ข้างทาง และเริ่มคุยกันขึ้นมา
หญิงชาวหมู่บ้านคนนี้ไม่ได้ระวังตัวขนาดนั้น ไม่กี่นาที ก็เริ่มคุยเรื่องราวมาทั้งหมด
พวกทหารของเมืองเยว่ซานอยากใช้พื้นที่หมู่บ้านฉางผิงมาเป็นที่ทำการของทหาร สำหรับพวกชาวบ้าน แค่ชดเชยบ้านละยี่สิบตะลึง จริงๆก็ยังมีโอกาสเจรจากันได้
แต่ในต้นปีนี้ที่หิมะตกครั้งแรก ฉียินป่ายให้เจ้าหน้าที่มาที่หมู่บ้านและบอกว่า จะใช้พื้นที่หมู่บ้านนี้เป็นค่ายของทหาร รอถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้วต้องเผาให้หมด แต่ไม่ให้พวกชาวบ้านจากไปด้วย ผู้ชายให้ไปเป็นทหาร ผู้หญิงช่วยทำอาหารในค่าย รวมทั้งเด็กและผู้แก่ก็ไม่ให้จากไปเหมือนกัน
หลังจากหิมะตก บางคนอยากไปจากหมู่บ้านนี้ แต่ไม่รู้ทำไม อยู่ดีๆเกิดดินถล่มขึ้น เลยไม่มีทางออก คนในเมืองเยว่ซานก็ไม่รับผิดชอบ จนกระทั่งซ่อมถนนเสร็จ ยิ่งออกไปไม่ได้แล้ว คนที่เคยออกไปข้างนอกมีแค่คนเดียว ก็คือผู้เรียนที่มาช่วยโจวซื่อกับคุณยายเขียนจดหมายนั้น
“พวกเราทำมาหากินโดยการทำไร่ไถนา จะไปเป็นทหารได้ไง”
“ใช่สิ ลูกสาวกับลูกชายของฉันอายุยังไม่ถึงห้าขวบเลย”
“แม่ม่ายในหมูบ้านก็มีหลายคนอยู่ ถ้าไปทำกับข้าวในค่าย ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะว่ายังไง และไม่ปลอดภัยด้วย”
ทุกคนเห็นกู้อ้าวเวยสนใจเรื่องนี้ เลยต่างคนต่างพูดมาอย่างไม่เป็นศัพท์
ความจริงเป็นแบบนี้เอง
หมู่บ้านฉางผิงอยู่ทางใต้ของเมืองเยว่ซาน หากกันประมาณห้าสิบกิโลเมตร ลำบากแต่มีพื้นที่ที่กว้าง ทางเข้ามีทางเดียวเท่านั้น คือ ถนนภูเขานั้น ถ้าจะออกไป ต้องปีนเขารอบข้างออกไป ดูแล้ว เป็นลักษณะพื้นที่อ่างเล็กๆ แต่ตรงกลางมีแม่น้ำด้วย
ถ้าจะรวมทหารอยู่ที่นี่ ก็ดีนะ แต่เรื่องที่ไม่ให้ชาวหมู่บ้านจากไปนี้ รู้สึกแปลกเหลือเกิน
แสดงว่าตั้งใจจะปิดบังไม่ให้ใครรู้จัก
เมื่อกุ่ยเม่ยเดินออกมา เห็นพวกชาวหมู่บ้านยืนอ้อมกู้อ้าวเวยอยู่ กำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนี้ เขาตั้งใจฟังสักพัก และไล่พวกชาวหมู่บ้านจากไป มองดูกู้อ้าวเวยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เตี้ยๆเล็กๆนั้น และพูดว่า “พระชายาครับ เราได้เวลาเดินทางแล้วครับ
“เรื่องพวกนี้ผิดปกติมาก ฉันต้องจัดการก่อน” กู้อ้าวเวยจับแขนเสื้อของเขา และถามว่า “เรื่องหมู่บ้านฉางผิง เกี่ยวกับใครแน่”
กุ่ยเม่ยรู้สึกแปลกใจ ส่ายหัว แสดงว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
“คืนนี้ คุณไปเมืองเยว่ซานกับฉัน และโกหกว่า ฉันถูกวางยาพิษ” กู้อ้าวเวยลุกขึ้นและเดินไปปีนขึ้นหลังของเขา มองดูพวกชาวหมู่บ้าน พูดว่า “เดี๋ยวรอฉันไปตรวจให้เรียบร้อยก่อน และค่อยกลับมาใหม่ หัวหน้าหมู่บ้านอายุมากแล้ว พวกคุณให้อีกคนหนึ่งเป็นตัวแทนติดต่อกับฉัน”
พวกเขาปรึกษากัน สุดท้าย ผู้ชายที่ตัวใหญ่ๆเดินออกมา พูดว่า “คนอื่นเรียกผมต้าจ้วง ท่านสามารถมาเจอผมได้ตลอดเวลาครับ บ้านของผมอยู่ฝั่งขวามือ เป็นหลังบ้านหลังแรกที่จากทางเข้าหมู่บ้านครับ”
ค่ะค่ะ“ท่านสามารถช่วยพวกเราแก้ปัญหาได้จริงไหมคะ”
กู้อ้าวเวยตบไหล่กุ่ยเม่ยเบาๆ หันไปมองพวกเขา ตอบว่า “ไม่แน่ใจค่ะ แต่ฉันจะพยายาม พวกคุณอย่าบอกใครว่าฉันได้ถามเรื่องนี้ ไม่งั้นเดี๋ยวใต้เท้าฉีไม่ปล่อยให้ฉันมาแน่”
พวกชาวหมู่บ้านต่างพยักหน้า
กุ่ยเม่ยสงสัยเหมือนกัน แต่ก็อุ้มเธอจากไป สองคนขึ้นไปรถม้า คนขับรถม้าสองคนนี้เหมือนไม่สนใจเรื่องที่เมื่อกี้คุยถึง แค่ขับรถม้าและเดินทางอย่างเงียบๆ
“ที่พวกเขาคิดว่าเกิดดินถล่ม ดูแล้วไม่เหมือนโคลนถล่มจริงหรอกนะ” กู้อ้าวเวยพูดด้วยเสียงต่ำ “อุปสรรคที่ไม่ให้คุณไปเยี่ยมคุณแม่ของคุณ อาจจะไม่ใช่ภัยพิบัติทางธรรมชาติก็ได้”
กุ่ยเม่ยหันไปมองเธออย่างตกใจ แม้รู้จักว่า คุณแม่มีเวลาไม่เยอะแล้ว แต่ถ้าไปหาหมอทัน ก็ไม่ถึงจะเสียไปกระทันหันแบบนี้ ทำให้เขาไม่มีการเตรียมตัวเลย
“แล้วอีกอย่าง คุณหมอในเมืองเยว่ซานต้องมีไม่น้อย พวกเขาสามารถให้ผู้เรียนนั้นเข้ามาช่วยเขียนจดหมายได้ แต่ไม่ให้หมอมาตรวจรักษา แสดงว่าเรื่องนี้ ต้องเกี่ยวกับอ๋องจิ้งแน่นอน” กู้อ้าวเวยพูดเบาๆ
ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอ๋องจิ้ง ผู้เรียนที่ช่วยเขียนจดหมายก็เข้าไปหมู่บ้านไม่ได้แน่นอน และต้องมีสาเหตุอะไร จึงไม่ให้หมอเข้าไปที่หมู่บ้าน
ถ้าพิจารณาในแง่ดี พวกเขาอาจจะกลัวหมอที่เข้ามาจะเผยแพร่ข่าวออกไป แต่กู้อ้าวเวยเชื่อในแง่คิดที่แย่มากกว่า
“พวกเขาไม่ให้คนในหมู่บ้านฉางผิงเผยแพร่ข่าวสารออกไป” กุ่ยเม่ยเห็นด้วยกับความคิดเห็นของกู้อ้าวเวย กำปั้นไว้แน่นๆ และพูดว่า “เพราะฉะนั้น พวกเขาไม่สนใจว่าชาวหมู่บ้านจะตายหรือเป็น ถ้าชาวหมู่บ้านปวดแล้วเสียชีวิตอยู่ในหมู่บ้านยิ่งดี”
กู้อ้าวเวยพนักหน้าอย่างจริงจัง