บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 31
ตอนที่ 31 ไม่อยากมีปัญหา
กุ้อ้าวเวยกำลังพูดคุยปรึกษาหารือเซ็งแซ่กับเหล่าหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง
คุณหนูสองสามคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ร่วมเดินทางเฉกเช่นเดียวกับกุ้อ้าวเวยทั้งนั้น เป็นคนที่ชอบโยนหินลงไปในบ่อ (เอารักเอาเปรียบผู้อื่น) อยู่ไม่น้อย แล้วก็ยังปั้นเรื่องขึ้นมา ปล่อยข่าวลือออกไปอีกด้วย โดยส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นหญิงสาวผู้ดูแลบ้าน แต่ตำแหน่งทางราชการของผู้เป็นบิดาไม่สูงนัก จึงต้องพึ่งพากุ้อ้าวเวยแม่นางแห่งจวนเฉิงเสี้ยง
ถึงแม้ว่ากู้อ้าวเวยเจ้าตัวจะมีนิสัยอ่อนโยนก็ตาม แต่กลับเป็นคนที่มีดวงตาเฉียบคมมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กล่าวปฏิเสธตรงๆก็ตาม แต่กลับมีวิธีการหลบหลีกได้ เกรงว่าหญิงสาวผู้ดูแลบ้านไม่น้อยที่ไม่ค่อยยินดีนัก แต่กุ้อ้าวเวยก็มักจะชื่นชอบให้มีคนมาพึ่งพาตนเอง ปากก็มอมเมา เล่นสนุกด้วยกัน มักจะนำเอาความหยิ่งผยองของแขกมาเยาะเย้ย
“ไม่มีใครรู้ว่าอ๋องจิ้งจะซ่อนแม่นางผู้เลอโฉมไว้ในห้องที่งดงาม แล้วเราจะได้ดูแลปรนนิบัติพระชายาจิ้งได้ที่ไหนกัน” หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังของกุ้อ้าวเวย ได้หัวเราะออกมา หญิงสาวคนอื่นๆอีกลายคนต่างก็พากันหัวเราะก๊ากออกมา
ดูเหมือนว่าเรื่องที่ยังมีแม่นางที่น่าโปรดปรานผู้หนึ่งในตำหนักอ๋องจิ้งจะกลับเป็นกลายเป็นที่รู้โดยทั่วไป
“ทำไมถึงได้พูดเช่นนี้ละ ตอนนี้ท่านพี่ก็ได้เป็นพระชายาจิ้ง ไม่เหมือนเฉกเช่นเมื่อก่อนแล้ว” กุ้อ้าวเวยได้พูดออกมาด้วยอารมณ์ที่ยากจะเข้าใจ แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับยังคงฉายแววเหยียดหยามอยู่ไม่น้อย
หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังกลับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
กุ้อ้าวเวยมักจะขี้เกียจให้ความสนใจกับคนเมาเหล่านี้นัก ถึงอย่างไร พยาบาลคนก่อนก็มักจะทะเลาะโวยวายเสียงดังถึงแม้ว่าจะในตอนที่ไม่มีเรื่องในห้องทำงานเสมอ นางจึงได้เรียนรู้ที่จะปิดหูไม่ฟัง จากนั้นก็มองไปรอบๆ แล้วเดินเล่นไปเรื่อยๆเท่านั้น
หญิงสาวผู้ดูแลบ้านหลายคนต่างมองหน้ากัน กุ้จี้เหยาจับหมวกในมือไว้แน่น ด้วยความโกรธเคืองในใจ
กุ้อ้าวเวยผู้นี้ยังเป็นคนที่ไม่สนใจใครอยู่ในสายตาเฉกเช่นเดียวกับอดีต
เพียงแค่กุ้อ้าวเวยไม่อยากรับฝีปากกับพวกนางก็เท่านั้น ภายใต้คำชี้แนะของเฉิงยี เมื่อนางมายังข้างกายของซ่านจินจื๋อ กลับเห็นเขากำลังพูดคุยและหัวเราะสนุกสนานกับซูพ่านเอ๋ออยู่ จึงได้แยกตัวไปเดินเล่นอีกครั้ง
นางใกล้จะลืมความสุขและความสามัคคีที่แสร้งทำก่อนที่จะกลับไปหมดแล้ว เพียงแต่ว่าเพื่อให้ได้รับสิ่งนั้นมาจากหยุนชิงหยาง ตอนนี้ซ่านจินจื๋อที่ได้รับสูตรลับจึงไม่จำเป็นจะต้องเล่นเกมส์กับนางอีก นางกระตุกมุมปากยิ้ม จากนั้นก็แยกตัวจากไปยังไกลๆเมื่อหยินเชี่ยวเห็นนางแยกตัวจากไปอย่างเงียบๆ จึงได้รีบตามไปติด ๆ : “คุณหนู ! ท่านคือพระชายาจิ้ง ทำไมถึงได้วิ่งออกมาละเพคะ”
“ไม่อยากมีปัญหา” สายตาของกุ้อ้าวเวยไปหยุดลงตรงม้าที่ยืนอยู่ ณ ที่ไกลๆ
นางเพิ่งคิดขึ้นได้ว่านางไม่เคยขี่ม้ามาก่อน น่าจะต้องตั้งใจเรียนสักหน่อย ดังนั้นนางจึงได้จ้ำอ้าวเดินตรงไปทันที
“พระชายาเพคะ หากท่านจะทรงม้า ไม่ว่าจะเป็นคุณท่านหรือท่านอ๋องก็ล้วนแล้วแต่จะต้องเอ็ดท่านนะอย่างแน่นอนเพคะ! ” ชิงต้ายรีบเข้าไปดึงนางจากอีกด้าน
“ใช่เพคะ!ไม่ว่าจะยังไงพระชายาก็มิอาจหุนหันพลันแล่นได้ ท่านอ๋องชอบแม่นางที่ดูอ่อนหวานบริสุทธิ์นะเพคะ” หยินเชี่ยวเองก็รีบเข้าไปรั้งนางไว้แน่นเช่นกัน
ถึงแม้จะกล่าวว่าแคว้นชางหลานไม่อนุญาตให้หญิงสาวขี่ม้าก็ตาม แต่หญิงสาวที่ขี่ม้ามากมายก็ล้วนแล้วแต่เป็นนางสนองพระโอษฐ์หรือไม่ก็เด็กวัยรุ่นทั้งนั้น มีพระชายาผู้สง่างามที่ไหนจะขี่ม้าด้วยเหตุผลของตัวเองกัน
“ไม่เป็นไรหรอกหน่า ข้าขี่เพียงครู่เดียวเอง” กุ้อ้าวเวยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ถือโอกาสช่วงที่ทั้งสองคนกำลังอึ้งรีบยกชายกระโปรงวิ่งพุ่งไปทันที ชิงต้ายและหยินเชี่ยวมองตากัน จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา แล้วทำได้เพียงแค่ตามไปเท่านั้น
เมื่อทหารม้าอาวุโสผู้หนึ่งเห็นพรชายาจิ้ง จึงได้รีบเข้ามาต้อนรับในทันที : “ พระชายามารับม้าให้แก่ท่านอ๋องหรือพะยะคะ ? ”
“ข้าไม่ได้มารับม้าให้แก่ท่านอ๋อง ข้าจะมาเรียนเอง ท่านอาวุโสช่วยหาม้าที่มีม้าล่อนุ่มๆให้ข้าได้ไหม ?” กุ้อ้าวเวยรีบเสนอไปทันที
ทหารม้าอาวุโสอึ้งไปเล็กน้อย เขาเคยถูกเรียกว่าท่านอาวุโสที่ไหนกัน อีกทั้งพระชายาจิ้งผู้นี้ยังดูท่าทางสดใสมากอีกด้วย เขาจึงพยักหน้า จากนั้นก็จูงม้าตัวสีแดงๆออกมาจากด้านข้างของคอกม้า เมื่อมันมาหยุดอยู่ตรงหน้าของนาง มันได้ยกกีบม้าขึ้นมาพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา
หยินเชี่ยวรีบถอยไปด้านหลังของชิงต้ายทันที。
“ม้าตัวนี้มีนิสัยที่อ่อนโยนมากพะยะคะ พระชายาทรงลองได้ เดี๋ยวข้าน้อยจะไปเรียกทหารม้ามาสอนพระชายานะพะยะคะ” ทหารม้าอาวุโสลูบม้าตัวสีแดงที่อยู่ด้านหน้าเบาๆ ม้าสีแดงตัวนั้นก็ได้ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาทางรูจมูก แล้วเดินไปมารอบๆทิศทาง ก่อนจะมาหยุดอยู่ด้านข้างของกุ้อ้าวเวย แล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างมองไปทางนาง
“น่ารักจริงๆ” กุ้อ้าวเวยยกมือขึ้นไปลูบหัวของนาง ม้าตัวแดงจึงได้ก้มหัวลงอีกเล็กน้อย จนกระทั่งคลอเคลียไปมาอยู่ในฝ่ามือของนาง
ทหารม้าหนุ่มผู้หนึ่งช่วยพานางขึ้นไป กุ้อ้าวเวยที่กำลังขี่ม้าได้โบกมือไปมาให้กับหยินเชี่ยวและชิงต้าย : “พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”
“พระชายาเพคะ การล่าสัตว์จะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้านี้ท่านต้องระวังตัวมากๆนะเพคะ” ชิงต้ายตะโกนออกไป
กุ้อ้าวเวยพยักหน้า จากนั้นทหารม้าหนุ่มผู้นั้นได้จูงม้าของนางเข้าไปในป่าที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งในป่าแห่งนี้มีพื้นที่ว่างอยู่แห่งหนึ่ง เหมาะสมกับคนที่เพิ่งจะฝึกขี่ม้าเป็นพิเศษ เมื่อทหารม้าหนุ่มสอนนางได้สักครู่ ก็จากไป
นางเองก็มีความสุขที่ได้อยู่กับตัวเอง นางดึงบังเหียนเดินไปอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าตัวเองจะเอียงจนกระทั่งตกลงไป ในขณะที่กำลังเดินอย่างระมัดระวังนั้น ม้าที่อยู่ด้านล่างกลับมีนิสัยแปลดประหลาดไป มันยกกีบหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน จนทำให้กุ้อ้าวเวยที่อยู่บนหลังม้ามีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาทั่วทั้งตัวด้วยความกลัว
ในขณะที่กำลังรอให้ม้าแดงตัวนั้นหยุดลงหลังจากที่ก้าวเท้าเดินไปหลายก้าว กุ้อ้าวเวยจึงได้ตบไปบนหัวของนาง : “เจ้าทำข้าตกใจแทบแย่!”
คนขี่ม้าผ่านเข้ามาในป่าแห่งนี้เฉกเช่นเดียวกัน ก็ได้เห็นนางกำลังพูดพึมพำกับม้าอยู่ จึงกระตุกยิ้มมุมปากขึ้น
กุ้อ้าวเวยยังไม่รู้ตัว จึงได้จับบังเหียนทำท่าจะลงจากหลังม้า ม้าแดงตัวนั้นก็ได้พ่นลมหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความไม่พอใจ เมื่อเห็นว่ากีบม้านั้นกำลังจะเคลื่อนไหว นางจึงได้รีบกอดคอม้าไว้แน่นทันที : “ถ้าข้าไม่สั่งเจ้าก็ห้ามทำ ! ไม่ว่าจะยังไงก็อย่าทำให้ข้าตกลงไปเด็ดขาด!”
ไม่รู้ว่าม้าแดงตัวนี้จะเข้าใจในสิ่งที่นางพูดหรือไม่ แต่บุรุษที่อยู่ด้านหลังกลับเห็นว่านางกำลังได้รับอันตราย จึงได้รีบเข้าไปช่วย : “แม่นางระวัง !”
เสียงที่ดังขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดทำให้กุ้อ้าวเวยและม้าแดงตัวนั้นต่างพากันตื่นตกใจ กุ้อ้าวเวยรีบกอดคอม้าอย่างแน่นด้วยจิตใต้สำนึกทันที ม้าแดงจึงได้ส่งเสียงคำรามออกมาแล้วยกกีบหน้าทันที
ในช่วงพริบตาเดียวที่ถูกเขย่าโอนเอนไปมา หัวใจของกุ้อ้าวเวยแทบจะวายตาย และเย็น
บุรุษที่อยู่ด้านหลังเองก็ตื่นตกใจเช่นกัน จึงได้เร่งฝีเท้าขึ้นมาด้านหน้า แล้วรีบคว้าข้อมือของนางไว้แล้วดึงขึ้นมา กุ้อ้าวเวยรู้สึกแค่เพียงวิงเวียน เมื่อได้สติกลับมา บุรุษผู้เลอโฉมก็กำลังมองไปทางนางด้วยความเป็นห่วง : “เมื่อสักครู่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นฉับพลันมาก แม่นางคงจะตื่นตกใจมาก
“ตกใจจริงๆ” กุ้อ้าวเวยตบหน้าอกด้วยความหวาดผวา ยังดีที่ยังไม่ได้ตกลงไปบนพื้น
ม้าแดงตัวนั้นได้วิ่งออกไปสักพักก่อนจะวิ่งกลับมาอีกครั้ง บุรุษจึงได้รีบดึงนางขึ้นไปด้านหลัง : “แม่นางอ่อนแอเกินไป ยังไม่สมควรขี่ม้า”
อ่อนแอ?
กุ้อ้าวเวยทำได้เพียงแค่ลูบมือของตัวเอง โดยไม่มีการโต้แย้งใดๆกลับไป
เมื่อเห็นว่าบุรุษผู้นั้นกำลังจูงม้าที่ยอมจำนนทั้งสองตัว ดวงตาคู่นั้นก็เปล่งประกายขึ้นมาทันใด จากนั้นก็ยื่นหน้าออกไป : “ท่านชายขี่ม้าเป็นหรือ? สอนข้าได้ไหม?”
บุรุษที่กำลังจูงม้าทั้งสองตัวจึงได้ทำท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก :“เมื่อกี้เจ้าก็เกือบจะตกลงมาแล้ว”
“ไม่ต้องกังวลไป ข้ากล้าหาญมากนะ” กุ้อ้าวเวยจึงรีบรับม้าแดงจากในมือของเขามาจับไว้แน่น
ในขณะที่บุรุษกำลังมองไปทางนางที่ขึ้นไปบนหลังม้าและจับเชือกบังเหียนไว้แน่นอย่างจนปัญญา ร่างทั้งร่างก็ได้เกร็งขึ้นมา จนหลุดขำออกมา
แม่นางผู้นี้ ลงจากม้าอย่างกล้าหาญ ขึ้นบนหลังม้าก็ดูราวกับเป็นทหาร ตกใจจนสะเทือนเจ็ดวิญญาณหกวิญญาณก็ไม่มี
บุรุษมองไปทางนางที่รีบดึงบังเหียนม้าไปจับไว้แน่นอย่างจนปัญญา ด้วยท่าทางตึงเครียด จากนั้นก็อดขำออกมาไม่ได้ นางผู้นี้ เป็นคนกล้าหาญชาญชัยเสียจริง ขึ้นม้าแล้วก็เห็นใบไม้ต้นหญ้าล้วนเป็นทหารเสียทั้งสิ้น ท่าทางตื่นจกใจจนเจ็ดจิตเจ็ดวิญญาณก็ไม่มีเหลือ