บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 330
บทที่ 330 คิดถึงคนรัก
ต้นฤดูหนาว ทั้งเมืองเทียนเหยียนยังคงครึกครื้นยิ่งนัก
กู้อ้าวเวยถูกกักขังในเรือนค่อยๆ ซูบผอมลง อุปนิสัยรื่นเริงในยามปกติดูเหมือนจะจำศีลช่วงหน้าหนาวไปแล้ว ตอนที่ออกจากเรือนนิรนามแห่งนี้ นางยังขยับขาซ้ายของตนด้วยความมึนงง แต่เคราะห์ดีที่ตนไม่ได้เจ็บป่วยจนถึงรากเหง้า
กุ่ยเม่ยเดินมายังข้างกายของนาง มองดูท่าทีซูบผอมจนเห็นซี่โครงของนางด้วยความปวดใจ
กู้อ้าวเวยกลับยิ้มพิมพ์ใจ ตรงไปห้อยตัวบนแผ่นหลังของกุ่ยเม่ยเอาดื้อๆ กุ่ยเม่ยแบกนางขึ้นหลังโดยตรง นางจึงเอ่ยเสียงต่ำ “ชิงต้ายทำอะไร ถึงได้แลกเอาข้าออกมาได้”
“นางทรยศท่าน” กุ่ยเม่ยเอ่ยเสียงทุ้ม
กู้อ้าวเวยบิดใบหูของเขา “เป็นไปไม่ได้”
กุ่ยเม่ยปล่อยมือขึ้นหนึ่งมาอุดใบหูเอาไว้ ค่อนข้างจนปัญญา “ชิงต้ายฉลาดอย่างแน่นอน นางพูดแบบอ้อมภูเขา บอกว่าองค์ชายสามหมายจะดึงเมิ่งซู่ไปเอี่ยว ซ้ำยังเตรียมพร้อมวางแผนลับกำจัดครอบครัวเฉิงเสี้ยงทั้งบ้านอีกด้วย”
“ทำให้ซ่านจินจื๋อเขวรึ” กู้อ้าวเวยหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ตรงข้ามกลับมีแววได้ใจหลายขนัด
“ใช่แล้ว ใครจะรู้บ้างว่าองค์ชายสามจะทำเช่นนี้หรือเปล่า แต่ว่าชิงต้ายพูดเหมือนกับเป็นเรื่องจริง ซ้ำยังเอารายชื่อบางส่วนที่ท่านเขียนก่อนหน้านี้ไปให้ซ่านจินจื๋ออีกด้วย ล้วนเป็นคนที่ไม่ต้องตาแต่กลับมีพรสวรรค์ทั้งสิ้น ส่วนคนที่องค์ชายสามใช้งานบ่อยๆ นางกลับไม่ได้เอ่ยออกมาสักแอะ” กุ่ยเม่ยเอ่ยเสียงแผ่ว
กู้อ้าวเวยหลับตาลงอย่างเกียจคร้าน “นางคอยเป็นธุระ ข้าก็วางใจ”
“ท่านถูกขังไว้ตั้งเดือนครึ่งแล้ว แต่ไม่รู้ว่าปัจจุบันในตำหนักอ๋องอลเวงยุ่งเหยิง” กุ่ยเม่ยหัวเราะเบาๆ หนึ่งที “ตอนนี้กู้จี้เหยากับซูพ่านเอ๋อต่อสู้กันในตำหนักอ๋องจนโลกทั้งใบมัวหม่น หากไม่ใช่ว่าหลายวันก่อนซูพ่านเอ๋อเกิดล้มป่วยไป กลัวว่ากู้จี้เหยายังคงจับตามองไม่ให้คลาดเคลื่อน อีกอย่างก็ไม่รู้ว่ากู้จี้เหยาไปเอาทักษะมาจากไหน กลัวว่าจะตั้งครรภ์บุตรอีกครั้งแล้ว”
“มันยากจะพูดว่าเป็นเด็กที่เกิดจากท่านอ๋องเองใช่หรือไม่” กู้อ้าวเวยหัวเราะเย็นชา
หลานเอ๋อร์คนนั้นไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก หากใช้ไม้เดิมเพื่อดันกู้จี้เหยาขึ้นตำแหน่งจนต้องสวมหมวกเขียว (สวมเขา) ให้กับซานจินจื๋อก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย แต่ว่ากู้จี้เหยามีท่าทีรักใคร่ซ่านจินจื๋อเสียขนาดนั้น ไม่รู้ว่าจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือเปล่า
แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางแล้ว
กุ่ยเม่ยแบกนางกลับวิหารเฟิ่งหมิง ชิงต้ายไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่อีกแล้ว หากแต่เข้านอกออกในอยู่ข้างกายซ่านจินจื๋อตลอด ราวกับกลายเป็นคนสนิทของซ่านจินจื๋อไปแล้ว
กู้อ้าวเวยถูกวางตัวลงบนเตียงนุ่ม มักรู้สึกเสมอว่าในใจเบาหวิวเล็กน้อย
“กุ่ยเม่ย เจ้าว่าช่วงฤดูใบไม้ผลิพวกเราหาโอกาสอะไรสักอย่างออกไปดีหรือไม่” กู้อ้าวเวยคว้าชายเสื้อของเขา
กุ่ยเม่ยนิ่งเงียบสักพัก มองนางอย่างจนปัญญา “ชิงต้ายกับท่านอ๋องเดินมาใกล้เกินไปแล้ว”
สายตาของกู้อ้าวเวยก็เย็นลงมาตาม
อย่างไรเสียตอนนี้นางก็สูญเสียความโปรดปรานไปอย่างนอกเหนือความคาดหมายอยู่แล้ว วันหน้าหากคิดจะเดินกลเม็ดๆ เล็กน้อยเหล่านั้น แต่หากยังคิดจะให้ชิงต้ายเป็นตัวนำทาง เช่นนั้นคงค่อนข้างยากเสียแล้ว
“เจ้าคิดว่า พวกเราจะปล่อยนางทิ้งไปดีหรือไม่” กู้อ้าวเวยกะพริบตาให้กุ่ยเม่ย
กุ่ยเม่ยมองสบสายตาของนางโดยตรง กู้อ้าวเวยลูบจมูก “ย่อมไม่ได้อยู่แล้ว แต่พวกเรายังมีช่วงฤดูหนาวอยู่นี่นา มันคงต้องมีวิธีเสมอนั่นแหละ” คราวนี้สีหน้าของกุ่ยเม่ยจึงผ่อนคลายลงมาหน่อย แต่ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เขาเดินตรงไปดีดหน้าผากของนางหนึ่งที เอ่ยเสียงต่ำ “ต่อไปอย่าพูดล้อเล่นแบบนี้อีก”
“เจ้าบอกว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น ทำไมไม่เห็นหัวเราะเลย” กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างจนปัญญา กุมหน้าผากเอาไว้ “พวกเราพูดกันไว้ดิบดี ถึงตอนนั้นเราสามคนจะมีความสุขกัน ข้ายังต้องหาสามีภรรยาให้กับพวกเจ้าอยู่เลยนะ”
คราวนี้กุ่ยเม่ยจึงหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา มองนางอย่างค่อนข้างจนปัญญา “ดังนั้นคราแรกตอนที่ท่านถูกล้อมกรอบโดยซูพ่านเอ๋อกับลี่วาน เป็นเรื่องตั้งใจ หากเป็นเช่นนี้ ท่านอ๋องก็จะไม่สนใจท่านแล้ว?”
พูดถึงตรงนี้ กู้อ้าวเวยกลับหลุบตาลงเบาๆ ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
นางสางเส้นผมดำขลับที่ใบหูของตน รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย “เดิมทีข้ายังคิดอยากจะใช้เวลาช่วงหน้าหนาวร่วมกันกับเขา”
ในดวงตาของกู้อ้าวเวยยังคงเจือแววเสียใจลึกซึ้ง ท่าทีก็ดูตึงเครียดตามขึ้นมาด้วย
กุ่ยเม่ยนั่งลงข้างกายของนาง มองนางพลางเกาหูลูบหน้า “ท่านชอบท่านอ๋องจริงๆ สินะ”
“อื้อ เบื้องหลังถ้อยคำที่ข้าพูดกับเขาไปนั้นไม่มีการหลอกลวงเลยแม้เพียงครึ่งเสี้ยว” กู้อ้าวเวยพยักหน้าอย่างจริงจัง ก่อนมองสภาพอากาศอึมครึมนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง “เมื่อก่อนข้ายังคิดอยากจะตัดสายใยสัมพันธ์ แต่สุดท้ายกลับพบว่ามันตัดไม่ขาด ถึงได้จำใจยอมรับ”
“เช่นนั้นท่านในตอนนี้เล่า?” กุ่ยเม่ยช่วยนางสวมอาภรณ์
“ยังชอบอยู่ แต่จากนี้ไปต้องเก็บซ่อนมันเอาไว้ พูดไม่ได้แล้ว” กู้อ้าวเวยส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ถูมือเล็กเย็นเยียบของตน ก่อนเอ่ยต่อไป “ออกจากที่นี่แล้ว ข้าก็สามารถเป็นตัวของข้าเอง ความจองหองก็ไม่ต้องวางมาดแล้ว มันดีกว่าข้าต้องทนทุกข์ระทมอยู่กับเขา”
“ถ้าอย่างนั้นจากนี้ไปข้าก็ไม่ต้องพูดถึงความรักอีกต่อไปแล้ว” กุ่ยเม่ยใคร่ครวญขึ้นมาอย่างจริงจัง
กู้อ้าวเวยกล่าวกับเขาว่า “ทำไมต้องไม่พูดถึงความรักอีกแล้วเล่า ของสิ่งนี้มันสนุกมากเลยนะ”
“สนุกที่ไหนกันเล่า ดูท่านสิเจ็บมาไม่รู้ตั้งกี่แผล เมื่อก่อนรักจนจะเป็นจะตาย เหตุใดพอเบี่ยงหน้าออกไปก็ไม่ต้องการท่านเสียแล้ว” กุ่ยเม่ยก็มองที่นางเช่นกัน กู้อ้าวเวยครุ่นคิด และพูดหลักการอะไรไม่ออก เป็นครั้งแรกที่ไร้หนทางโต้แย้งถ้อยคำของกุ่ยเม่ย
ทั้งสองกำลังพูดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อย่างได้อรรถรส ไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าบานประตูของวิหารเฟิ่งหมิงถูกผลักเปิดออก ชิงต้ายที่เปลี่ยนไปสวมชุดสาวใช้แบกห่อสัมภาระเล็กๆ ของตนเดินเข้ามา
ข้ามประตูมา ทั้งสามได้พบกันซึ่งๆ หน้า ชิงต้ายรีบประชิดเข้ามา ก่อนยัดขนมอบปุยเมฆใส่ในมือของกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยนิ่งอึ้ง ชิงต้ายกลับคุกเข่าลงต่อหน้าของนาง กุมมืออีกข้างหนึ่งของนางเอาไว้เบาๆ “คุณหนู นี่คือขนมอบปุยเมฆที่ท่านโปรดปรานเชียวนะ”
“อันที่จริงข้าชอบขนมอบพุทราแดงต่างหาก” กู้อ้าวเวยพยักหน้า ปลายจมูกรู้สึกแสบร้อน
กุ่ยเม่ยหัวเราะใส่นาง “ท่านยังชอบขนมอบถั่วเขียวด้วย”
ทั้งสามคนหัวเราะรวมกันเป็นกลุ่มก้อน ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
ส่วนเฉิงยีเฉิงเอ้อที่อยู่ด้านนอกเห็นการเคลื่อนไหวจากด้านใน จึงรีบตรงไปรายงานเรื่องดังกล่าวให้กับซ่านจินจื๋อฟัง
หลังจากซูพ่านเอ๋อได้ฟัง รู้สึกเพียงว่ากู้อ้าวเวยคนนี้ไม่เพียงแต่อุกอาจ ซ้ำยังไร้ปรานีอำมหิตอีกด้วย แต่ก่อนหน้านี้ซ่านจินจื๋อเชื่อคำของชิงต้ายไปเสียแล้ว มุ่งประเด็นไปที่องค์ชายทุกหนทุกแห่ง แต่กลับดึงสถานการณ์ให้คงเส้นคงวาเช่นเคย
“ท่านพี่จื๋อ นางแสดงออกเหมือนกับคนไม่เป็นอะไร กลัวแต่ว่ายังมีกลอุบายอะไรอยู่อีกนะเจ้าคะ” ซูพ่านเอ๋อยุยงต่อไป
ซ่านจินจื๋อก็คิดแบบนี้เช่นกัน จึงลูบไหล่ของนาง “คืนนี้ข้าจะไปดูนางเสียหน่อย”
ซูพ่านเอ๋อกลับยิ่งไม่วางใจ แต่ว่าพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ไม่อาจพับเก็บไปได้ ทำได้เพียงพยักหน้า
รอจนดึกสงัดคนสงบแล้ว ซ่านจินจื๋อจึงมายังวิหารเฟิ่งหมิงโดยไม่มีสุ้มเสียง
มันแตกต่างจากเมื่อก่อน คบไฟกลางห้องของกู้อ้าวเวยกลับไม่ได้เปิด นางทำเพียงปีนบันได พาตัวเองปีนมาบนต้นไม้ กำลังกอดขนมอบหนึ่งถุงพลางนั่งลง ช่วงเอวยังมีเหยือกสุราห้อยไว้อยู่ วางเหล้ากระดูกเสือที่ก่อนหน้านี้ยังดื่มไม่หมดลง
กุ่ยเม่ยกับชิงต้ายกลับเลือกอาภรณ์หน้าหนาวอยู่ใต้ต้นไม้
กู้อ้าวเวยใช่ขนมอบกระแทกกุ่ยเม่ย แต่ถูกกุ่ยเม่ยรับเอาไว้ได้พอดี ชิงต้ายแหงนหน้าขึ้นมองนาง “ด้านบนอันตรายมากนะ ท่านขึ้นไปทำอะไร”
“คิดถึงคนรัก” กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมองแสงจันทร์สว่างบนฟากฟ้า
ชิงต้ายกับกุ่ยเม่ยสบตากันแวบหนึ่ง ก่อนพากันส่ายหน้า “คนรักของท่านกำลังอบอุ่นในผืนม่านลวดลายสัตบรรณกับแม่นางพ่านเอ๋ออยู่หรือ”
กู้อ้าวเวยลูบจมูก แม้แต่กุ่ยเม่ยยังไม่ได้สังเกตถึงลมหายใจของซ่านจินจื๋อที่ค่อยๆ ออกไป ซ้ำยังเจือแววเร่งรีบอีกด้วย