บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 341
บทที่ 341 แคว้นเจียงเยี่ยนอ้ายจือ
พอออกจากห้องโถง สีหน้าของกู้อ้าวเวยปล่อยวางลงไปเยอะเลย
กุ่ยเม่ยดึงแขนเสื้อของนางอย่างระวังในตอนที่ไม่มีคนเห็น ตอนที่นางหันหน้ามา พูดด้วยเสียงเบาว่า “ดูๆ ไปแล้วเขาไม่วางมือจากท่านเป็นแน่ พวกเรายังจะไปไหม”
“ไปแน่นอน แค่ข้าไม่รู้ว่าที่ชิงต้ายพูดถึงยัดเยียดใส่ร้ายตระกูลหยุนนั้นหมายความว่าอะไร” กู้อ้าวเวยตอบด้วยเสียงเบา
“พวกเราควรจะทำความเข้าใจเรื่องนี้ก่อนแล้วค่อยไปเถอะ ข้าเชื่อว่าชิงต้ายก็ไม่อยากจะให้คนของครอบครัวเจ้าได้รับบาดเจ็บเช่นกัน”
“ได้ ทำตามที่เจ้าพูดก็ได้” กู้อ้าวเวยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงถือโอกาสจูงมือกุ่ยเม่ยไปหาของกินด้านนอก บอกว่าช่วงนี้มีร้านขายเกี๊ยวหนังปลาเพิ่มมาร้านหนึ่ง นางต้องเรียนรู้วิธีการทำให้ได้ก่อนแล้วจึงมาทำให้ชิงต้ายกิน
“ใช่แล้ว เมื่อครู่ด้านหลังผ้าม่านนั้นมีคนอยู่ เหมือนว่าจะเป็นซูพ่านเอ๋อ” กุ่ยเม่ยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
กู้อ้าวเวยจู่ๆ หนาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา “นางช่างเป็นพวกที่วิญญาณร่อนเร่พเนจรจริงๆ แต่คนชั่วยังไงก็มีกลิ่นอายของความชั่วอยู่แล้ว”
ในขณะเดียวกัน ซ่านจินจื๋อกำลังคุยธุระอยู่กับเมียวจือ
เรื่องที่เคยรับปากเมียวจือไว้ก่อนหน้านั้น ร่างกายของซูพ่านเอ๋อดีขึ้นแล้ว ก็เลยมาเจรจาธุระกับนาง แต่กู้อ้าวเวยเมื่อก่อนเคยพูดว่านางสกุลไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนักก็ใช่เช่นกัน ทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างออก
สามคนล้วนไม่เปิดปากพูดคุยกัน แม้ว่าลี่วานจะรู้ว่าองค์ชายสี่ยังไม่ถูกพบจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกหนึ่งเฮือก
แต่เมียวจือเก็บอาการไว้ไม่อยู่แล้ว เขาค่อยๆ พยักหน้าขึ้นมา “ไม่ขอปิดบังนะ ข้าไม่ใช่คนของแคว้นชางหลาน บ้านพ่อข้าเป็นขุนพลแคว้นเจียงเยี่ยน ชื่อเดิมของข้าคืออ้ายจือ”
“พ่อของเจ้าก็คือแม่ทัพอ้ายหยิน” ซ่านจินจื๋อเปิดปากขึ้นพูดอย่างเรียบเฉย ตอนนั้นสายตากวาดไปที่ลี่วานอย่างช้าๆ อาจารย์ของลี่วานไม่เพียงแต่เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการถอนพิษ อีกทั้งยังเป็นคนของแคว้นเจียงเยี่ยน
แต่อ้ายหยินผู้นี้เป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเจียงเยี่ยน แต่ดูเหมือนว่าก็จะเป็นกลุ่มของสตรีเช่นกัน ส่วนใหญ่เชี่ยวชาญการต่อสู้ แต่อ้ายจือกลับเชี่ยวชาญการแพทย์ ช่างน่าแปลกประหลาดจริงๆ
อ้ายจือมองลี่วานชั่วครู่ ลี่วานเปิดปากอย่างทันที “ข้าก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าอาจารย์เป็นผู้สืบทอดของแคว้นเจียงเยี่ยน อีกทั้งข้าเชื่อว่าท่านอาแค่มีแคว้นเจียงเยี่ยนเป็นที่พึ่ง ตำแหน่งในแคว้นชางหลานก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม”
พูดถึงตรงนี้ อ้ายจือมองลี่วานอยู่ชั่วครู่อย่างไม่พอใจ ปากของลูกศิษย์คนนี้ช่างไวจริงเชียว
แต่ซ่านจินจื๋อกลับหน้าไม่เปลี่ยนสี “นี่เจ้าจะให้ข้าทรยศต่อชาติบ้านเมือง”
“ไม่จำเป็นต้องทรยศต่อชาติบ้านเมืองหรอก ระหว่างพวกเราก็เป็นแค่การร่วมมือกัน” อ้ายจือได้แต่ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า “บัดนี้ข้ามาถึงแคว้นชางหลาน ก็เพื่อหาผู้ที่มีอำนาจสูงศักดิ์เป็นที่นับหน้าถือตาร่วมมือด้วยกัน ทำให้ข้าสามารถแสดงฝีมือออกมาอย่างเต็มที่ต่อหน้าพี่น้องได้”
“ไม่จำเป็น เจ้าไม่ใช่แม่ทัพ ข้ากับเจ้าไม่มีทางที่จะร่วมมือกันได้” ซ่านจินจื๋อสีหน้าเคร่งขรึม เหมือนกับอยากจะให้อ้ายจือแสดงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา แต่เขาก็เป็นแค่ลูกหลานคนหนึ่งของอ้ายหยิน คิดไม่ถึงว่าจะกล้าติดต่อเขาผ่านพระชายาองค์ชายสี่ได้
พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของอ้ายจือช่างไม่น่าดูเลย ผ่านไปชั่วครู่ถึงพูดขึ้นว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เป็นวรยุทธ์ แต่ข้าหลอกใช้คนไปไม่น้อยให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ของแคว้นเจียงเยี่ยนหรือแผนที่ทางการทหารล้วนอยู่ใสมือข้า อีกทั้งพวกเขาไม่มีใครรู้เลยว่าข้าใช้พิษเป็น พวกเขาเพียงแค่เอาข้าส่งมาที่นี่เพื่อมาสืบข่าวก็แค่นั้น แต่ข้าคิดแต่เพียงว่าจะสามารถเชิดหน้าชูตาที่แคว้นเจียงเยี่ยนได้”
“เจ้ายังสามารถช่วยอะไรข้าได้อีก”
“แคว้นเจียงเยี่ยนมีข้าคอยอบรมปลูกฝังให้ทำงานชิ้นเอก พวกเขาสามารถทำงานได้ไม่น้อยทีเดียว” ในที่สุดอ้ายจือก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชาหนึ่งคำ ตอนที่มองไปทางซ่านจินจื๋อก็มีความมั่นใจไม่น้อยทีเดียว
แต่ซ่านจินจื๋อจริงๆ แล้วตกใจไม่น้อยเลย ดูๆ ไปแล้วอ้ายจือผู้นี้ช่างไม่ใช่เป็นเพียงผักปลาจริงๆ
คิดไม่ถึงว่าจะมีวาจาเช่นนี้……
“ที่จริงข้ามีเรื่องเล็กน้อยอยากจะให้เจ้าช่วยสักหน่อย หากทำสำเร็จ ก็อาจจะต้องพิจารณา” ซ่านจินจื๋อกลับคิดถึงเรื่องที่ยังไม่เคยทำสำเร็จมาตลอด
“ท่านอ๋องพูดมาเถอะ” ตาของอ้ายจือเป็นประกายขึ้นมาทันที
“พวกเจ้าส่งจดหมายถึงตระกูลหยุน บอกว่าเอาตำแหน่งแคว้นเจียงเยี่ยนแลกกับใบสั่งยาที่ชั่วชีวิตนี้ไม่แก่” สีหน้าของซ่านจินจื๋อเย็นชาลงมาทันที
ลี่วานเงยหน้าขึ้นมองอย่างเหลือเชื่อ
ใครก็รู้ว่าตระกูลหยุนเป็นกำลังสำคัญที่อยู่เบื้องหลังกู้อ้าวเวย นี่ซ่านจินจื๋อกำลังจะให้ตระกูลหยุนแบกรับชื่อเสียงเสียหายแห่งการทรยศต่อชาติบ้านเมือง
แน่นอนว่าอ้ายจือกับลี่วานมีความคิดเดียวกัน “แต่ตระกูลหยุนนี้……”
“ข้าต้องการให้ตระกูลหยุนถูกค้นบ้านและยึดทรัพย์ ที่ต้องการก็คือใบสั่งยาของตระกูลพวกเขา” เสียงของซ่านจินจื๋อค่อยๆ แผ่วลงเบาๆ
ลี่วานกลับรู้สึกถึงความหมายการเข่นฆ่ากันขึ้นมา รีบก้มหน้าลงทันที แต่อ้ายจือที่อยู่ข้างๆ นั้นรับคำขึ้นมาแล้ว
“ใช่แล้ว หนึ่งในนั้นมีเด็กที่ชื่อว่าชิงจือ สามารถนำกลับมาให้ข้าอย่างครบถ้วน” ซ่านจินจื๋อลุกขึ้นยืน มองไปที่อ้ายจือซึ่งอยู่ข้างกายอย่างเรียบเฉย “ไปจัดการสองเรื่องนี้มาให้ได้ วันหน้าข้าจึงจะร่วมมือกับเจ้าได้
“ได้ หวังว่าท่านอ๋องจะรักษาคำพูด” อ้ายจือพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ขยับก้าวออกไป
ลี่วานเดิมทีอยากจะก้าวตามไปด้วย แต่ซ่านจินจื๋อกลับพูดขึ้นเบาๆ ว่า “บัดนี้เจ้าตัดสินใจไม่ช่วยหยวนเอ๋อแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ ก็อย่าทำร้ายเขา หากเจ้าทำร้ายเขา ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า”
“ท่านอา ท่านดูออก……”
“แม้ว่าไม่รู้ว่าเจ้าทำเพื่ออะไร แต่หากให้ข้าเห็นเจ้าวางยาหยวนเอ๋อเป็นครั้งที่สอง หัวนี้ของเจ้าก็ไม่ต้องใช้แล้วล่ะ” เสียงของซ่านจินจื๋อราวกับกริชแหลมที่ทิ่มแทง
ลี่วานแค่รู้สึกว่าในหัวมีแต่เสียงเคว้งคว้างเต็มไปหมด ยังไม่ทันได้หันหน้ามาก็เหงื่อออกไปทั้งตัว แม้แต่คำเดียวก็ไม่พูด เดินจากไปเลย
รอจนคนสองสามคนออกไป หลังม่านด้านข้าง ซูพ่านเอ๋อจึงค่อยๆ เดินออกมา ค่อยๆ เข้าแอบอิงในอ้อมอกของซ่านจินจื๋อ ซ่านจินจื๋อก็เอานางเข้าสู่อ้อมอกอย่างคุ้นเคย “ทำไมท่านถึงเอาเด็กคนนั้นยกให้กู้อ้าวเวย นั่นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหยุนเลยสักนิด ท่านพี่จื๋อชอบนางใช่หรือไม่”
“ใช่” ซ่านจินจื๋อกลับไม่ได้พูดปด แต่ในนาทีต่อมา เขาได้เพียงแต่เอานางเข้าสู่อ้อมอกอย่างเบาๆ “แต่ผู้ที่ข้ารักยิ่งกว่าก็ยังคงเป็นเจ้า”
ซูพ่านเอ๋อกลับไม่ได้โกรธเคืองเขา ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเขียนไว้บนใบหน้าแล้ว
แต่ระยะห่างระหว่างเขากับกู้อ้าวเวยนับวันจะยิ่งห่างกันมากขึ้น สิ่งที่เขาทำได้คือได้เพียงแค่รักษาระยะห่างกับกู้อ้าวเวยเอาไว้ให้ดีที่สุด ได้เพียงหวังว่าจะมีสักวันที่กู้อ้าวเวยจะเข้าใจความรักและความลำบากของตัวเอง
ซูพ่านเอ๋อยิ้มอย่างเบาๆ ความกังวลที่อยู่ในใจพวกนั้นหายไปหมดแล้ว บัดนี้กู้อ้าวเวยยังจะทำอะไรได้อีก ก็มักจะพูดถึงการห่างกัน แต่ก็เป็นเพียงการห่างกันด้วยความคิดฝ่ายเดียว มักจะรู้สึกว่าหากซ่านจินจื๋อปล่อยกู้อ้าวเวยในเร็ววันอาจจะเป็นสิ่งที่ดียิ่งขึ้นก็ได้
แต่นางกลับคิดอย่างพิสดาร หากกู้อ้าวเวยสามารถรับความยากลำบากต่อหน้านางได้แค่นั้นก็ไม่เลวแล้ว
คนทั้งสองต่างก็มีจิตใจที่สงสัยซึ่งกันและกัน แต่ก็ยังคงสามารถรับความอบอุ่นซึ่งกันและกันในช่วงฤดูหนาวนี้ได้อยู่
ฤดูหนาวลมหนาวพัดหนาวเหน็บ กู้อ้าวเวยเรียนการห่อเกี๊ยวหนังปลาได้สำเร็จแล้ว ตอนที่ออกมาหนาวจนตัวสั่นเทาไปหมด กุ่ยเม่ยก้าวเดินออกมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว รีบเอาผ้าคลุมมาคลุมให้นาง กู้อ้าวเวยยิ้มแล้วเอาเกี๊ยวหนังปลาที่ทำเสร็จแล้วยัดใส่ปากเขา “วันหลังเรียกท่านว่าพี่ชายแล้วกัน”
“ข้าเป็นผู้ใต้บัญชาของท่าน” กุ่ยเม่ยจ้องมองนางอยู่ชั่วครู่
“ชิงต้ายเมื่อก่อนก็ไม่ยอมเป็นพี่น้องกับข้า นี่ก็เป็นความปรารถนาของข้าที่มีต่อนาง” กู้อ้าวเวยเอนไปทางเขาเล็กน้อย รู้สึกถึงลมหนาวของฤดูหนาว “ฤดูหนาวมาแล้ว คนที่ไม่มีอะไรเลยก็ควรจะอยู่ด้วยกันเพื่อรักษาความอบอุ่นเอาไว้”
“ในตำหนักอ๋องจะมาเรียกส่งเดชไม่ได้” กุ่ยเม่ยแย้งขึ้นมา
กู้อ้าวเวยยิ้มขึ้นมา หิ้วเกี๊ยวหนังปลาเดินเข้าไปในตำหนักอย่างช้าๆ กับกุ่ยเม่ยด้วยกัน