บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 348
บทที่ 348 ขอร้องคน
หิมะตกใหญ่ที่เมืองเทียนเหยียนดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด
คนที่กู้อ้าวเวยรู้จักทั้งหมดเกือบจะถูกหิมะปกคลุมอยู่ที่เมืองเทียนเหยียนอย่างยากลำบาก หากในตำหนักอ๋องที่ใหญ่โตนี้ ก็มีเพียงหวางโม่ที่ส่งเหล้ามาให้เพื่ออบอุ่นร่างกาย กู้อ้าวเวยมองดูหิมะขาวที่ลอยอยู่นอกหน้าต่าง เหม่อลอยไปชั่วขณะ
กุ่ยเม่ยปัดละอองหิมะบนไหล่ออกและวิ่งเข้ามา เข้ามาที่ประตูใหญ่ก็เริ่มพูดว่า “บัดนี้หิมะปกคลุมเมืองไปทั่ว อย่าว่าแต่คนที่เหล้าอะไรก็ตามของหวางโม่ที่ให้คนส่งออกไปเลย ยังมีคนที่ส่งของของสำนักเยียนหยู่เก๋อก็ไม่มีทางออกไปได้ เดิมทีหยินเชี่ยวอยากจะออกไป รถม้าเพิ่งออกประตูเมืองไปก็จมอยู่ในหิมะแล้ว ไม่มีหนทางจะไปจริงๆ”
เห็นถ่านในห้องยังไหม้ไม่หมด ประตูหน้าต่างเปิดอ้าอยู่ กุ่ยเม่ยตกใจไปชั่วครู่ รีบปิดประตูหน้าต่างให้สนิท
“เจ้าไม่กลัวว่าจะโดนพัดจนป่วยหรืออย่างไรกัน หากเจ้าล้มลงไป ก็เท่ากับว่าไร้ประโยชน์ทันทีเลยที่ทำมาทั้งหมด” กุ่ยเม่ยดูจริงจัง
กู้อ้าวเวยกลับนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ ค่อยๆ ได้สติกลับมา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดจะทำอะไรอีก
กุ่ยเม่ยยังไม่ได้จุดถ่านในเตาไฟ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากวิหารเฟิ่งหมิง ก็เห็นซูพ่านเอ๋อที่ใส่ชุดผ้าฝ้ายทั้งตัว คุมขนมิงค์อยู่ กางร่มสีน้ำมันลายดอกเหมยบังหิมะเดินเข้ามา ในแขนเสื้อยังมีเตาให้ความอบอุ่นอันเล็กวางอยู่ด้วย ค่อยๆ เดินมา
มาถึงในห้อง ซูพ่านเอ๋อค่อยๆ ยิ้มออกมา “นี่ก็สามวันแล้ว หนทางของเจ้ายังคงเดินได้ยากลำบากนัก”
“ในที่สุดข้าก็เดินออกมาจากตำหนักอ๋องจิ้งด้วยชีวิตที่ตกต่ำ เจ้าว่าท่านอ๋องหวนคิดถึงข้าขนาดไหนกัน” กู้อ้าวเวยสายตาไม่ได้จ้องมอง คำพูดเพียงหนึ่งประโยคเบาๆ ก็ทำให้ซูพ่านเอ๋อขมวดคิ้วเข้าหากันได้ อีกทั้งในใจยังเกิดการอิจฉาขึ้นมาด้วย
แต่น่าเสียดายที่ซูพ่านเอ๋อกลับไปได้โมโหเสียหมด อีกทั้งยังเลิกคิ้งขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าไปเจอท่านพี่จื๋อ”
ได้ยินคำว่าโอกาสสองคำนี้ ดวงตาที่เหม่อลอยของกู้อ้าวเวยคู่นั้นก็สว่างขึ้นทันที รีบหันหน้ามามองนางทันที “โอกาสอะไรกัน”
“เจ้าไปคุกเข่าที่ด้านหน้าหน้าต่างห้องหนังสือเจ็ดวันเจ็ดคืน หากเขาจริงใจกับเจ้า จะต้องยื่นมือมาช่วยเจ้าแน่นอน” ซูพ่านเอ๋อค่อยๆ นั่งลงข้างกายกู้อ้าวเวย “เมื่อตอนนั้นที่ออกจากสำนัก ข้าแค่คุกเข่าไปสองวัน เขาก็ยอมออกโรงต่อต้านเสด็จพี่แล้ว จะพาข้ากลับเมืองเทียนเหยียนให้ได้เลย เพียงแค่เจ้ายอมทำตามวิธีนี้ เขาจะต้องใจอ่อนเป็นแน่”
“นี่เจ้าช่วยข้าด้วยใจจริงเช่นนั้นหรือ” กู้อ้าวเวยรู้สึกใจสั่นคลอน อีกทั้งยังแฝงความสงสัยไว้ด้วย
“แน่นอนว่าต้องมีเงื่อนไข” ซูพ่านเอ๋อท่าทางจริงจัง “หากธุระของเจ้าสำเร็จ ข้าก็จะหาเอายาแกล้งตายมาจากเมี่ยวหาร บอกว่าเจ้าคุกเข่านานจนป่วย โศกเศร้าไม่มีความสุขจนตายแล้วค่อยแอบเอาเจ้าส่งออกไป”
“พูดไปพูดมา เจ้าก็แค่กำจัดข้าในที่ลับไม่ได้ ก็เลยจะใช้แผนการนี้มากำจัดข้าทิ้งล่ะสิ” กู้อ้าวเวยก็หัวเราะเบาๆ แต่นางก็จับมุมโต๊ะพยุงตัวลุกขึ้นมาแล้ว “แต่แบบนี้ก็ดี ข้าก็อยากไปจากที่แห่งนี้นานแล้ว”
“งั้นเจ้าก็ไปจัดการซะ” ซูพ่านเอ๋อหัวเราะอย่างเสียมิได้
กุ่ยเม่ยมาไม่ทันยับยั้งห้ามปราม แต่ในใจของกู้อ้าวเวยได้ตัดสินใจอย่างสมดุลแล้ว พูดไปพูดมาก็แค่ชีวิตนางหนึ่งชีวิต แต่เด็กที่ยังไม่เติบโตเหล่านั้นของตระกูลหยุน หากเสียพ่อแม่ไป วันข้างหน้าใครจะช่วยเหลือเกื้อกูลพวกเขากัน
ผู้ที่เป็นหมอ เรื่องที่สำคัญก็คือช่วยรักษาชีวิตคนเอาไว้ นางไม่มีทางลืมเด็ดขาด
นางออกจากลานกว้างไป เดินไปดูชิงจือที่อยู่กับน้าจางในห้องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ไปที่ห้องหนังสือของซ่านจินจื๋อ
แต่ซูพ่านเอ๋อกลับลูบขอบถ้วยไปมา ยังไม่ได้จากไปไหน ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แม้จะบอกว่าซ่านจินจื๋อจะแพ้ภัยหญิงงาม แต่เรื่องของตระกูลหยุนนี้เป็นเรื่องที่เขาสร้างขึ้นกับมือเอง ในเมื่อเป็นเรื่องที่ตนเองทำ ซ่านจินจื๋อก็จะไม่หันหลังกลับเด็ดขาด แต่ไหนแต่ไรมาซ่านจินจื๋อก็ไม่เคยยกก้อนหินทับขาตัวเองอยู่แล้ว บอกว่าเขามัวเมาหลงใหล แต่เขาก็ไร้หัวใจได้เช่นกัน
กุ่ยเม่ยก็จากออกไปด้วยกัน นางจึงกระซิบเบาๆ ว่า “เจ้าก็ไปคุกเข่าต่อหน้าท่านพี่จื๋อเถอะ ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ วันข้างหน้าพวกเจ้าก็ยังต้องเหนื่อยไปด้วยกันอีก”
หิมะปลิวว่อน ลมหนาวราวกับมีดคม
กู้อ้าวเวยเดินมาที่หน้าประตูจวนของซ่านจินจื๋ออย่างทางสะดวกไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางเลย กุ่ยเม่ยมองนาง “จะไปจริงๆ หรือ”
“หากมีเพียงโอกาสการอยู่รอดอีก ข้าก็ไม่ทำเช่นนี้หรอก” กู้อ้าวเวยยิ้มอย่างขมขื่น
กุ่ยเม่ยนิ่งเงียบไป ได้แค่พานางข้ามกำแพงสูงนี้ไป ลงมาอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะหนาอย่างนิ่งนิ่ง มีคนมากมายค่อยๆ เข้ามา แต่กลับไม่ได้เคลื่อนไหวอาวุธใดๆ เลย
ตอนนั้นซ่านจินจื๋อได้แค่แง้มหน้าต่างออกดู เงยหน้ามองกู้อ้าวเวยที่ยืนนิ่งอยู่
“หากเป็นเรื่องตระกูลหยุน เจ้าไปได้เลย” ซ่านจินจื๋อก้มหน้าลง ดูจดหมายในมือต่อ ช่วงฤดูหนาว จดหมายกลับไม่ค่อยราบรื่นนัก แต่พวกองครักษ์ที่เขาฝึกฝนนั้นกลับไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ เป็นช่วงเวลาที่จะจัดสรรอำนาจอย่างลับๆ หรือโอกาสที่ดีในการคานอำนาจลงได้
เขากำลังใช้ความคิด ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
ร่างที่บอบบางก็อยู่ท่ามกลางหิมะแล้ว กำลังคุกเข่าตรงหน้าเขา ในใจก็รู้สึกสั่นไหวไปกับนาง ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น “นี่เจ้าทำอะไร”
“ตอนนั้นซูพ่านเอ๋อคุกเข่าขอร้องให้ท่านพานางจากไป”
“วันนี้ข้าก็คุกเข่าขอร้องแค่ให้ท่านสืบเรื่องของตระกูลหยุนอย่างละเอียด ปกป้องชีวิตของพวกเขาเอาไว้”
เสียงของกู้อ้าวเวยดูนุ่มเบากว่าหิมะหลายเท่า แต่กลับไปจุดไฟโมโหในใจของซ่านจินจื๋อขึ้นมาอย่างทันใด
จริงๆ แล้วนางสามารถเอาตัวรอดได้ในทุกครั้ง แต่กลับเอาคนอื่นมาใส่ใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แค่จุดจุดนี้ก็ทำให้เขาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟได้ แต่บัดนี้ กู้อ้าวเวยยิ่งใช้ความรักของเขาทำสิ่งที่ต้องการ ซึ่งมาขี่อยู่บนจมูกของเขาเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรี
คิดไม่ถึงว่าบัดนี้ยังจะมาบังคับเขาอีก
“งั้นเจ้าก็คุกเข่าไปเถอะ” ซ่านจินจื๋อโกรธมาก นั่งลงอีกครั้ง เอาตำราที่อยู่ข้างมือมาเปิดดูไปมา แต่ว่าแม้แต่ตัวเดียวก็ดูไม่เข้าหัว ในหัวมีแต่ละอองหิมะอันใหญ่ๆ ยังมีดวงตาสีสดใสระหว่างขาวกับเงิน ปลายหูที่แดงฝาด
กุ่ยเม่ยยืนอยู่ด้านข้าง ได้เพียงแค่บังลมหิมะให้กู้อ้าวเวย
กลับได้ยินนางพูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้มว่า “หากเจ้าอยู่ที่นี่ เขาก็จะอิจฉาเจ้าที่ใกล้ชิดข้า”
“คุกเข่าอยู่ท่ามกลางหิมะเช่นนี้ จะต้องป่วยในไม่ช้าเป็นแน่” กุ่ยเม่ยส่ายหัว ไม่ยอมออกไป
“อาการป่วยสามารถรักษาได้” กู้อ้าวเวยยิ้มกับเขาเบาๆ กุ่ยเม่ยเคยชินแล้วกับการเชื่อกู้อ้าวเวย และก็ไม่สงสัย หรือลังเลไปมา แต่กลับจากไปต่อหน้าผู้คนที่มองอยู่มากมาย
ข้างนอกประตูใหญ่ กู้จี้เหยาที่ทราบเรื่องนี้รีบมาดูนางอย่างเงียบๆ
หลานเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “ตอนนี้รักษาตัวเองเอาไว้ถึงจะสำคัญที่สุด”
“เมื่อก่อนท่านพ่อถูกประหารเก้าชั่วโคตร ข้าและนางต่างก็แกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดิมทีคิดว่านางจะจิตใจด้านชา ไม่รู้สึกอะไร” กู้จี้เหยายิ้มเยาะเย้ย สะบัดแขนเสื้อ “แต่กลับคิดไม่ถึง ข้าเทียบกับนางไม่ได้เลย”
“คุณหนูใหญ่ก็แค่โง่ ตอนนี้นางก็เป็นแค่ลูกสาวของขุนนางผู้กระทำผิด ยังจะลากเอาสามีของนางไปยุ่งกับเรื่องตระกูลหยุนอีก ช่างเป็นกวนอิมผู้มีเมตตาเสียจริง” หลานเอ๋อร์เดินตามกู้จี้เหยา พูดด้วยเสียงต่ำ “แต่คุณหนู เวลานี้เราไปแทนที่คุณหนูใหญ่ไม่ดีกว่าหรือ อาจจะเป็นการดีกับเราในบางสิ่งบางอย่างก็ได้”
ก้าวเดินหยุดชะงักไป กู้จี้เหยาหันหน้ามา “ข้าควรทำอย่างไร”
“ในเมื่อพระชายาจิ้งไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร ถ้าเช่นนั้นคุณหนูท่านก็แสดงออกว่าควรจะทำเช่นไรถึงจะเป็นการดี” ดวงตาของหลานเอ๋อร์สว่างขึ้น ค่อยๆ พูดอะไรบางอย่างอยู่ที่ข้างหูของกู้จี้เหยา
“งั้นก็ทำตามที่เจ้าพูดละกัน” กู้จี้เหยาลูบหัวของหลานเอ๋อร์ ผลักนางไปด้านหน้า
หลานเอ๋อร์รีบวิ่งไปแล้ว กู้จี้เหยากลับหดหัวอยู่ ยังมองดูคนที่คุกเข่าอยู่ท่ามกลางหิมะตกหนักอยู่ พูดด้วยรอยยิ้มเย็นชาว่า “ช่างโง่จริงๆ”