บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 358
บทที่ 358 ใจดำ
เจ้าอาวาสหลายคนของอารามไป๋หม่ากุลีกุจอมารอรับพวกนางเสร็จแล้วจึงไปสวดมนต์ที่โถงภาวนา
นักพรตที่เดินนำกู้อ้าวเวยเข้าไปด้านในมีฉายาทางศาสนาว่า สวีเชิน ฟังดูแก่ แต่กลับเป็นนักพรตอายุน้อยเพิ่งย่างสู่วัยยี่สิบ สวมชุดคลุมสีเทาแทบจะเอาศีรษะมุดฝังเข้าไปด้านใน พากู้อ้าวเวยมายังห้องปีก ก่อนเอ่ยอย่างรวดเร็ว “เรียนเชิญพระชายาพักสักประเดี๋ยวก่อน หนึ่งชั่วยามให้หลังข้าจะนำอาหารเจส่งมาให้”
ครั้นสวีเชินเดินไป กู้อ้าวเวยจึงคว้ากุ่ยเม่ยเอาไว้ พลางมองเขา “เจ้าเห็นไม้แกะสลักแมวลายสลิดที่ช่วงเองของฮัวหลีชัดหรือไม่”
“เห็นชัดแล้ว นั่นไม่ใช่ไม้ธรรมดาเลย ดูจากฝีมือแล้วกลัวว่าจะเป็นเงินถึงสองร้อยตำลึง” กุ่ยเม่ยพยักหน้า “หนูหยกขาวแกะสลักของท่านอันนั้นแค่สองตำลึงเอง นางดีใจออกหน้าออกตาขนาดนั้น ก็ดูไม่เหมือนเสแสร้งด้วย”
“พูดมาแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นยามปกตินางต้องไม่ค่อยได้เห็นของสิ่งนี้แน่นอน” กู้อ้าวเวยลูบปลายคางของตน กล่าวพลางหัวเราะ “ทำนองเพลงที่ส่งมาเมื่อก่อน ยังมีน้องสาวคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าข้าสักสองปีได้ ดูคล้ายกับนางมากทีเดียว”
“จะว่าอย่างไรดีล่ะ” กุ่ยเม่ยก็เคยอ่านสมุดจดเหมือนกัน แต่กลับดูไม่ออกเลย
“ดูแล้วเหมือนนางอายุมากกว่าข้า แต่กระดูกที่มือหลอกคนไม่ได้หรอก นางน่าจะน้อยกว่าข้าสักสองปีแน่นอน บนตัวยังพกจี้ไม่สะดุดตาราคาสองร้อยตำลึง น่าจะเป็นของที่กู้เฉิงมอบให้นาง แต่สถานะของนางไม่ใคร่ควรป่าวประกาศ จึงมีของตบรางวัลน้อย ด้วยเหตุนี้อุปนิสัยจึงค่อนข้างทะเยอทะยาน อีกอย่าง มือเรียวเกลี้ยงเหมือนหยกคู่นั้น ดูสะอาดกว่ามือของข้าเสียอีกแหนะ” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ
เดิมนางก็เป็นหมอ เมื่อครู่ครั้นฮัวหลีเอื้อมมือมา นางก็มองมันได้อย่างแจ่มชัด
กุ่ยเม่ยเดาะเรียวปาก “นางแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วท่านคิดจะทำอะไร”
“ในเมื่อบังเอิญพบในสถานที่แห่งนี้ นั่นก็คงเป็นพรหมลิขิต” กู้อ้าวเวยปัดเศษฝุ่นบนเรือนร่าง หวนคิดสักแปบ “ไม่สิ บางทีอาจจะไม่ใช่พรหมลิขิตเสียหน่อย”
“กู้เฉิงจะจงใจส่งพวกนางเข้ามาเชียวหรือ”
“ก็เป็นไปได้ เวลานี้มันเหมาะเจาะพอดี อีกอย่างกู้จี้เหยาเอ่ยถึงอารามไป๋หม่าก็เพราะว่าก่อนหน้านี้นางมักจะพากู้เฉิงเข้ามาบ่อยๆ บางทีกู้เฉิงก็แค่อยากให้นางแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อลองหยั่งเชิงข้า” กู้อ้าวเวยหยัดตัวลุกขึ้นมา วางชิงจือเอาไว้ด้านข้างเบาๆ พลางหัวเราะเย็นชา “กู้เฉิงรู้ว่าข้ากับซ่านจินจื๋อฉลาด นี่คงจะอยากลองดูว่าข้ารู้สัจธรรมหรือไม่กันแน่กระมัง”
“ถ้ารู้ แล้วควรจะทำอย่างไร ถ้าไม่รู้ แล้วควรจะทำอย่างไรอีก” ท่านป้าจางก็ถูกนางพูดเสียจนวกวน
กู้อ้าวเวยเอียงศีรษะคิดเล็กน้อย ก่อนหลุดหัวเราะ “ที่ท่านป้าพูดมาก็ถูก รู้กับไม่รู้ คนที่สมควรกลัวไม่ควรเป็นข้า แต่ควรเป็นกู้เฉิงที่อลหม่านเผยพิรุธเอง”
ท่านป้าจางอึ้งไปสักพัก คิดๆ ดูแล้วนางก็แค่ถามเรื่อยเปื่อย
กุ่ยเม่ยก็ลูบหูเกาแก้ม สุดท้ายก็ฟังไม่รู้เรื่อง “ดังนั้นท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”
“ไม่ได้คิดจะทำอะไร ข้าเพียงแค่สงสัยว่าเขามีเจตนาใส่ความตระกูลหยุนของข้า ก็ต้องอยากสั่งสอนสักหน่อยเป็นธรรมดา” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ หนึ่งที เดินมุ่งหน้าออกไปเดินทอดน่องข้างนอก
ท่านป้าจางโบกมือให้กับกุ่ยเม่ย คนหลังรีบเดินตามออกไปอย่างรีบเร่ง เลี่ยงไม่ให้กู้อ้าวเวยออกไปก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก
ลานที่อยู่หลังห้องปีกแห่งนี้กลับดูโอ่อ่ายิ่งนัก นักพรตจำนวนไม่น้อยเดินวกไปวนมาให้ขวัก แขกเหรื่อในห้องปีกอื่นๆ ก็อดไม่ไหวที่จะออกมาเดินเล่นเสียหน่อยเช่นเดียวกัน
กุ่ยเม่ยคนเดียวเฝ้าดูไม่ไหว กู้อ้าวเวยมุ่งไปทางสวีเชินเพื่อขอไม้กวาดเรียบร้อยแล้ว และเริ่มกวาดภายในลานขึ้นมา
สวีเชินตกใจจนเบลอ เดินตามก้นนางมาและเอ่ยถามนาง “พระชายาที่ท่าน…”
“ในเมื่อข้ามาลัทธิเต๋าแล้ว ย่อมต้องตามพวกเจ้าอยู่แล้วสิ” กู้อ้าวเวยกวาดพื้นไปพลาง และยังพูดกับสวีเชินไปพลาง “ยามปกติลัทธิเต๋าพวกเจ้ายังต้องกวาดพื้น ข้าก็ควรต้องกวาดด้วยเหมือนกัน”
“ของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราควรทำ” สวีเชิน ไหนเลยจะกล้าให้พระชายาจิ้งมากวาดพื้นกันเล่า รีบกุลีกุจอไปแย่งด้ามไม้กวาดมา
กู้อ้าวเวยกอดด้ามไม้กวาดเอาไว้ก่อนวิ่ง “เจ้านักพรตน้อยอย่ามารบกวนลัทธิเต๋าของข้าสิ”
ทั้งสองไล่กันไป ไล่กันมาภายในลานด้านหลัง คนจำนวนไม่น้อยต่างยิ้มหยันว่าพระชายาจิ้งไม่รู้จักมารยาท กุ่ยเม่ยรู้ดีว่าห้ามไม่อยู่ จึงมุ่งตรงไปรับอาหารเจมาจากในครัว ไม่ไปสนใจว่ากู้อ้าวเวยคิดจะทำอะไรกันแน่แล้ว
กู้จี้เหยาก็ได้ยินเสียงเอะอะจากข้างนอกถึงได้เดินออกมา และก็ช่างบังเอิญ พอเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นกู่ฮูหยินผู้นั้นกับฮัวหลีอีกแล้ว ฮัวหลียังยิ้มๆ ให้กับนางอยู่เลย สีหน้าของกู่ฮูหยินก็ช่างแปลกพิลึก
“ได้ยินว่ากู่เฉิงเสี้ยงที่เข้ารับตำแหน่งในปัจจุบันอายุยังหนุ่มแน่น ซ้ำยังจัดแจงระเบียบความเน่าเฟะที่ใต้เท้ากู้เหลือทิ้งเอาไว้อย่างมีแบบแผนอีกต่างหาก” ซูพ่านเอ๋อไม่รู้ว่าเดินมายังข้างกายของกู้จี้เหยาตอนไหน
กู้จี้เหยามองนางด้วยสายตาเย็นชา “อย่างไรมันก็ดีกว่าผู้หญิงที่มีปูมหลังมาจากถิ่นอนารยะหลายเท่าแล้วกัน”
ทั้งสองยืนอยู่ในชายคา ถ้อยคำถากถางไม่เคยหยุดพักมาก่อนเลย
ตอนที่กู้อ้าวเวยส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งก็มองทางฝั่งนี้ได้อย่างชัดเจน จู่ๆ ก็ยัดด้ามไม้กวาดในมือใส่ในอ้อมอกของสวีเชิน กล่าวพลางหัวเราะ “น้องสาวสองคนจากจวนของข้าไม่ง่ายจะดูแลเลย พวกเจ้าต้องดูแลหน่อยนะ”
กล่าวจบ กู้อ้าวเวยก็รีบกุลีกุจอวิ่งไปข้างกายกุ่ยเม่ย ดวงตาสองข้างจดจ้องเพียงแต่กล่องอาหารในมือของเขา
“มีอะไรกินบ้าง” กู้อ้าวเวยรีบเอ่ยถาม
“ตั้งใจรับข้าวหลาม ขนมอบช่อมาลีมา ยังมีซุปผักป่าและวัตถุดิบเจสามส่วน ซาลาเปาผักเขียวก็เอามาให้ท่านจำนวนหนึ่งด้วย” กุ่ยเม่ยแกะกล่องอาหารเบาๆเล็กน้อย
กู้อ้าวเวยกลับขยิบตาให้กุ่ยเม่ยหนึ่งที สองคนก้มหน้างุดพลางเดินอ้อมไปด้านข้าง โดยแกล้งทำเป็นบังเอิญไปพบซูพ่านเอ๋อที่สวนทางมาภายใต้ชายคาพอดี
กุ่ยเม่ยคว้ากล่องอาหารเอาไว้อย่างหูตาไว กู้อ้าวเวยแสร้งเดินซวนเซหนึ่งก้าว และบังเอิญหยุดอยู่ข้างกายของกู้จี้เหยาพอดี กู้จี้เหยาเอื้อมมือพยุงนางเอาไว้ เห็นว่านางหยัดกายจนมั่นแล้ว ก่อนกล่าวจนปัญญา “ท่านพี่ต้องระวังกว่านี้หน่อย”
“ไม่ทันดูทาง” กู้อ้าวเวยเลิกหัวคิ้ว แตะเข้าที่ข้อมือของกู้จี้เหยาเบาๆ กลับมายังข้างกายของกุ่ยเม่ยอีกครั้ง ก่อนคว้าเขาและเดินออกไป
กู้จี้เหยากับซูพ่านเอ๋อไม่มีอารมณ์ทะเลาะกันแล้ว จึงสลายโต๋แยกย้ายกลับไป
ส่วนกู้อ้าวเวยกลับคว้ากุ่ยเม่ยเบาๆ พลางเอ่ยเสียงแผ่ว “ตอนเย็นเจ้าเอายาถอนพิษไปให้กู้จี้เหยา ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าซูพ่านเอ๋อจะอาจหาญชาญชัยขนาดนี้ ถึงขั้นกล้าวางยาพิษตรงๆ เสียได้”
“มิน่าท่านถึงไม่ให้ข้าเงยหน้าขึ้น” กุ่ยเม่ยเดาะเรียวปาก นับว่าถึงบางอ้อแล้ว
ในตอนแรกกู้อ้าวเวยรับปากกู้จี้เหยาแล้วว่าจะปกป้องนาง ตอนนี้ย่อมไม่อาจทรยศต่อความไว้ใจไปได้แน่
กลับไปทานอาหารในห้อง กู้อ้าวเวยกลับมีความคิดโผล่ขึ้นมาอีก “ใช่แล้ว เจ้าว่าข้าควรจะทำอย่างไรให้กู้จี้เหยารู้ว่าบิดายังไม่ตาย แล้วไหนจะต้องให้นางรู้ว่ากู่เซิงเป็นพี่ชายอีก”
“ท่านจะให้กู้จี้เหยารู้เรื่องพวกนี้ไปทำไม” ท่านป้าจางประชิดเข้ามา
“กู้เฉิงไม่เชื่อข้า เพราะว่าข้าฉลาด แต่กู้จี้เหยาโง่เง่า ตอนนี้หากว่ากู้เฉิงติดต่อกับกู้จี้เหยาได้ ก็เท่ากับว่ามีหูตาของตำหนักอ๋องจิ้งเพิ่มมาอีกหนึ่ง ข้าอยากจะล่อกู้เฉิงออกมา ย่อมต้องอาศัยกู้จี้เหยาแล้ว” กู้อ้าวเวยกะพริบตาอย่างซุกซน
ท่านป้าจางเผยแววหวาดกลัวออกมา อุ้มชิงจือพลางโคลงเคลงช้าๆ นางก็คือหญิงแก่หยาบกร้าน คงงัดหาลูกเล่นเหล่านี้ออกมาไม่ได้
กุ่ยเม่ยกลับปั้นหน้านิ่ง พลางขบคิด “ไม่สู้ท่านวางพิษให้หลานเอ๋อร์ แล้วให้นางมาบอกดีกว่ากระมัง”
“นั่นเป็นถึงคนสนิทของกู้จี้เหยาเชียว เจ้าก็ไม่กลัวว่านางมีใจภักดียิ่งนัก จนพูดพล่อยๆ เปิดโปงข้าออกไปแล้วกู้เฉิงนั่นก็ล่อไม่ติดแล้วสิ”
“นางไม่ใช่คนของกู้จี้เหยา” กุ่ยเม่ยกลับส่ายหน้าเบาๆ “ข้าพอจะดูออก นางไม่ใช่พวกมีใจภักดีนักหรอก น่าจะถูกบังคับอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากท่านมีทักษะที่จะเป็นบ่อนหนุนหลังรายใหญ่ที่สุดให้กับนาง…”
“ทางฝั่งของข้ามีพิษที่สามารถทำให้นางหุบปากได้” กู้อ้าวเวยยังไม่ทันฟังส่วนหลังจบ ก็หัวเราะเย็นชาพลางเอาขวดหยกหนึ่งอันวางไว้ตรงหน้าของกุ่ยเม่ย “ในเมื่อนางไม่ภักดี ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่นางต้องการมากที่สุด ก็คือชีวิตของตัวนางเองแล้ว”
กุ่ยเม่ยกลืนน้ำลาย จู่ๆ ก็รู้สึกว่ากู้อ้าวเวยเก่งกาจทรงพลังยิ่งนัก