บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 371
บทที่ 371 ความดีงามของผู้อพยพ
“องค์ชายสามทราบเรื่องการระบาดได้อย่างไร” ซ่านจินจื๋อรีบเดินเข้าไปในห้อง
ซูพ่านเอ๋อมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองเช่นกัน วันนั้นรองแม่ทัพโจวที่ช่วยนางจัดการเรื่องราวได้ถูกซ่านจินจื๋อเตรียมการให้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย และตอนนี้ นางคิดจะปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ แต่ก็ถูกคนก่อกวนขึ้นมาอีกจนได้
เฉิงซานติดตามมาอย่างใกล้ชิด “เป็นข่าวแจ้งมาจากทหารสอดแนมขององค์ชายสาม ตอนนี้ได้ยินมาว่ามีผู้ลี้ภัยในค่ายได้หลบหนีเข้าไปบนเขา ยังไม่พบร่องรอย ข้าน้อยกลัวว่าผู้ลี้ภัยนั้นคงจะทำให้ข่าวรั่วไหลออกไป”
ซ่านจินจื๋อมีสีหน้าเคร่งเครียด “เรื่องของทางปลายน้ำเป็นอย่างไรบ้าง”
“หกพันครัวเรือนถูกน้ำท่วม เสียหายอย่างหนัก ใบสั่งยาที่พระชายาจัดหามาทั้งหมดได้ใช้ประโยชน์อย่างดี แต่แตกต่างกันไปในแต่ละที่ หมอหลายคนกำลังช่วยกันพัฒนาอยู่ จนบัดนี้ก็ยังไม่เป็นผล แต่หากต้องการขนส่งสมุนไพรจำนวนมากก็ไม่ควรให้ราชสำนักรับรู้ ตอนนี้จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มกำลังคน” เฉิงซานทำสีหน้าเคร่งขรึม
ประชากรกว่าหกพันล้วนกลายเป็นผู้เร่ร่อน แต่ในพื้นที่เขตความรับผิดชอบของเขามีจำนวนประชากรอยู่เพียงแสนคน ยกเว้นแต่ที่ขึ้นไปบนเขาสูงอีกแสนสองหมื่นคน ส่วนราษฎรที่เหลืออยู่ก็ต้องทนทุกข์อย่างหนัก ความสูญเสียคงมีมูลค่าเป็นเงินแสนตำลึง ซึ่งมันไม่สามารถจะเพียงพอต่อกำลังของเขา”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของซ่านจินจื๋อ ซูพ่านเอ๋อก็โบกมือขึ้น แล้วนำเรื่องราวนั้นสั่งการลงไป “จัดหาพลพรรคลงไปค้นหาผู้ลี้ภัยที่หลบหนีไปพวกนั้น และอย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”
“คิดหาวิธีช่วยรักษาอาการป่วยของผู้อพยพดูอีกครั้ง หากว่ามีกำลังคนไม่เพียงพอ ก็ส่งคนไปที่เมืองเยว่ซาน และต้องแน่ใจว่าเรื่องทั้งหมดจะถูกแก้ไขให้เรียบร้อย” ซ่านจินจื๋อได้สติกลับมาอีกครั้ง แล้วถ่ายทอดคำสั่งเรื่องนี้ลงไป
เฉิงซานได้แต่เพียงถ่ายทอดคำสั่งลงไปเท่านั้น แต่ไม่อาจเอาชนะจิตใจคนได้
ไม่ว่าซ่านจินจื๋อและซูพ่านเอ๋อจะคิดปิดบังเรื่องนี้อย่างไร องค์ชายสามก็ได้จัดการเตรียมตัวในส่วนของตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว และยังมีการเปลี่ยนชื่อแซ่ และปลอมตัวแต่งกายปนเปไปกับกลุ่มผู้อพยพทางนั้นของซ่านจินจื๋อ
พวกเขาเดินทางทั้งวันทั้งคืน ตลอดเส้นทางล้วนแต่มี‘คนดี’ จำนวนไม่น้อยคอยให้ความช่วยเหลือ ทุกอย่างล้วนแต่เป็นการจัดการส่วนตัวของซ่านเซิ่งหาน
มีคนติดตามมาไม่เกินกว่าสิบคน ในขณะที่พักอยู่ในวัดร้าง ชายชราวัยสี่สิบคนหนึ่ง ได้เข้ามานั่งข้างกายของซ่านเซิ่งหาน ใช้มือตบไหล่ของเขา “หนุ่มน้อย เส้นทางนี้อาจจะผ่านมันไปไม่ได้ เมื่อไปเมืองเทียนเหยียนเกรงว่าแม้แต่ประตูก็คงจะไม่ได้ผ่านเข้าไป เจ้ายังหนุ่ม ไม่ต้องตามไปแล้วล่ะ”
ซ่านเซิ่งหานเหลือบตามองไปยังชายชราที่ไม่รู้จักอย่างประหลาดใจ “แต่ก็ยังคงต้องอำพรางตัว แล้วครอบครัวของคุณหละ”
“อาก็แค่เตือน เรื่องการฟ้องร้องยกให้พวกเราคนแก่ๆเถอะ พวกผู้หญิงและเด็กหนุ่มที่อยู่ที่นี่ พวกเจ้าไม่ควรเอาชีวิตเข้ามาเสี่ยง ได้ยินมาว่าใกล้ๆนี้มีกระท่อมอยู่หลายแห่งที่รักษาโรคได้ พวกเจ้าไปที่นั่นความกังวลเรื่องอาหารเสื้อผ้าก็คงจะมีพอให้ร้องขอให้พอได้กินอยู่ ทำไมจะต้องตามพวกเราไปตีกลองร้องทุกข์ถึงเมืองเทียนเหยียน มันเป็นหนทางที่ไม่มีทางย้อนกลับ” หญิงแก่คนหนึ่งก็ได้เข้ามาสมทบด้วย
อย่าได้มองนางว่าเป็นเพียงหญิงชราที่มีผมขาวเต็มศีรษะ แต่เนื่องด้วยนางใช้ชีวิตทำการเกษตร ตลอดทางมานี้จึงยังคงมีกำลังอยู่เต็มเปี่ยม
ตอนนี้มีหญิงสาวสองสามคนและเด็กหนุ่มอีกคนสองคนที่ไม่เห็นด้วย ซ่านเซิ่งหานก็ได้แต่ส่ายหน้า “ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา”
“ฮ่องเต้ทรงพระปรีชาทำเรื่องไร้สาระให้พวกเรานะสิ! การที่พระชายาจิ้งหาใบสั่งยาให้เราด้วยตัวเองยังดีเสียกว่า จึงช่วยชีวิตพวกเราได้” คนแก่อีกคนได้พ่นหญ้าหางสุนัขออกจากปากลงไปบนพื้น กระแทกกับเท้า แล้วลุกขึ้นยืน “แต่ที่คุณอานี่พูดก็ไม่เลวนะ พวกขุนนางนั้นมากดดันเรื่องของพวกเราก็เพียงเพื่อตำแหน่งราชการของตัวเอง ถ้าเข้าไปในเมืองได้ ก็คงจะถูกขุนนางใหญ่โตพวกนั้นจ้องตาเขม็ง พวกนางยังอายุน้อยอย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตรายเลย”
“ถูกต้อง ตอนนี้ก็มาถึงประตูเมืองเทียนเหยียนแล้ว ทำไมต้องเอาชีวิตมาเป็นเดิมพันด้วย”
คนเหล่านั้นแย่งกันพูดขึ้นมามากมายจนฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนมีภัยพิบัติไม่ได้มีปฏิสัทพันธ์อะไรกันมาก่อน แต่ตอนนี้กลับมาช่วยกันออกความเห็นพิจารณาร่วมกัน เพียงเพื่อช่วยให้กลุ่มวัยหนุ่มสาวไม่ติดตามมุ่งหน้าไปต่อ
ซ่านเซิ่งหานปัดฝุ่นที่อยู่บนใบหน้า ในใจรู้สึกสับสนวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง
เดิมที่เขาทำเพื่อจะเปิดไพ่ด้านความมีน้ำใจของตัวเองเท่านั้น เพื่อให้เสด็จพ่อได้มองเห็นด้านดีของเขาบ้าง
แต่ตอนนี้ เขาได้เห็นถึงน้ำใจดีงามของสามัญชนธรรมดาที่ไม่เคยพบมาก่อน
ในขณะที่หลายคนกำลังโต้เถียงกัน แต่เพียงได้ยินเสียงของใบไม้ด้านนอกเท่านั้น คนชรากลุ่มหนึ่งเจ้ามาแตะตัวข้า ข้าแตะตัวเจ้า ล้วนแต่ให้สติกันและกัน แสงเทียนถูกดับลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนล้วนเข้าไปหลบในกองฟางที่อยู่ด้านข้าง
ซ่านเซิ่งหานขมวดคิ้วขึ้นมาทันที หรือในสายตาของสามัญชนเหล่านี้ เมืองเทียนเหยียนเชื่อไม่ได้เลยหรือ
ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง เห็นเพียงเงาศีรษะหนึ่งผ่านประตูศาลเจ้าร้างเข้ามา อีกทั้งมีชายชุดขาวอีกคนหนึ่งที่กำลังลากนาง เดินเข้ามาพร้อมใส่ผ้าคลุมไว้บนใบหน้า ค่อยๆหรี่สายตาลง “สหายนักเดินทางทุกท่าน แม่นางของเราตั้งใจให้พวกข้ามารับพวกเจ้าเข้าเมือง”
ด้านหลังยังมีคนในชุดดำอีกคนตามเข้ามา หญิงสาววัยรุ่นคนนั้นก็ได้กระโดดตามเข้ามา ด้านหลังยังมีผู้หญิงรูปร่างผอมอีกคนตามเข้ามาด้วย และก็เป็นคนในชุดดำผ้าคลุมหน้าสีดำเช่นกัน มีเพียงแต่ดวงตาคู่หนึ่งเท่านั้นที่คอยจ้องมองพวกเขา
“ทุกท่านไม่ต้องหลบซ่อนแล้ว คุณชายชุดขาวท่านนี้มีวรยุทธ์สูงส่ง ข้างในมีอยู่กี่คนล้วนดูออกทั้งสิ้น หนทางเส้นนี้ของพวกเจ้าคงต้องพบความยากลำบากไม่ได้กินได้นอน ข้าจึงมีความตั้งใจจะนำสิ่งของเหล่านี้มาให้พวกเจ้า รีบออกมารับเสียเถอะ” หญิงสาวผู้งดงามรีบวางกล่องอาหารขนาดใหญ่สองกล่องลงทันที จากนั้นก็หัวเราะเสสรวลให้กับพวกที่หลบอยู่ในกองฟาง “ข้าชื่อจื่อ เป็นแม่นางของทิงเฟิงโหล ไม่ใช่คนของราชสำนัก อย่าสงสัยข้าเลย”
ซ่านเซิ่งหานค่อยๆตกตะลึง ไม่รีรอคำกระซิบกระซาบของคนข้างกาย เขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นแล้ว
ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องอย่างเบาบาง เขาแค่มองเห็นดวงตาคู่นั้นของกู้อ้าวเวยก็สามารถดูออกในทันทีว่าเป็นนาง และกู้อ้าวเวยก็มองเห็นเขาได้ชัดเจนเช่นกัน ดวงตาเบิกโตขึ้นในทันที “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาด้วยตัวเอง…….”
“ข้าก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเจ้าจะมาด้วยตัวเอง” ซ่านเซิ่งหานยิ้มเยาะ
ทั้งสองมองหน้ากันและกัน คนชุดขาวค่อยๆขมวดคิ้ว กู้อ้าวเวยเดินออกมายืนด้านหน้า พูดอย่างจนปัญญา “ไม่ต้องพูดมากเรื่องฐานะของข้า แต่หากเจ้าเปิดเผยฐานะของตนเอง คนที่นี่ก็อาจจะเชื่อเจ้าได้เช่นกัน”
ฐานะ!
เมื่อได้ยินคำสองพยางค์นี้ ผู้อพยพล้วนแต่ตื่นเต้นกันขึ้นมา ส่งสายตามองมาทางเด็กหนุ่มคนนี้ทั้งสิ้น
ซ่านเซิ่งหานเพียงแต่หยิบเอาป้ายที่เอวของเขาออกมา พูดอย่างอดไม่ได้ “นี่ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องนี้ พวกเจ้ารู้ไว้แค่ว่า เข้าไปเมืองเทียนเหยียนให้ได้ก็พอ”
ผู้อพยพหลายคนทำตาโต เด็กหญิงทั้งสองเริ่มมีตาแดงก่ำ
ป้ายที่เอวนั้นมีอักษรสามตัวและรูปมังกรเจียวหลง ทั่วทั้งชางหลานล้วนรู้ได้ทันทีว่านี้คือสถานะขององค์ชายสาม
แต่คาดไม่ถึงเลยว่าองค์ชายสามจะมาติดตามผู้อพยพอย่างพวกเขามาตลอดเส้นทางเป็นเวลากว่าสิบวัน!
ผู้คนเริ่มออกไปรับประทานอาหาร จื่อกลับขึ้นหลังม้ามุ่งหน้าไปยังภูเขาเพื่อขนน้ำจำนวนหลายถุงลงมา และค่อยๆปลอบโยนพวกเขาทีละคน “มีเพียงแต่กินอิ่มแล้ว จึงจะสามารถมีกำลังที่จะเรียกร้องความยุติธรรม และจะต้องรายงานตามความจริงเท่านั้น ไม่สามารถพูดไม่ดีจากอคติส่วนตัวกับพวกขุนนางได้”
จื่อพูดพลางคอยดูแลคนเหล่านั้น กุ่ยเม่ยและคนชุดขาวคอนอารักขาจ้องมองอยู่รอบๆ ในกรณีที่มีคนมา
กุ่ยเม่ยไม่ไว้ใจพวกคนชุดขาว รู้ดีว่าพวกเขาทำร้ายกู้อ้าวเวยอยู่หลายครั้ง และคนชุดขาวก็ไม่ไว้ใจกุ่ยเม่ยเช่นกัน เขาไม่ได้มาเพื่อสิ่งนี้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อคิดถึงกู้อ้าวเวยก็ล้วนแต่มาด้วยตนเอง ทั้งสองคนก็ยิ่งระมัดระวังกันเกินร้อย
และด้านหลังของวัดร้าง กู้อ้าวเวยเพิ่งจะกล้าปลดผ้าคลุมหน้าออก มองไปยังซ่านเซิ่งหาน “ถ้าทำเพื่อแสดงความดีของตัวเองต่อหน้าฮ่องเต้ ก็ไม่เห็นต้องตามมาเป็นสิบวันแบบนี้เลย”
“ถ้าไม่ติดตามมาเป็นสิบวัน ก็ไม่มีทางรู้ความแตกต่างระหว่างพวกผู้อพยพกับคนของเมืองเทียนเหยียน” ซ่านเซิ่งหานอุ้มถุงน้ำในมือของเขาไว้ แล้วพูดสิ่งที่คิดอยู่ลึกๆ “ในที่สุดก็ได้รู้ว่าทำไมเจ้าถึงยินดีที่จะรับรักษาคน โดยไม่แบ่งแยกว่าจะรวยหรือจน”