บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 400
บทที่ 400 หลักฐานชัดเจน
ตามที่ท่านชายชุดขาวพูดไว้เลย ผู้ที่มาเยือนคือองค์ชายสามซ่านเซิ่งหาน
กู้อ้าวเวยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ การเดินทางในสองวันนี้มันช่างสำคัญนักสำหรับซ่านเซิ่งหาน
แต่ทำไมจึงอยู่ในช่วงนี้ของหมากเกมนี้ด้วย มาหานางที่นี่
ซ่านเซิ่งหานเปิดงอบที่คุมหัวออก เยว่ที่อยู่ข้างกายเอาโคมไฟวางไว้ด้านข้าง
“วันนี้ที่มา ข้ามีเรื่องที่สำคัญมากจะคุยกับเจ้า” ท่าทางของซ่านเซิ่งหานดูเคร่งขรึมมาก เอาจดหมายสองฉบับคลี่ออกมาจากในแขนเสื้อของตนเอง วางไว้ที่ด้านหน้าของกู้อ้าวเวย “เรื่องที่ให้ร้ายตระกูลหยุนนั้น ที่จริงเป็นฝีมือของท่านลุง”
กู้อ้าวเวยถลึงตาโต รีบก้าวเดินออกมา คลี่จดหมายสองฉบับนั้น
ในนั้นคิดไม่ถึงว่าจะเป็นจดหมายที่ซ่านจินจื๋อเขียนให้กับฉีเหยียนป่าย และเรื่องราวเหล่านั้นบนจดหมายยิ่งไม่ต้องอธิบายให้มากความเลย ก็แค่เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ก่อนและหลังที่ตระกูลหยุนทรยศขายชาติในตอนนั้น เหมือนกันไม่มีผิด
ทำไมเป็นเช่นนี้……
เมื่อครู่ความหวังที่โชติช่วง ถูกทำลายหายไปอีกครั้งในชั่วพริบตาเดียว
นางล้มตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้ในทันที แต่ภายในช่วงที่ครุ่นคิดอย่างนิ่งเงียบอยู่นั้น เงยหน้าขึ้นมามองซ่านเซิ่งหาน “ยังมีหลักฐานอื่นอีกหรือไม่”
“พยานคนอื่นๆ ล้วนถูกฆ่าตายหมดแล้ว ล้วนถูกยาพิษตาย” ซ่านเซิ่งหานพูดถึงตรงนี้ ส่งสายตาไปทางเยว่ที่อยู่ข้างกาย
เยว่เอาขวดใบหนึ่งส่งให้อย่างนอบน้อม ในนั้นเป็นเลือดจำนวนหนึ่ง
กู้อ้าวเวยได้เพียงเปิดและดมอยู่ครู่หนึ่ง หัวใจดวงนั้นก็ถูกผลักเข้าไปในเหวลึก เย็นชาอย่างสิ้นเชิง
พิษนี้เป็นพิษที่เมี่ยวหารทำขึ้นมา จำนวนไม่น้อยนักที่จะสามารถเจจอกับยาพิษนี้ได้ ยาพิษนี้ทำให้ผิวหนังเสียโฉมได้ อีกทั้งยังเผาไหม้หลอดคอได้ด้วย แต่ในเมืองเทียนเหยียน ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถหาซื้อยาพิษนี้ได้
เพราะว่าที่นี่มีตัวยาสองชนิด มีแค่ที่บ่อน้ำพุร้อนที่เมืองเยว่ซาน
มีทั้งหมดนี้แล้ว หลักฐานที่มีทุกชิ้นเกือบทั้งหมดล้วนชี้ไปที่ซ่านจินจื๋อ แต่ยังไงกู้อ้าวเวยก็ไม่เชื่อ “ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับเมี่ยวหาร งั้นซูพ่านเอ๋อไม่มีเหตุผลที่จะไม่รู้ ข้าจะไปสืบเอาความจริงออกมาเอง”
“ความจริงทั้งหมดถูกกองอยู่ตรงหน้าแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นสิ่งที่ซ่านจินจื๋อทำเพื่อซูพ่านเอ๋อ” ซ่านเซิ่งหานเดินมาที่ข้างกายของกู้อ้าวเวยอย่างเจ็บใจ โอบไหล่ของนางแน่น “หากบัดนี้เจ้ายังไม่หลีกหนีไปอีก งั้นวันข้างหน้า……”
“แม้ว่าตอนนี้ข้าจะหนีไปอยู่ที่ข้างกายเจ้า วันข้างหน้าเขาก็ไม่ปล่อยข้าไปหรอก” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นมา ปัดมือของซ่านเซิ่งหานออกไป ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “แม้ว่าข้าจะต้องไป ก็ต้องจากไปอย่างสง่าผ่าเผย”
ซ่านเซิ่งหานมองดูกู้อ้าวเวยอย่างโศกเศร้าหดหู่ กัดฟันแน่นอย่างเจ็บปวด
เดิมทีเขาคิดว่าเพียงแค่มีหลักฐานพวกนี้ กู้อ้าวเวยก็จะผิดหวังจากซ่านจินจื๋อ แต่บัดนี้ เขาเพิ่งจะพบว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ถูก
ที่แท้เขาประเมินต่ำเกินไป กู้อ้าวเวยมีความเชื่อและหัวใจให้กับซ่านจินจื๋อ
กู้อ้าวเวยคิดมาตลอดว่า เขามองซ่านจินจื๋อทะลุปรุโปร่งมาตั้งแต่ต้น
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง กู้อ้าวเวยกลับเข้าสู่ท่าทางที่ปกติเช่นเดิม มองไปทางซ่านเซิ่งหานอย่างเรียบเฉย “องค์ชายสามน่าจะมีเรื่องที่สำคัญต้องทำมากกว่า ข้ารู้สึกว่าท่านจะต้องไปสืบคนที่อยู่เบื้องหลังของทิงเฟิงโหลแล้วล่ะ คนที่อยู่เบื้องหลังของพวกนาง ได้ยินว่าเป็นเพื่อนของท่านแม่ข้า ท่านก็จำเป็นต้องการคนที่เป็นพ่อค้ามาเป็นคนคอยสนับสนุนท่าน ทิงเฟิงโหลไม่นับว่าใหญ่ เกิดเรื่องแล้วก็สืบไปไม่ถึงพวกเขา แต่กลับมีคนที่ปราดเปรื่องไม่น้อยที่สามารถช่วยท่านได้”
“ทิงเฟิงโหลหรือ” เยว่แปลกใจ “นั่นล้วนเป็นหญิงสาวกันทั้งนั้นมิใช่หรือ”
“อย่าดูถูกผู้หญิงเชียวนะ สิ่งที่ทิงเฟิงโหลนี้รู้ เรื่องที่สามารถทำได้มีเยอะมากกว่าที่พวกท่านคิดไว้” กู้อ้าวเวยหัวเราะเย็นชาหนึ่งเสียง สายตาตกไปอยู่บนฉากกั้นลมนั้น “อีกสักสองสามวันข้าก็จะกลับไปที่เทียนเหยียน ก่อนที่จะจากฉีหรัวไป พวกท่านจะต้องเอาพิษหนอนพวกนั้นออกมาให้ได้อย่างแน่นอน เพียงแค่ได้ข่าวการตายของข้า ก็ให้เอาพิษหนอนไปหาข้า”
“ข่าวการตาย……” ซ่านเซิ่งหานพูดพึมพำกับตัวเอง “หากเจ้าตายไป อะไรก็ห้ามเอาไปเด็ดขาด”
“สิ่งของที่ข้าต้องการให้หลงเหลือไว้ ก็ให้กุ่ยเม่ยนำไปนานแล้ว” กู้อ้าวเวยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ในดวงตามีแสงประกายอันอบอุ่นสะท้อนอยู่ แต่กลับเย็นชาเป็นน้ำแข็ง “ในเมื่อข้ารับปากจะช่วยท่านให้ได้มาซึ่งตำแหน่งมกุฎราชกุมารแล้ว ก็จะไปอยู่ที่ข้างกายเจ้า ก็จะไม่คืนคำของตัวเองหรอก ที่จริงแล้วเขาไม่เหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้เลย”
“พระชายา…..”
“ข้าสั่งเสียเสร็จแล้ว เรื่องเหล่านี้ข้ายังต้องการการทำใจเพียงลำพังชั่วครู่” กู้อ้าวเวยพูดขัดเยว่ขึ้นมา
ดูเหมือนว่าซ่านเซิ่งหานยังอยากจะพูดอะไรอีกหน่อย เยว่ได้แค่ดึงเขาไว้ ส่ายหน้าอย่างจำใจ สองคนได้เพียงจากไป
รอจนทั้งสองคนจากไป กู้อ้าวเวยก็เผาจดหมายเหล่านั้นทิ้ง
ท่านชายชุดขาวเดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นลม มองดูจดหมายพวกนั้นกลายเป็นขี้เถ้าไปนานแล้ว ขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด “หากยังเหลือจดหมายพวกนี้ไว้ เจ้าก็จะทวงความยุติธรรมคืนให้ตระกูลหยุนได้”
“ตอนนี้ตระกูลหยุนไม่ง่ายเลยที่จะตัดความสัมพันธ์กับราชวงศ์ได้ แม้ว่าจะทวงคืนความยุติธรรมก็ได้แค่ต้องเกี่ยวโยงกับรราชวงศ์ต่อไป สู้ตัดให้ขาดไปเลยไม่ดีกว่าหรือ” กู้อ้าวเวยหายใจเข้าไปลึกๆ หนึ่งเฮือก ปวดหัวจนต้องนวดมุมหน้าผากไปมา “เพราะเรื่องนี้เขาไม่เห็นจำเป็นจะต้องมาถึงที่นี่เลย ก็ควรจะรอข้ากลับไปค่อยพูดก็ได้”
“ที่จริงเขาชอบพอเจ้า นี่ไม่ใช่เพราะอยากพาเจ้าไปด้วยความตั้งใจจริง ดังนั้นจึงมาถึงนี่” ท่านชายชุดขาวเดินมาที่ข้างกายนาง เอาเศษขี้เถ้าพวกนั้นทั้งหมดโยนออกไป
“แต่ข้ากลับจำเป็นต้องตาย จึงจะไม่มีใครทำอะไรตระกูลหยุนได้ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็เพราะการติดค้างน้ำใจกันจึงต้องชดเชยให้ตระกูลหยุน ข้าคิดไว้นานแล้ว ไม่ใช่เพราะเหตุนี้จึงเปลี่ยนแปลงหรอก” กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมา แต่กลับยกมุมปากขึ้น ค่อยๆ วางไปบนบ่าของท่านชายชุดขาว “อีกทั้งข้าทำให้เรื่องทิงเฟิงโหลเข้าสู่ราชสำนัก เจ้าไม่โทษข้าใช่ไหม”
“ช้าเร็วเรื่องทิงเฟิงโหลก็ต้องเข้าสู่ราชสำนัก เจ้าให้ที่พักพิงพวกนาง ข้าจะไปโทษเจ้าได้อย่างไรกัน” ท่านชายชุดขาวพูดจบ ได้แค่มองออกไปที่นอกหน้าต่าง ก็หัวเราะออกมา “ท่านแม่ของเจ้าไม่ใช่ไม่ยอมเจอเจ้า แต่ไม่กล้าสู้หน้าเจ้า เจ้าแค่ต้องการเพียงจุดนี้ก็เพียงพอแล้ว”
พูดจบ ไม่รอให้กู้อ้าวเวยคิดที่จะถามอะไรต่อ ท่านชายชุดขาวก็จากไปแล้ว
แต่นอกถนนสองเส้น ท่านชายชุดขาวก็ม้วนเข้าไปในรถม้าสีดำคันหนึ่ง บนรถม้ายังแขวนระฆังเหล็กอยู่สองอัน
ภายในรถม้า ฮูหยินที่มีผ้าคลุมปิดหน้าผู้นั้นบัดนี้ได้ถอดผ้าคลุมหน้าออกแล้ว ปรากฏให้เห็นใบหน้านั้น สายตาที่มองมาทางท่านชายชุดขาวก็เปลี่ยนไป “เมื่อตอนนั้นที่ข้าช่วยเจ้ากลับมา ก็ไม่ได้จะให้เจ้ายุ่งวุ่นวายอะไรมากขนาดนี้”
“ลูกสาวท่านความกล้าเยอะยิ่งกว่าฟ้าเสียอีก ท่านแม้แต่ความกล้าที่จะเจอนางยังไม่มีเลย ได้แค่กล้าที่จะให้คนของทิงเฟิงโหลแอบปกป้องดูแลนางอยู่แค่นั้น” ท่านชายชุดขาวถือพัดกระดูกอยู่ส่ายหัวอย่างจำใจ “ดูท่านสิ บัดนี้ด้วยความบังเอิญจึงพบเจอกันเข้า ท่านแม้แต่อาการป่วยก็ไม่เตรียมการที่จะรักษา ยังจะเตรียมตัวจากไปในช่วงข้ามวันนี้อีก”
ฮูหยินยกมือขึ้นมา แอบสัมผัสหน้าของตนเอง ทอดถอนใจหนึ่งเฮือก “ข้ากลัวว่านางจะโทษข้า……เมื่อตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะข้า…..”
“พอแล้วพอแล้ว ฮูหยินท่านอย่าได้พูดอีกเลย พวกเรารีบเดินทางเถอะ คนที่ประเทศเอ่อตานที่นั่นตอนนี้กำลังตามหาท่านอยู่ ในเมื่อท่านไม่พบลูกสาว ก็รีบออกเดินทางเถอะ” ท่านชายชุดขาวรีบพูด
ฮูหยินเปิดม่านรถออกอย่างจำใจ ค่อยๆ มองไปทางบ้านพักนั้นอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงค่อยถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก ให้คนรีบออกเดินทางให้ทัน