บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 403
บทที่403 ใกล้จะตาย
ปายเสาและพุทราเลียขนอยู่ข้างหมอน กู้อ้าวเวยนอนเอนกายอยู่บนเตียง สองสามวันนี้ที่ตื่นขึ้นด้วยความจำเป็นจริงๆแต่ก็ไม่เคยลุกออกจากเตียงเลยสักครั้ง สีหน้าก็ค่อยๆซีดเซียวทุกวันไม่ได้ดีขึ้น
ซ่านจินจื๋อมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งกลับถูกต้านไว้นอกประตูจนกระทั่งวันนี้หลังจากการล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง ซ่านจินจื๋อจะไปที่อาณาเขตของตนเองพร้อมกับพี่น้องตระกูลฉีและหยินเชี่ยว เธอถึงเพิ่งขึ้นรถม้า แต่ก็ยังคงอุ้มปายเสาที่ค่อนข้างจะเชื่อฟังไว้อยู่ในมือพร้อมกับลูบขน
ซ่านจินจื๋อเห็นท่าทางสง่าของเธอ อยู่ในรถม้ายังไม่ยอมถอดผ้าคลุมหน้าออก ใต้ตาที่ช้ำๆคู่นั้นยิ่งทำให้เธอดูซีดเซียวขึ้น
“เวยเอ๋อ….”
“ถ้ามันไม่ได้มาจากใจจริง คำว่าเวยเอ๋อสองคำนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเรียก” กู้อ้าวเวยไม่เงยหน้าขึ้น เพียงแค่พูดต่อว่า “ข้าได้มอบตำรายาให้ท่านอ๋องแล้ว เพียงแค่หาเลือดมังกร(ต้นหญ้า)กับถุงน้ำดีหงส์ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องแสร้งตีหน้าซื่อหรอก”
“นี่เจ้าคิดว่าที่ข้าทำให้เจ้าทั้งหมดเพื่อใช้เจ้างั้นหรอ?” ซ่านจินจื๋อในตอนนี้ไม่ได้มีความโกรธเพียงแค่จนปัญญา
“ไม่หรอก”กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นอย่างเกียจคร้านนัยน์ตาสองข้างไม่มีความไหวหวั่น “ท่านอ๋องไร้ความปรานี แม้จะใช้คนก็ไม่ยอมซื้อใจเขาแต่ใช้กำลังอำนาจมาข่มขู่ นี่คือที่ที่ยุติธรรมที่สุดของท่านอ๋อง”
คำพูดประชดประชันต่อหน้าคนเลี้ยงม้านี้ทำให้อกสั่นขวัญแขวน
แต่ซ่านจินจื๋อที่ปกติไม่เคยอารมณ์ดีกลับใจเย็น เพียงแค่มองดวงตาของกู้อ้าวเวยก็ใจร้ายอีกไม่ลง แล้วก็นึกถึงองค์ชายสามที่จ้องเธอตาเป็นมันมานานก็เกิดความอิจฉาในใจมากยิ่งขึ้นจนไม่ยอมปล่อย
“ข้าจะดูแลตระกูลหยุนอย่างดี”
“ตอนนี้ตระกูลหยุนตัดความสัมพันธ์กับราชสำนักแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ดี”กู้อ้าวเวยก้มหัวลงอีกครั้งแล้วเกาคางปายเสาเบาๆ แล้วพูดเสียงแผ่วว่า “ถ้าราชสำนักกลัววิญญาณคนตระกูลหยุน เมื่อเทียบกับสร้างตำหนักเจิ้นหุน (ตำหนักผู้พิทักษ์) สู้สร้างวัดเพื่อโปรดคนและสัตว์ยังดีกว่า”
ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“บนโลกนี้มักมีคนที่อยู่มานานจนพอจะรู้ความลับอะไรบางอย่าง”กู้อ้าวเวยฟังปายเสาร้องเหมียวๆอย่างสบาย พร้อมกับยกมุมปากขึ้น “ระหว่างท่านกับข้าที่ติดหนี้กันอยู่ ท่านก็ให้ใบหย่าเป็นของขวัญแก่ข้า ตราบใดที่ข้าบอกฮ่องเต้ว่านี่เป็นความสมัครใจของข้า เขาจะไม่ตำหนิท่านอย่างแน่นอน”
“เจ้าคิดว่าที่ข้าไม่หย่ากับเจ้าเพราะฮ่องเต้งั้นรึ?”
เมื่อสิ้นเสียง รถม้าก็หยุดนิ่งลง
กู้อ้าวเวยเปิดม่านรถขึ้นมองไปที่ประตูเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกล จากนั้นก็เปิดม่านรถออกแล้วลงรถม้าทำหูทวนลมกับคำพูดของซ่านจินจื๋อ
เธอมองไปยังคนที่อยู่ประตูเมือง แล้วอุ้มปายเสาแล้วค่อยๆเดินเข้าไป
ซ่านเชียนหยวนยืนตระหง่าน แม้แต่ฉีหลินที่ปกติจะเอ้อระเหย ตอนนี้ก็เปลี่ยนท่าทางไปเป็นสง่างาม เมื่อเห็นทั้งสองคนกู้อ้าวเวยก็อดไม่ได้ที่จะอยากหัวเราะ
ยังจำได้ว่า สมัยก่อนสองคนนี้มักจะไปกินอาหารแล้วก็ชักดาบ ต้องให้ตนเองที่ยุ่งๆออกไปดู
ส่วนหยินเชี่ยวที่อยู่ข้างๆก็เริ่มตาแดง”รีบพุ่งเข้ามาหาอ้าวกู้เวยที่ไม่ยอมจากไป กู้อ้าวเวยถูๆหัวของนาง “ไปครั้งนี้เกรงว่าจะไม่ได้กลับมา ถ้ามีเวลา ข้าจะไปหาพวกเจ้านะ”
“ข้ายังอยากอยู่ต่อ……”
“คนแต่งงานแล้วยังพูดอะไรอีก”กู้อ้าวเวยตบๆหน้าผากเธอแล้วเอาปายเสาไปไว้ในอ้อมแขนนาง “ดูแลปายเสาและพุทราดีๆ เจ้าแมวสองตัวนี้ไม่ค่อยเข้ากับข้า มักชอบก่อเรื่องไปทั่วนะ”
หยินเชี่ยวอุ้มปายเสาไว้ จากนั้นก็เห็นคนด้านหลังของกู้อ้าวเวยอุ้มพุทราที่แยกเขี้ยวยิงฟันมาไว้ในอ้อมแขนของฉีหลิน
เมื่อมองพุทราที่อยู่ในอ้อมแขน เสี่ยวหลินก็รู้สึกว่าเวลาเปลี่ยนแปลงไป พุทราในตอนนี้ ก็เป็นเขาที่เก็บกลับมาเลี้ยงเพื่อหวังว่าจะให้อยู่เป็นเพื่อนกู้อ้าวเวยคลายเหงา แต่ตอนนี้พุทราก็กลับมาอยู่ในมือเขาอีกครั้งตอนที่เขาแต่งงานแล้ว
แต่เมื่อมองที่กู้อ้าวเวย หลังจากที่รอพวกเขาออกมาแต่กลับไม่มีเหลือสักตัว
“เจ้า…..”ซ่านเชียนหยวนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
“ข้าทำไม?” กู้อ้าวเวยหันหัวกลับไปถามเขาแล้วยิ้มเบาๆ “หลังจากกลายเป็นอ๋องจงผิงแล้ว กินแล้วจะชักดาบกี่ครั้งก็ได้”
ฉีหลินกับซ่านเชียนหยวนก็เขินอาย ฉีหลินแค่มองแว้บเดียวไปที่กู้อ้าวเวยแล้วก็พยักหน้า
กู้อ้าวเวยเข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าองค์ชายสามจะเอาแมลงพวกนั้นมาจากมือของฉีหรัว
สองสามคนนั้นไม่พูดอะไรมากมาย นอกจากหยินเชี่ยวที่เกือบจะร้องไห้แล้วทั้งหมดก็สงบดี
ซ่านจินจื๋อกำชับซ่านเชียนหยวนเล็กน้อยสองสามประโยค แล้วก็สั่งให้เขาไปหากู้เหยียนจือเพื่อตีสนิท อย่างน้อยที่สุดกู้เหยียนจือก็ไม่ใช่คนของอีกฝั่ง ซ่านเชียนหยวนแสดงให้เห็นว่า เข้าใจนั่นต้องมีประโยชน์แน่นอน
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถม้าของอ๋องจงผิงซ่านเชียนหยวนก็ค่อยๆออกตัว
กู้อ้าวเวยไม่แม้แต่จะมองเบื้องหลังขบวนรถเลยด้วยซ้ำ แล้วจึงขึ้นมาบนรถม้าอย่างช้าๆแล้วนั่งลงตรงเบาะ จากนั้นสาวใช้ก็วิ่งเหยาะๆมาส่งซุปยาร้อนให้ กู้อ้าวเวยขมวดคิ้วทันที “กลับไปข้าค่อยดื่ม”
“แต่หมอบอกว่า…..”
“ข้าเองก็เป็นหมอจะไม่รักสุขภาพตนเองได้อย่างไร”
ซ่านจินจื๋อรับซุปยาร้อนมาจากมือสาวใช้ แล้วส่งให้ในมือกู้อ้าวเวย
ประคองซุปยาร้อนขมๆไว้ กู้อ้าวเวยก็พูดเรียบๆว่า “ท่านอ๋องคิดจริงๆหรือว่า….ร่างกายข้ายังมีทางรอด?”
“เจ้า…..”
“โรคระบาดลุกลาม แม้ว่าข้าสามารถเหลือชื่อของพระชายาจิ้งเอาไว้ให้ท่านได้ แต่ท่านอ๋องคิดจริงๆหรือว่าข้าสามารถถอยออกมาได้?” กู้อ้าวเวยยิ้มอย่างขมขื่น ดื่มซุปยาที่อยู่ในมือให้หมด แต่ในใจเธอกลับไม่ได้ใส่ใจอะไรมานานแล้ว
ในเจ็ดวันเจ็ดคืนหลังจากที่หิมะตกหนักผ่านไป เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะจากไป
ใช้วันนี้ มันก็เป็นแค่ความโง่เขลาที่สุด
ซ่านจินจื๋อมองถ้วยยาที่ว่างเปล่า ในใจก็รู้สึกสับสน
ทำไมคนที่เขารักทั้งหมดต้องเจ็บป่วยทรมาน
เมื่อคิดเช่นนี้ ซ่านจินจื๋อก็เอื้อมมือออกไปคิดจะเอาเธอเข้ามาในอ้อมกอดแต่กู้อ้าวเวยกลับหลบเบาๆ แล้วก็พิงไว้ “เวลาข้ามีไม่เยอะนัก ข้าแค่อยากมีช่วงเวลาที่เหมือนคนปกติในร้านยาเหย้า ท่านอ๋องจะยอมหรือไม่?”
“เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือไง?” ซ่านจินจื๋อยังดื้อที่จะจับข้อมือเธอไว้แล้วมองดวงตาเธอ “ถ้าสามารถ….”
กู้อ้าวเวยส่ายหัวอย่างจนใจ “หากไม่ใช่การสิ้นคิด ข้าก็ไม่อยากให้คนรอบๆตัวข้าต้องจากไป ข้ารู้ว่าชีวิตไม่มีวาสนาต่อท่าน ถ้าเทียบกับให้ไปพัวพันกับความลำบากขอให้ท่านอ๋องเรียนรู้ที่จะปล่อยความหมกมุ่น อย่าดึงดัน”
ซ่านจินจื๋อไม่รู้จะพูดอะไร
เดิมทีกู้อ้าวเวยคิดจะยืมเรื่องที่ตนเองใกล้จะตาย แล้วก็สามารถจากไปได้อย่างถูกจังหวะเป็นขั้นเป็นตอนในกาลเวลาข้างหน้า แต่ในสายตาของซ่านจินจื๋อนี่เหมือนเป็นการสาปแช่งจากสวรรค์ เสียใจราวกับถูกหนามแหลมห่อหุ้มหัวใจไว้ก็ไม่ปาน
ถ้าปล่อยตามที่ใจเธอต้องการ เขาก็ไม่ยอม
แต่ถ้าไม่ปล่อยแล้วเขาจะชดเชยสิ่งที่เธอต้องการในสองสามปีนี้ได้อย่างไร?
รถม้าค่อยๆออกตัวไปยังตำหนักอ๋อง ช่วงเวลาเดินทางนี้ซ่านจินจื๋อคิดไปคิดมาแต่สุดท้ายก็ไม่ยอมปล่อยมือ แล้วก็ยิ่งไม่ยอมที่จะรู้สึกละอายใจต่อกู้อ้าวเวย ตอนที่ลงรถม้า เขาเอากู้อ้าวเวยร่างเพรียวเข้าในอ้อมกอดแล้วส่ายหัวด้วยสีหน้าลำบากใจ
กู้อ้าวเวยกัดริมฝีปาก ทนดูความเจ็บปวดในสายตาของซ่านจินจื๋อไม่ได้
แต่สิ่งที่ควรตัด ก็ต้องตัด
“ท่านอ๋องยืนกรานแล้ว งั้นข้าก็จะอยู่”กู้อ้าวเวยผละออกจากอ้อมแขนของซ่านจินจื๋อแล้วเดินไปข้างหน้าพร้อมกับพูดเสียงต่ำว่า “ยังไงก็ตาม ข้าไม่มีความอาลัยอาวรณ์อะไร แม้ข้าจะตายอยู่ที่ตำหนักอ๋องก็จะมีเพียงแต่ท่านอ๋องผู้เดียวที่เศร้า นั่นก็พอที่จะชดเชยให้เรื่องแต่ก่อนแล้ว…..”