บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 408
บทที่408 แผนทีละขั้น
บนหนทางยาวไกล คนบนรถม้าไม่ยอมให้สั่นสะเทือนจึงต้องไปอย่างช้าๆ
คืนนี้จึงต้องพักอยู่กลางเขาห่างไกลบ้าน
ในช่วงกลางดึก ผิงชวนกับหลิ่วเอ๋อร์ได้ยินเสียงกระดิ่งเบาๆ ก็ฟื้นขึ้นมาทันทีก็เห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งเข้ามาในป่าลึกอย่างช้าๆเมื่อรถเพิ่งหยุดลง คนที่มีผ้าปิดหน้าก็รีบกระโดดลงแล้วรีบมาที่ในบ้าน
เมื่อเห็นกู้อ้าวเวยนอนปิดตาสนิทอยู่ที่เตียง คนที่มีผ้าปิดหน้าก็ลุกลี้ลุกลนทันทีรีบจับชีพจรนาง แล้วพูดอย่างโมโหว่า “ยาพิษสองชนิดนี้เป็นยาพิษของตระกูลหยุนของข้า! ซ่านจิงจื๋อหลอกคนเกินไปจริงๆ ตอนนั้นข้าน่าจะลงมือแต่แรก ให้เขากู้เฉิงถูกค้นบ้านแล้วเอาเว่ยเอ๋อกลับมา”
ผิงชวนเห็นว่านางโมโหก็แค่มายืนข้างๆแตะหลิ่วเอ๋อร์เบาๆ
หลิ่วเอ๋อร์ก็จนปัญญาเพียงแค่เดินไปข้างหน้าจับนางไว้แต่พูดเบาๆว่า “เจ้านาย นายหญิงน้อยก็ยังโทษท่านนะ นางอยากพบท่านแต่ท่านกลับไม่ยอม พูดไปพูดมาก็เป็นความผิดของท่าน…..”
“ข้า….”หยุนหว่านไม่มีความหยิ่งยโสเปิดกล่องยาของตนเองด้วยความทุกข์ใจแต่ก็ถูกหลิ่วเอ๋อหยุดไว้ “ยังมีเวลาอีกสองสามชั่วโมงองค์ชายสามก็น่าจะถึง ทำไมท่านไม่ไปรอที่หลิ่งหนานตระกูลหยุนหล่ะ แต่ต้องระวังไม่ให้แม่หม้ายจู้พบ”
หยุนหว่านก็นิ่งชะงักทันที คิดไปครู่ “แต่สองชนิดนี้เป็นยาพิษของตระกูลหยุน ทำไมไปอยู่ในมือซ่านจินจื๋อ ซูพ่านเอ๋อนั่นก็เป็นเด็กผู้หญิงชนบททำเรื่องสกปรกส่วนฝีมือการรักษาโรคของเมี่ยวหาร ยาแกล้งตายนี้มีอุบายซ่อนพิษอยู่ ถือเป็นเคล็ดลับของหมออูเจียงเยี่ยน หรือว่าหมออูเจียงเยี่ยนซ่อนตัวอยู่ในตำหนักอ๋องจิ้ง…..”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หยุนหว่านก็ถอดผ้าคลุมหน้าออก มองไปที่หลิ่วเอ๋อร์อย่างเย็นชา “ข้าจำได้ว่าหมออูนั่นเป็นเด็กที่ไม่เตะตาคนนึงของแม่ทัพอ้าย แยกไม่ชัดว่าชายหญิง ชื่ออะไรก็ลืมแต่วิ่งได้ไวมาก”
“ชื่ออ้ายจือ คนนั้นตอนนี้ออกจากตำหนักอ๋องจิ้งไปแล้วแต่ก่อนหน้านี้เข้ามาที่ตำหนักอ๋องจิ้งได้ยังไงข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ตอนนี้กู้เฉิงยังไม่ตาย ประเทศเอ่อตานนั้นก็ไล่ไม่ปล่อย เจ้านายท่านต้องระวังไว้หน่อย” หลิ่วเอ๋อร์ถอนหายเบาๆ
สองสามคนนั้นยังอยากพูดต่อแต่ผิงชวนที่อยู่ข้างๆก็ลืมตาขึ้นมา “คนขององค์ชายสามจะถึงแล้ว”
“แต่ข้าร้อนใจจริงๆไม่รู้เพื่อความฉลาดหรือความสวยของกู้อ้าวเวย”หยุนหว่านรีบใส่ผ้าคลุมแล้วออกไปทางด้านข้างอย่างเงียบๆแล้วก็เซไปก้าวนึง มองผิงชวนกับหลิ่วเอ๋อร์ที่ส่ายหัวอย่างจนปัญญา ทั้งสองคนมองตากันแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ
องค์ชายสามนี่ทำไมถึงกลับมาเร็วขนาดนี้
แต่ผ่านไปสักพัก ซ่านเซิ่งหานก็รีบพาองครักษ์สองคนกลับมา ดูเหมือนว่าสองสามคนยังเดินวนอยู่ในป่า น่าจะเป็นคนของหยุนหว่านที่คิดวิธีดึงพวกเขาออกไปแล้วก็ให้เจ้านายหยุนหว่านที่ไม่เป็นศิลปะการต่อสู้รีบออกไป
ซ่านเซิ่งหานรีบมองไปที่กู้อ้าวเวยก็พบว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรก็โล่งใจ
สองสามคนก็เร่งฝีเท้า ระหว่างทางนี้ซ่านเซิ่งหานอยู่ในรถม้ากับกู้อ้าวเวยสองคน ส่วนหลิ่วเอ๋อร์ก็ซื้อการแพทย์ข้างทางจำนวนไม่น้อยใส่รถแล้วก็พูดกับซ่านเซิ่งหานว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมาด้วยตนเองก็ได้ หลิ่งหนานแม้จะอบอุ่นแต่เมื่อตอนหนาวก็หนาวมาก”
“อยู่เทียนเหยียนกับเหล่าขุนนางสู้กันไปมาสู้มากับเจ้าดีกว่า”ซ่านเซิ่งหานจัดหนังสือการแพทย์ทีละเล่มๆ แล้วก็มองที่กู้อ้าวเวยก็ต้องขมวดคิ้ว “รีบเดินเถอะ ลมหายใจนางอ่อนลง”
ในตอนนี้ ตัวอักษรบนข้อมือของกู้อ้าวเวยได้ลบหายไปหมดแล้ว หลิ่วเอ๋อร์บอกว่าตัวอักษรบนข้อมือเป็นน้ำปนเปื้อนของแมลงที่มีพิษ หลังจากคืนนึงก็จะค่อยๆกัดผิวหนังแล้วหนอนนั่นก็จะมา ดังนั้นตลอดทางที่เดินมาหลิ่วเอ๋อร์กับผิงชวนหางทางแก้การกัดกร่อนพิษนี้ แต่บนข้อมือจะยังทิ้งร่องรอยไว้
น่าจะเพราะก่อนกู้อ้าวเวยกินยาแกล้งตายต้องเจอเรื่องอะไร เกรงว่าน่าจะจำใจถึงใช้พิษนี้ทิ้งร่องรอยไว้
“ข้าวแม่น้ำนี้ไปแล้วเดินไปอีกสองวันก็น่าจะถึงหลิ่งหนานแล้ว”ผิงชวนที่ถูกบังคับให้อยู่นอกขับรถพูดเบาๆ
“ในวันปกติหลิ่นหนานจะอบอุ่นแต่หน้าหนาวก็ยากลำบากมาก” หลิ่วเอ๋อร์ก็ชะโงกหน้าออกไปดูแล้วก็ถูๆมือ สั่งให้คนของซ่านเซี่ยนหานไปซื้อเสื้อผ้าหนาๆมา
ผิงชวนก็เงยหน้ามองดูสีท้องฟ้า “ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่วันหิมะจะตก”
ซ่านเซิ่งหานไม่เคยมาหลิ่งหนานสถานที่อย่างนี้ยิ่งไม่รู้ว่าฤดูหนาวของที่นี่เป็นยังไงก็ตกใจเล็กน้อย แต่กลับพบว่าร่างกายของกู้อ้าวเวยเย็นเจี้ยบจึงจับมือนางเบาๆ
หลิ่วเอ๋อร์เห็น ก็นึกถึงความคาดหวังงของหยุนหว่านที่มีต่อกู้อ้าวเวยจึงแย่งมือนั้นมา “ข้าทำเองเถอะระหว่างชายหญิงควรจะมีระยะห่างสักหน่อยและยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าท่านหญิงเคยมีสามีมาก่อน”
เดิมทีคิดว่าพูดอย่างนี้แล้วจะทำให้ซ่านเซิ่งหานสำรวมอาการแต่ซ่านเซิ่งหานพยักหน้า “ระหว่างชายหญิงควรห่างกันจริงเป็นข้าที่ไม่ทำตาม แต่ข้าไม่ถือสาเรื่องระหว่างนางกับท่านอา นั้นก็เป็นแค่เวรกรรมเท่านั้น”
หลิ่วเอ๋อร์ก็ไม่พูดอะไรอีก ผิงชวนที่อยู่ด้านนอกก็ไม่มีเงาแล้ว เกรงว่าจะต้องหาของบางอย่างเพื่อมาอุ่นร่างกาย ตลอดทางการเดินทางล้วนอยู่บนรถม้าซึ่งไม่ง่ายที่ต้มน้ำร้อน
สองวันต่อมา กลุ่มคนก็มาถึงที่หลิ่งหนาน ที่นี่คนจำนวนไม่น้อยกำลังกักตุนอาหารสำหรับฤดูหนาวกันอยู่
หลิ่วเอ๋อร์กับผิงชวนแสร้งทำเป็นไถ่ถาม หลังจากนั้นก็ค่อยพาซ่านเซิ่งหานพวกเขามาที่สำนักเชิงเขาตระกูลหยุน เจ้าสำนักนี้ก็คือคนรุ่นหลังตระกูลหยุนคนหนึ่งที่เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ ปิดบังยุทธจักรไม่มีความสามารถด้านการรักษา ผู้คนเรียกเขาว่าหมอเทวดาเทียนหมาง สามารถเอาชีวิตคนได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ มือศักดิ์สิทธิ์สองคำนี้ที่จริงเป็นคำหยอกล้อ
แต่การต่อสู้บนยุทธจักร ในสำนักนี้กลับเป็นหัวใจของเด็กๆเพราะความสัมพันธ์ของหยุนหว่าน หลิ่วเอ๋อก็รู้ว่าหมอเทวดาเทียนหมางนี้เชื่อได้ แค่บอกเรื่องนี้ทีละอันๆหมอเทวดาเทียนหมางส่งจดหมายฉบับนึงไปกับนกพิราบแล้วก็พูดกับสองสามคนว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ไปชั่วคราวก่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ห้ามมีอะไรผิดพลาด”
พูดจบ ก็วางมือของเขาไว้บนไหล่ของซ่านเซิ่งหาน “ฝ่าบาทส่งคนแล้วก็ควรจะรีบกลับไป อีกสองสามวันหิมะก็จะตกหนักจนปิดภูเขาท่านอยากจะไปไหนก็ไปไม่ได้แล้ว”
ตอนแรกซ่านเซิ่งหานคิดจะรอจนกู้อ้าวเวยตื่นก่อนแล้วค่อยไปแต่ถ้าหิมะตกจนปิดภูเขาจริงก็ต้องไม่ดีแน่จึงต้องกลับไป
จนกระทั่งเขาจากไป หมอเทวดาเทียนหมางถึงจะโบกมือตรงฉากบังลมข้างๆ หลิ่วเอ๋อร์ยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไรก็มีเงาดำมาที่ร่างของกู้อ้าวเวย แล้วก็ใช้นิ้วมือผอมซูบนั้นสำรวจลมหายใจของกู้อ้าวเวย แล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจ “ในที่สุดก็ยังมีชีวิตอยู่…..”
ผู้ที่มาก็คือกุ่ยเม่ย
กุ่ยเม่ยคุกเข่าอยู่ข้างๆ หลิ่วเอ๋อร์รู้คำสั่งของกู้อ้าวเวยผ่านจื่อยู่จู แปลก “เจ้าหาป่ายเหลากุ่ยได้เร็วขนาดนี้”
“ป่ายเหลากุ่ยจากโลกไปนานแล้ว ข้าแค่พาชิงจือไปที่ป้ายสุสานของเขา ระหว่างทางข้าก็พบบันทึกของนางในห่อผ้าว่าต้องให้ข้าอยู่ที่หลิ่งหนานตระกูลหยุนเพื่อรอนาง ห้ามไปที่อื่น” กุ่ยเม่ยจนปัญญาหยิบบันทึกยับๆออกมาจากกระเป๋า
ผิงชวนหลิ่วเอ๋อร์มองตากันด้วยความตกตะลึง แม้แต่หมอเทวดาเทียนหมางก็ลูบหนวดเครา “ยัยหนูนี่ คิดเรื่องงานศพแต่เนิ่นๆแม้แต่แกล้งตายก็ยังเอาของไปหมด”