บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 416
บทที่ 416 ตามขนบแบบแผน
กู้อ้าวเวยก็อธิบายสาเหตุของเรื่องราวไปตั้งแต่เนิ่นๆ สองแม่ลูกหย่อนตัวลงนั่ง กุ่ยเม่ยที่สบายดีไม่ได้รับบาดเจ็บเข้ามาขออภัย หลังจากที่ยกน้ำยกชามาให้ทั้งสองคนแล้ว ก็ขับไล่คนทั้งหมดภายในเรือนออกไป
มองสำรวจกู้อ้าวเวยอย่างถ้วนถี่ ขอบตาหยุนหว่านพลันรื้นชื้น นึกถึงท่าทางสมัยเด็กของกู้อ้าวเวยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ปีนั้นตอนที่ข้าจากมา เจ้ายังตัวเล็กกระจ้อยร่อยขนาดนั้น พอได้มาพบกันอีกครั้งในตอนนี้ กลับกลายเป็นคนที่เคยผ่านความตายมาแล้วเสียได้” ตอนที่กู้อ้าวเวยสารภาพเรื่องทุกอย่างที่ทำลงไป หยุนหว่านก็แทบจะกลายเป็นมารดาในแบบปกติ ทว่าตอนนี้กลับกุมมือของกู้อ้าวเวยแน่นอย่างเอาตายไม่ยินดีปล่อยวางเลยสักนิด
กู้อ้าวเวยรู้สึกเพียงว่าตนมีความสุขยิ่งนัก ความอึมครึมในจิตใจพลันมลายหายไปในบัดดล รับฟังหยุนหว่านพูดถึงเรื่องราวในปีนั้นอย่างเงียบสงบ
ที่แท้ปีนั้นหยุนหว่านถูกขนานนามว่าสตรีแห่งพิษก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว ซึ่งแตกต่างไปจากนาง หยุนหว่านชำนาญการสร้างพิษแต่กลับไม่ถนัดการรักษา ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่กล้าให้สตรีแห่งพิษอย่างนางเข้าวังหลวง จึงจงใจส่งคนไปหมิ่นชื่อเสียงของนาง พูดให้นางกลายเป็นปีศาจสาว เวลานี้มีเพียงกู้เฉิงที่มองสถานการณ์ได้ชัดเจน รู้ว่าฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ได้หน่ายแหนงหยุนหว่าน ซ้ำยังอยากหลอกใช้นางอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงไล่ตามสุดชีวิต เพื่อวันหน้าจะได้เอามาควบคุมฮ่องเต้องค์ก่อนได้
ได้ฟังถึงตรงนี้ กู้อ้าวเวยพลันมุ่นคิ้ว “ความทะเยอทะยานของเขามีไม่น้อยเลยจริงๆ ยังกล้าแม้แต่มีความคิดอ่านต่อฮ่องเต้องค์ก่อน”
“ไม่ว่าเรื่องอะไรกู้เฉิงก็กล้าทำทั้งหมดนั่นแหละ แต่น่าเสียดาย ตอนนั้นข้าร่วมรักสมัครใจกับองค์ชายตัวประกันเอ่อตานอยู่ก่อนแล้ว แต่สถานะของเขาเป็นตัวประกัน ส่วนข้ายังคงเป็นผู้สืบทอดตระกูลหยุน เดิมก็ไม่ควรอยู่ด้วยกัน ส่วนกู้เฉิงย่อมปลุกปั่นความขัดแย้งอยู่ภายใน…”
พูดถึงตรงนี้ หยุนหว่านเองก็นิ่งเงียบลงมา ลอบสังเกตสีหน้าของกู้อ้าวเวยอย่างระแวดระวัง
ทว่ากู้อ้าวเวยกลับนิ่งเฉยอยู่เรื่อย “ดังนั้นข้า…เป็นลูกของใครกันแน่”
“ไม่ใช่ของกู้เฉิง” หยุนหว่านสารภาพตรงๆ น้ำเสียงเหมือนยุงแมลงวัน
“นี่กลับทำให้ข้าสงบใจลงมากทีเดียว” กู้อ้าวเวยทำได้เพียงพลิกกับมาปลอบประโลมหยุนหว่าน และยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “พูดตามความจริง ตอนแรกที่กู้เฉิงเกิดเรื่อง ข้าก็มีส่วนเอี่ยวด้วย”
“ต่อกรกับเขา ไม่สามารถใจอ่อนได้เป็นอันขาด” หยุนหว่านเห็นนางไม่โกรธ น้ำเสียงก็พลอยกวดขันขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ปีนั้นกู้เฉิงพลัดพรากคู่รักยังไม่พอ เห็นตัวประกันเอ่อตานถือกำเนิดอย่างเฉลียวฉลาด หวาดกลัวว่าวันหน้าเขาจะสร้างขวากหนามมากมายให้ จึงส่งคนไปไล่สังหาร หยุนหว่านจึงหนีออกจากจวนในตอนนั้นเอง มุ่งหน้าไปปกป้องตัวประกัน ต่อมาจึงตั้งครรภ์กู้อ้าวเวยที่บ้านเกิดเมืองนอน แต่น่าเสียดายที่ทั้งสองคนยังไม่ทันได้หนีเอาตัวรอด นางก็ถูกกู้เฉิงพากลับมา บีบบังคับด้วยความตาย จึงสามารถรักษาลูกในท้องไว้ได้ ซ้ำยังให้กู้เฉิงกล่าวคำสาบานต่อฮ่องเต้องค์ก่อน บอกว่าให้บุตรสาวคนโตของเขาจำต้องได้แต่งงานเข้าสู่ราชวงศ์
นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมต่อมากู้เฉิงไม่เคยฆ่ากู้อ้าวเวยจริงๆ สักที และก็เพราะว่าฮ่องเต้องค์ก่อนเคยทิ้งราชโองการลับหนึ่งชิ้นไว้ในมือของไทเฮา ส่วนดาบเล่มนั้นในตอนแรก ก็คือดาบเล่มที่กู้เฉิงใช้เฉือนทำร้ายตัวประกันเอ่อตาน กู้เฉิงทำลายมันไปสองครั้ง ทว่าก็ถูกหยุนหว่านตามกลับมาจนได้
กระทั่งเรื่องราวหลังจากนั้น ก็เป็นดั่งที่ไทเฮาตรัสมาทั้งหมด ตำหนักเจิ้นหุนเหล่านั้นก็เป็นเพียงสิ่งของที่มอบความสงบพระทัยให้ราชวงศ์เท่านั้นเอง ส่วนหยุนหว่านก็วางยาพิษให้ตัวเองถึงได้หนีออกมาได้ แต่น่าเสียดายที่พิษนี้เกิดปฏิกิริยาขัดแย้งกันกับพิษที่กู้เฉิงกรีดออกบนหน้าของตน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถแก้มันออกได้ จนกระทั่งได้พบกู้อ้าวเวยคราวก่อนจึงเริ่มดีขึ้น
“พูดมาเช่นนี้ สิ่งที่ข้าแก้ให้ก็เป็นถึง…” กู้อ้าวเวยพลอยตกใจไปกับตัวเองด้วย
“เป็นพิษที่ข้าโดนมาเมื่อก่อน ทนทุกข์มานานปี ตอนนั้นก็แค่ลองไปเสี่ยงโชคดู กลับคิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบเจ้า และเจ้าก็ถึงขั้นแก้พิษมันได้” หยุนหว่านรินชาให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ในใจก็รู้สึกแปลกประหลาด “เดิมข้าเข้าใจว่าตระกูลหยุนให้กำเนิดผู้มีพรสวรรค์แค่ข้าเพียงคนเดียว จำต้องรอจนกว่าจะผ่านพ้นไปหลายรุ่นจึงจะถือกำเนิดอีกหนึ่งคนเสียอีก ในบันทึกเชื้อสายวงศ์ตระกูลหยุนก็เป็นเช่นนี้เรื่อยมา ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพิเศษขนาดนี้”
ตัวกู้อ้าวเวยเองกลับลูบปลายจมูกอย่างละอายใจ หากว่าเป็นกู้อ้าวเวยที่ยังไม่ทันแต่งงาน กลัวว่าชั่วชีวิตจะเป็นพวกไม่ได้การได้งานอะไรเลยจริงๆ คล้ายกับเมื่อเทียบหนังสือการแพทย์แล้ว นางชอบจะเป็นคุณหนูใหญ่คนหนึ่งเสียมากกว่า ส่วนสำหรับนาง การช่วยชีวิตผู้คนโดยทักษะการแพทย์ก็เหมือนคนดื่มน้ำทำนองนั้นเลย
“อย่าพูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า” หยุนหว่านพลันเปลี่ยนประเด็นสนทนาทันที ปลายนิ้วลดลงบนข้อมือของกู้อ้าวเวย ตรงนั้นยังทิ้งร่องรอยแผลเป็นเส้นจางๆ เอาไว้ มันหลงเหลือจากการถูกจองจำเมื่อครั้งก่อน รวมถึงการสะสมของเรื่องราวต่างๆ ไว้ไม่น้อย
จากนั้นดวงตาสองข้างพลันเรื่องแดง ระหว่างน้ำคำของหยุนหว่านยังเจือความกล่าวตำหนิอยู่หลายประโยค “เหตุใดถึงทำตัวเองจนเป็นถึงขนาดนี้ เมื่อก่อนได้ฟังเจ้าบอกว่าเพื่อจะปกป้องผิงชวนให้หลบหนี บนร่างกายของเจ้ายัง…”
“ก็แค่บาดแผลไม่กี่รอยเท่านั้นเอง เทียบกับบาดแผลบนร่างกายของท่านแม่แล้ว มันไม่ถือว่าเป็นอะไรเลยด้วยซ้ำ” กู้อ้าวเวยส่ายหน้าเบาๆ มือไม้เป็นพัลวันหมายจะเช็ดหยาดน้ำตาของหยุนหว่าน ทว่ากลับถูกท่านแม่จ้องตาเขม็ง จึงทำได้เพียงไม่เอ่ยวาจาอีกต่อไป
ผ่านไปเนิ่นนาน หยุนหว่านถึงได้กล่าวต่อไป “ถ้าหากเจ้ายินดี ข้าก็สามารถพาเจ้าไปส่งให้กับบิดาบังเกิดเกล้าของเจ้าได้…”
“ไม่จำเป็นหรอก” กู้อ้าวเวยรีบปฏิเสธทันควัน “เมื่อเทียบกับบิดาบังเกิดเกล้าที่ไม่เคยพบมาก่อน ข้าก็ยังชอบท่านมากกว่าอยู่ดี อย่างน้อยๆ ชิงต้ายก็ยังพูดเรื่องราวต่างๆ บางส่วนที่เกี่ยวกับท่านให้ข้าฟังอยู่บ้าง”
เมื่อนึกถึงชิงต้าย มุมปากของกู้อ้าวเวยก็แฝงรอยยิ้มพราย
ถึงแม้ชิงต้ายจะจากไปแล้ว แต่กลับหลงเหลือสิ่งต่างๆ ไว้ให้นางไม่น้อยเลย หนึ่งในนั้นก็รวมถึงความทรงจำที่มีต่อมารดาแล้ว
ส่วนผู้ที่เรียกว่าเป็นฮ่องเต้เอ่อตานคนนั้น สำหรับนางแล้วก็เป็นเพียงสีขาวดำ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
“แต่ในเมื่อข้าได้พบเจ้าอีกครั้ง ก็ไม่อาจทิ้งเจ้าให้อยู่ในสถานที่ร้ายกาจแห่งนี้ได้ ต่อให้เจ้าต้องการสนับสนุนองค์ชายสามต่อไป ก็ยังต้องการพื้นเพของตัวเองด้วย” หยุนหว่านกล่าว ก่อนคลายมือของกู้อ้าวเวยออก ปลดหยกพกที่เอวลงมา วางส่ายเล็กน้อยอยู่เบื้องหน้าของกู้อ้าวเวย “เจ้าน่าจะจำได้”
จี้หยกประตูซุ้ม!
กู้อ้าวเวยหยิบจี้หยกประตูซุ้มในกระเป๋าเงินของตนออกมา เพราะว่านั่นคือสิ่งของโจวซื่อมารดากุ่ยเม่ยมอบให้ตน ถึงแม้จะไม่ได้สวมมัน แต่นางก็ยังคงเก็บมันไว้ในอ้อมอกอย่างแน่นหนา
บัดนี้หวนนึกขึ้นมา ในตอนแรกคล้ายกับโจวซื่อเคยบอกว่านี่คือสิ่งของที่หญิงสาวมีรอยแผลคนหนึ่งเป็นมอบให้นาง!
หยุนหว่านทำเพียงหัวเราะกับมัน “ข้ารู้ตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าสถานะของโจวซื่อคือมารดาของกุ่ยเม่ย หวังเพียงแต่ว่าตอนที่กุ่ยเม่ยกลับไปเยี่ยมเยียนบ้าน จะนำของสิ่งนี้มอบให้เจ้า”
“ของสิ่งนี้มีไว้ทำอะไร”
“จี้หยกสองชิ้นแห่งศาลาทิงเฟิง เป็นสิ่งที่ข้าเตรียมมันไว้ให้กับเจ้า” หยุนหว่านลูบไล้ตัวอักษรด้านบนอย่างถ้วนถี่ “หากบอกว่าเชือกทวงชีวิตคือการทวงชีวิตจากยมทูตละก็ ประตูซุ้มอันนี้ ก็คือประตูหยินหยาง ชีวิตและความตายในฟางระนาบเดียว เป็นโล่ประกาศเกียรติคุณแห่งศาลาทิงเฟิงของข้าเอง”
“ศาลาทิงเฟิง? หมายถึงทิงเฟิงโหลหรือ?” กู้อ้าวเวยแปลกใจ
หยุนหว่านส่ายหน้าเบาๆ “ศาลาทิงเฟิงรับฟังเรื่องราวบนโลกใบนี้ สิ่งที่ข้าอยากทำก็คือดูว่าโลกอันรุ่งเรืองนี้จะสามารถธำรงต่อไปได้หรือไม่ ถึงแม้พูดมาแล้วมันจะดูเป็นภาระ แต่มันคือข้อตกลงระหว่างราชวงศ์และตระกูลหยุนของเรานั่นเอง”
กู้อ้าวเวยรังแต่จะรู้สึกงุนงงมากขึ้น “นี่คือข้อตกลงอะไร”
“อาณาจักรชางหลาน เดิมก็สร้างขึ้นโดยปฐมกษัตริย์ราชวงศ์และบรรพบุรุษตระกูลหยุน พวกเราสองตระกูลย่อมต้องธำรงรักษาไว้เป็นธรรมดา แต่แทบจะทุกรุ่นต่างบอกให้แต่งเข้ากับคนของราชวงศ์ทั้งนั้น ส่วนเจ้า ข้ากลับยังไม่ทันได้บอกเจ้าเลย” หยุนหว่านกล่าวถึงตรงนี้ น้ำคำก็เจือแววขมขื่นเล็กน้อย
“เดิมข้าคิดว่าท่านสามารถสลัดความรับผิดชอบเหล่านี้ไปได้ แต่กลับวกกลับมาหนึ่งรอบ ท่านยังสมัครใจเข้ามาอยู่ดี