บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 42
ตอนที่ 42 มีชีวิตชีวาชั่วขณะ
“นางเพิ่งจะรักษาเจ้าเพียงครั้งเดียว เจ้าก็เชื่อนางเช่นนี้หรือ” ซ่านจินจื๋อหยุดชะงักฝีเท้าลง
“ ครั้งนี้ก็พอแล้วขอรับ” ซ่านเชียนหยวนเผยรอยยิ้มแปลก ๆ ออกมา มือทั้งสองข้างของเขาจับที่ไม้เท้าในมือไว้แน่น
เมื่อเห็นว่าเขาเป็นคนดื้อดึงเช่นนี้ ซ่านจินจื๋อก็ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องปล่อยให้คนข้างกายที่เขาห่วงใยเช่นซ่านเชียนหยวนตามนางไปอาศัยอยู่ในร้านยาเหย้า หลังจากที่เขาออกจากตำหนักอ๋อง ซ่านจินจื๋อที่นานที่จะมีเวลาว่างจึงกลับมายังห้องของตนเอง
เหตุใดเขาจึงโกรธนางเพราะคำพูดของพ่านเอ๋อหรือ?
ในเวลาเดียวกัน กู้อ้าวเวยกลับไปที่ร้านยาเหย้าด้วยการเดินเท้า ชิงต้ายหยินเชี่ยวกำลังจัดระเบียบของต่างๆ และไปที่ร้านอาหารเพื่อซื้ออาหารบางอย่าง มีเพียงแค่ฉีหลินที่สวมเสื้อผ้าหรูหราและนั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อนพร้อมกับไขว่ห้าง มีไวน์ชั้นดีสองชนิด ขนมอบสามชนิด อีกทั้งยังมีลูกแมวดำตัวหนึ่ง
ทันใดนั้นอารมณ์ของนางก็ดีขึ้นมาก นางเดินไปอุ้มลูกแมวดำไว้ในอ้อมแขน ฟังเสียงเจ้าหนุ่มน้อยร้องเหมียวเหมียว หัวใจของนางก็อ่อนลง นางส่งยิ้มให้ฉีหลินพลางเอ่ยถาม “เจ้าเก็บแมวน้อยมาจากที่ใดหรือ? ช่างน่ารักเสียจริง”
“ข้าพบมันที่เชิงกำแพงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ตั้งชื่อให้มันว่าพุทราแดง” ฉีหลินรินไวน์ใส่แก้วให้นางพลางจ้องมองนาง “ทุกๆวัน เจ้ามักจะเก็บตัวมิออกไปด้านนอก ในใจของเจ้ามีเพียงการอ่านหนังสือ ข้าจึงเก็บมันมาให้ เพื่อที่เจ้าจะได้มีสหาย ”
“ดูเหมือนว่าเจ้าก็มิได้อยู่ที่นี่กับข้าอย่างสูญเปล่า สมุนไพรที่ข้าจองไว้ที่จี้ซื่อถางก่อนหน้านี้ เจ้าไปนำมาแล้วหรือไม่?” กู้อ้าวเวยวางแมวลงบนโต๊ะเพื่อเล่นกับมัน พุทราแดงก็ไม่กลัวแต่อย่างได้ มันคลอเคลียกับฝ่ามือของกู้อ้าวเวยไปมา
เพลานั้น ฉีหลินเห็นรอยฟกช้ำที่ข้อมือของนาง เข้าจึงดึงมือของนางเข้าหาตัว
“รอยนี้มันน่าเกลียดเป็นอย่างมาก” กู้อ้าวเวยรีบดึงมือของนางกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็นึกถึงบางสิ่งจึงเอ่ยถามเขา “ข้าได้ยินมาว่าฮ่องเต้ที่สามส่งผ้าและข้อความมาหรือ?”
“ส่งผ้ามา แต่ดูเหมือนมิได้ฝากข้อความมา” ฉีหลินก็มิได้ถามอันใดมาก เขาเพียงแค่ตอบคำถามนางเท่านั้น
กู้อ้าวเวยขมวดคิ้ว ในใจของนางสั่นเทา
ดูเหมือนว่าที่ซูพ่านเอ๋อเอ่ยว่าฮ่องเต้ที่สามฝากข้อความมานั้นเป็นสิ่งที่นางเอ่ยเอง แต่ซูพ่านเอ๋อรู้ได้อย่างไรว่านางได้พบกับฮ่องเต้ที่สามที่กลางป่าในเวลากลางคืน? ซูพ่านเอ๋อต้องส่งคนมาสะกดรอยตามนางเป็นแน่
นางซ่อนความคิดทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในใจ จากนั้นก็หยิบไวน์รสเลิศขึ้นดื่มพลางยกคิ้วจ้องมองไปที่ฉีหลิน “ข้าคิดว่าสองสามวันนี้เจ้าจะทำให้สถานที่แห่งนี้เละเทะไปแล้วเสียอีก”
“เจ้านาย แม้ว่าสองมือของข้าจะไม่แตะต้องน้ำทำการทำงาน แต่ข้าก็จะไม่ก่อเรื่องอันใด ข้ายังอ่านหนังสือทางการแพทย์อีกด้วย!” ฉีหลินเชิดหน้าขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจในทันที
กู้อ้าวเวยกรอกตาไปมา พุทราแดงที่อยู่บนโต๊ะเพียงแค่เลียกรงเล็บของมันไปมา และปีนป่ายจากแขนของนางไปที่ไหล่ก่อนจะนั่งลง ดวงตาสีเขียวมรกตคู่หนึ่งจ้องที่ฉีหลิน ฉีหลินก็เอียงหัวจ้องมองมัน เขารู้สึกเบิกบานใจ
“นายหญิง ฮ่องเต้ที่สี่พาคนมาที่นี่เจ้าค่ะ” ชิงต้ายพรวดพราดเข้ามาจากประตู
“เจ้าออกไปเพียงสามวัน พลันก็มีฮ่องเต้เพิ่มมาถึงสององค์ นี่ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง” ฉีหลินอ้าปากค้างชั่วขณะหนึ่ง ชิงต้ายตบท้ายทอยของเขา “เจ้าเอ่ยอันใด” ฉีหลินลูบหัวของตนแล้วอ้าปากค้างโดยมิพูดอันใด
เขาคือคุณชายที่มาจากตระกูลร่ำรวยของเมืองเทียนเหยียนที่งดงาม เหตุใดมาที่นี่แล้วจึงมีแต่คนรังแกเล่า
กู้อ้าวเวยอุ้มพุทราแดงลงมา และยัดมันเข้าไปในอ้อมแขนของฉีหลิน จากนั้นนางก็ไปเปิดประตูร้านยาเหย้า ด้านหลังของซ่านเชียนหยวนมีชายสี่คนในชุดทหาร หญิงรับใช้หกคนและคนรับใช้อีกสี่คน
“ท่านยังจะมาอีกหรือ?” กู้อ้าวเวยถอนหายใจและจ้องมองไปยังผู้คนที่อยู่ด้านหลังเขาอย่างจนปัญญา “ร้านยานี้ของข้ามิได้ใหญ่โต ไม่มีปัญหาอันใดถ้าจะอยู่กับพี่น้องชายทั้งสี่ของท่าน ส่วนหญิงรับใช้และคนรับใช้คงจะอยู่มิพอ ”
“เรือนที่ท่านลุงมอบให้เจ้าเป็นเช่นนี้หรือ?” ซ่านเชียนหยวนมองไปที่ร้านยาเหย้าของนางด้วยความไม่เชื่อ กำแพงประตูยังมีรอยแตกร้าว ทั้งยังมีวัชพืชและเถาวัลย์ที่ขี้เกียจเกินกว่าจะทำความสะอาดได้ มองเข้าไปจากด้านนอกราวกับสถานที่ที่มิมีผู้คนอาศัยอยู่
“อย่างไรเสียแค่คนรับใช้เหล่านั้นที่ดูถูกข้าเพียงเท่านั้น จะอยู่หรือมิอยู่?” กู้อ้าวเวยส่งยิ้มให้เขา
“อยู่” ซ่านเชียนหยวนพยักหน้า จากนั้นจึงส่งสาวใช้และผู้ใต้บังคับบัญชากลับไป
มีคนอยู่ในเรือนมากขึ้น กู้อ้าวเวยจึงไม่ต้องการที่จะรู้ว่าเหตุใดซ่านเชียนหยวนจึงอยากอยู่ที่นี่กับนางมากถึงเพียงนี้ นางเพียงแค่อยากพักผ่อนอย่างสงบ ยังมิทันค่ำ นางก็ปีนขึ้นไปนอนเสียแล้ว ปล่อยให้พวกเขาจัดการเรื่องราวในเรือนกันเสียเอง
พุทราแดงมุดเข้าไปในผ้าห่มของนางและเลียอุ้งเท้าไปมา ในตอนเช้าของเช้าวันรุ่งขึ้น นางลุกขึ้นและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์สีขาวธรรมดาของนาง ก่อนจะพุ่งไปที่ห้องครัว หยิบจานผักดองและหมั่นโถวสองชิ้นออกมา และเข้าไปยังห้องที่เก็บยาไว้พลางตรวจสอบอย่างรอบคอบ ว่าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมามีการรั่วไหลของสมุนไพรหรือไม่?
“นางดูเหมือนพระชายาที่ใดกัน” ฉีหลินถือภาชนะบรรจุอาหารพลางส่ายหัวไปมา
ซ่านเชียนหยวนพยักหน้า เขานั่งลงบนม้านั่งหินอ่อน นี่เพิ่งจะผ่านพ้นไปแค่คืนเดียว แต่เขาและฉีหลินกลายเป็นสหายกันเสียแล้ว ฉีหลินเล่นสร้างความครึกครื้นเก่งมาก ดีกว่าเหล่าทหารในค่ายที่แข็งทื่อหรือหยาบคายในค่ายทหารเสียอีก ซ่านเชียนหยวนจึงยินดีที่จะเป็นสหายกับเขา
“นี่แหละคือนายหญิง แต่น่าเสียดายที่ท่านอ๋องมิสามารถมองเห็นคุณงามความดีของนาง” หยินเชี่ยวรับกล่องอาหารที่มีเกี๊ยวนึ่งผลึกหินและไข่ดองมาจัดวางสำหรับเขาทั้งสอง ทั้งยังไปที่ห้องครัวเพื่อนำซุปร้อนสองชาม และไข่สองฟองวางลงตรงหน้าพวกเขา
แต่ทว่ากู้อ้าวเวยได้กินหมั่นโถวสองชิ้นนั้นจนหมดแล้ว นางวางผักดองที่เหลือไว้ด้านหน้าของพวกเขา เห็นว่าพวกเขาได้ทานอาหารอย่างหลากหลายก็เอ่ยปากบ่น “พวกเจ้าก็ได้แต่กิน”
“มากินด้วยกันสิ” ซ่านเชียนหยวนได้จัดการบะหมี่ร้อนๆ เกี๊ยวนึ่งหนึ่งถ้วยไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“หากกินตามที่เจ้ากิน ข้าก็คงอ้วนตายพอดี” กู้อ้าวเวยบ่นอุบ ก่อนจะรีบเข้าไปในร้านขายยาของตนเอง
ซ่านเชียนหยวนหัวเราะออกมา “หวังเฟยมิอ้วนเลยสักนิด ว่าแต่ฉีหลิน เหตุใดเจ้าจึงมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้ ข้าเคยได้ยินชื่อของสำนักเยียนหยู่เก๋อแม้แต่ตอนที่อยู่ในค่ายทหาร มิใช่ว่าเจ้าควรอยู่ที่จวนและเป็นเจ้านายน้อยหรือ?
ฉีหลินถอนหายใจเศร้าโศกซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาจึงนำเรื่องที่ท่านพ่อบังคับให้ของเขาแต่งงาน รวมถึงกลุ่มเพื่อนสุนัขจิ้งจอกเอ่ยออกมาอีกรอบ และราวกับว่าเขาคิดอะไรบางอย่างออก พลันเขาก็ตบศีรษะของตนอย่างแรง “หากเจ้ามิถามเรื่องนี้ข้าก็ใกล้จะลืมแล้ว เพลานั้นผู้หญิงที่ท่านพ่อของข้าเลือกให้ข้าคือกู้จี้เหยาจากจวนเฉิงเสี้ยง! และก็คือน้องสาวของนาง
“นายหญิงจี้เหยางั้นหรือ?” หยินเชี่ยวก็รีบพุ่งเข้ามาก่อนจะเบิ่งตาโพลง
“ใช่แล้ว ธุรกิจครอบครัวของท่านพ่อข้าในเพลานี้มีรากฐานที่ลึกล้ำกับจวนเฉิงเสี้ยง ดังนั้นจึงคิดที่จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ถ้าไม่ใช่เวยเอ๋อนางอยากจะแต่งงานกับท่านอ๋องจิ้ง มิแน่ว่าผู้ที่ต้องแต่งงานกับข้าอาจเป็นนาง” ฉีหลินถอนหายใจอีกครั้ง เขาเหลือบมองไปที่ประตูร้านขายยาแล้วส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “แต่ทว่า… แม้ว่าจะเป็นนาง ข้าก็มิกล้าสู่ขอ มันน่ากลัวเกินไป”
“เหตุใดนายหญิงของข้าจึงน่ากลัว?” หยินเชี่ยวไม่พอใจ
“นางวางยาพิษกว่างเสียนโดยตรง ข้ากลัวว่าวันหนึ่งหากข้ายั่วยุนางเข้านางจะวางยาพิษข้า เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วช่างน่ากลัวเสียจริง” ฉีหลินตัวสั่น
หลายคนจ้องมองที่ฉีหลินพลางหัวเราะ