บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 430
บทที่ 430 เดิมพัน
“ตอนแรกเป็นซูพ่านเอ๋อที่โยนของเหล่านั้นออกมา ในตอนนี้นางกำลังช่วยซ่านจินจื๋อจัดการเงินสกปรกเหล่านั้น อีกทั้งนางยังปิดบังซ่านจินจื๋อ โดยให้เงินเหล่านั้นผ่านมืออ๋องจงผิงโดยพลการ พวกเราก็ไม่ขัดขวาง ทว่าที่อินโจวข้าได้ให้หยินเชี่ยวคอยจับตาดูไว้ก่อนแล้ว ทิ้งสองคนที่เคยพบกับสาวใช้ข้างกายของซูพ่านเอ๋อไว้”
กุ่ยเม่ยหัวเราะเบาๆ เดินเข้าไปนั่งประจำข้างกายกู้อ้าวเวย ด้านในยังมีคำให้การอีกสองสามฉบับ
“มิน่าเล่าช่วงนี้เจ้าถึงได้ยืมตัวเยว่จากข้า” ยามที่ซ่านเซิ่งหานเอ่ย แววตาที่มองไปยังกุ่ยเม่ยมีบางอย่างแปลกๆ อย่างชัดเจน
ทว่าหาได้มีผู้ใดสนใจ กู้อ้าวเวยเพียงยิ้มหยี: “ย่อมเป็นธรรมดา เรื่องในราชสำนักหลักๆ ยังคงต้องพึ่งองค์ชายเป็นผู้จัดการ ส่วนสิ่งที่ข้าต้องทำคือเล่นลูกไม้เล็กน้อย”
“หากว่าทำสำเร็จจริง บางทีเสด็จพ่ออาจจะบันดาลโทสะ” ซ่านเซิ่งหานคลึงขมับอย่างจนปัญญา
“ย่อมเป็นธรรมดา”
ทั้งสองยิ้มให้กัน ในใจกลับเข้าใจเป็นที่ชัดเจน
ลำบากทุกข์ทนจากซ่านจินจื๋อกับกู้เฉิงมาสิบกว่าปี มาวันนี้นางไม่มีวันจะซ้ำรอยเดิมอีก สำหรับซ่านจินจื๋อ นางไม่เจอเชื่อมาตลอด ทว่าในวันนี้ทั้งสองคนร่วมมือกันเช่นนี้นับว่าถึงขีดจำกัดแล้ว
หลังส่งซ่านเซิ่งหานจากไป กุ่ยเม่ยที่อยู่ข้างกายนำคำให้การเหล่านั้นซ่อนไว้อย่างไร้ร่องรอย: “วันนี้ยังต้องไปพบใต้หรือเมิ่งหรือ?”
“ย่อมต้องไป ข้าจะเปลี่ยนโรงหมอโหย่วเว่ยเป็นโรงเรียนหมอ วิชาแพทย์ของข้าไม่อาจสืบทอดเพียงแค่คนในสายเลือดตระกูลหยุน ท่านแม่ก็เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะอุทิศวิชาแพทย์เหล่านี้ออกมา เผื่อจำเป็นในวันหน้า” กู้อ้าวเวยค้นหาเสื้อคลุมสีเทาน้ำเงินออกมาจากตู้เสื้อผ้า: “ข้าคิดอยู่เสมอว่าที่ซ่านจินจื๋อตั้งทัพหารเช่นนี้ ความจริงแล้วคงมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา”
กุ่ยเม่ยเข้าใจแจ้ง หลบเลี่ยงหูตาขององค์ชายสามนำสิ่งที่กู้อ้าวเวยมอบให้ไปที่จวนนอกเมือง
เมื่อพบหน้า เมิ่งซู่ก็ได้เอ่ย: “ข้าทำตามที่เจ้ากล่าว ทำให้ราชสำนักคงที่เป็นการชั่วคราว ฮ่องเต้ก็ได้เรียกพบข้าเป็นการส่วนพระองค์ให้ข้าไปทำเรื่องบางอย่าง”
“ดูแล้วข้าเดาไว้ไม่ผิด คนที่ฮ่องเต้ทรงไว้ใจจริงๆ คือคนที่ไม่ฝักฝ่ายใด” กู้อ้าวเวยนั่งประจำที่: “ทว่าความจริงแล้วข้าก็คาดเดาความคิดของฮ่องเต้ไม่ออก พระองค์ทรงเชื่อองค์ชายสามหรือว่าเชื่ออ๋องจิ้ง?”
“ฮ่องเต้ให้ข้าไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวของแต่ละเมือง โดยดำเนินการอย่างลับๆ” เมิ่งซู่ก็นั่งตามลงมา ดวงตาทั้งคู่หรี่ลงเล็กน้อยราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอันใดอยู่: “ตามความคิดของข้านั้นกำลังสงสัยสองคน”
“เจ้าให้คำตอบไปเช่นไร?”
“ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับบิงปู้ ย่อมต้องปฏิเสธ” เมิ่งซู่ส่ายหัวอย่างจนปัญญา กู้อ้าวเวยก็พยักหน้าตาม ดูแล้วเมิ่งซู่ยังรู้จักรุกแล้วถอย หากว่าเดินหน้าต่อในตอนนี้ แม้อาจจะได้รับคำชมของฮ่องเต้ ทว่าเช่นเดียวกันหากเรื่องนี้ทำได้ไม่ดี หมวกนี้ก็ต้องโดนถอดลง
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมิ่งซู่กลายเป็นเป้าโจมตีของทุกคน ควรเก็บงำความสามารถไว้จึงจะดี
“หลังจากนี้ยังต้องรบกวนเจ้ารายงานเรื่องขุนนางกังฉินเหล่านั้นก่อนหน้าองค์ชายสาม” ขณะกล่าว กู้อ่าวเวยก็สะบัดมือให้กุ่ยเม่ยที่อยู่ข้างกาย
กุ่ยเม่ยรีบนำห่อผ้าเล็กในอ้อมแขนออกมา ด้านในมีกล่องทรงยาวหนึ่งกล่อง มีหลักฐานการกระทำผิดวางไว้ไม่น้อย ทั้งสมุดบัญชี จดหมายและคำให้การอีกหลายฉบับ
“ทางด้านอินโจว หยินเชี่ยวกับฉีหลินเตรียมนำหลักฐานที่เหลือมาแล้ว อีกสามวันน่าจะถึง อีกทั้งภายในสามวันนี้ข้าจะไปหาซูพ่านเอ๋อ ให้นางออกมาเพิ่มไฟเข้าไปอีก”
มองไว้สิ่งที่รวมทุกอย่างไว้แล้วในกล่อง สิ่งนี้ไม่มีทางที่จะหามาได้ในระยะเวลาสั้นๆ
เมิ่งซู่มองไปที่นางอย่างไม่อยากเชื่อ: “เจ้าอยากให้ข้าแย่งบทบาทขององค์ชายสาม?”
“อ๋องจิ้งจากไป ข้าไม่อาจให้องค์ชายสามยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียว อีกทั้งวันหน้าเจ้าจะเป็นขุนนางผู้มีความสามารถ คิดเพื่อการณ์ไกลเหลือเจ้าไว้คงความมั่นคงในราชสำนัก ฮ่องเต้คือผู้ใดก็ไม่สำคัญ” กู้อ้าวเวยยิ้ม: “อีกอย่าง เส้นทางนี้ขององค์ชายสามดูเหมือนจะราบรื่นเกินไป อย่างไรก็ต้องให้ตัวเตือนใจเขาไว้ แม้เจ้ากับเขาจะร่วมมือกันแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นสหายกัน”
มองสิ่งที่อยู่ในมือ เมิ่งซู่อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาพินิจกู้อ้าวเวยอีกครา
แม้ว่านางจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปแล้ว ทว่ารอยยิ้มที่มิได้อำพรางแม้เพียงนิดนั้น ในเวลานี้กลับทำให้เมิ่งซู่รู้สึกถึงความต่าง
สตรีเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นเขาที่ไม่คู่ควรกับนาง
เพียงแค่เรื่องมองการณ์ไกล ก็คือสิ่งที่พวกเขาไม่อาจทำได้ อีกทั้งนางเลือกที่จะเชื่อขุนนางใหม่ที่ยังไม่ฝักฝ่ายใดของนาง มิใช่องค์ชายสามที่แย่งชิงราชบัลลังก์
“ข้าทราบแล้ว แล้วทางด้านโรงหมอโหย่วเว่ย…”
“ข้าจะไปด้วยตนเองสักรอบ มีป้ายพระชายาจิ้งก็นับว่าเพิ่มทางหนีทีไล่ให้ครอบครัวของเจ้า แต่หากว่าไม่อยากให้ครอบครัวของเจ้าเข้ามาพัวพัน เจ้ายังจำเป็นต้องตัดความสัมพันธ์ ในจุดนี้เจ้าไปถามเมิ่งซัวเอาเอง” พูดคำเหล่านี้จบ กู้อ้าวเวยก็ไม่อยู่ต่อ กล่าวว่าจะไปพูดคุยรายละเอียดเรื่องนี้ที่โรงหมอ
เมิ่งซู่ก็ไม่ได้ตามไป เพียงมองตามไปอย่างใจลอย
ยัยไง่หงที่อยู่ด้านข้างรุดเข้ามาด้วยความสงสัย : “ตอนนี้นางไม่ได้เป็นพระชายาจิ้งแล้ว เหตุใดคุณชายท่านถึงไม่พูดความในใจของท่านล่ะเจ้าคะ ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้ท่านยังเป็นที่ไว้วางใจของฮ่องเต้”
“เกรงว่าตลอดทั้งชีวิตนี้จะไม่คู่ควรกับนาง” เมิ่งซู่พูดพลางส่ายหน้า แล้วก็เก็บของพวกนั้นไว้อย่างดี และพรึมพรัมกับตัวเอง: “ถ้าดูจากเวลาของสิ่งของพวกนี้แล้ว เกรงว่าก่อนที่เขาจะกลับมาที่เมืองเทียนเหยียนก็คงได้ช่วยเขาเอาไว้อย่างลับๆ และไม่ใช่องค์ชายสามแล้ว”
ยัยไง่หงอ้าปากค้าง: “ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ว่านางคอยวางแผนไว้ตลอดหรือ?แบบนี้นางจะไม่เหนื่อยหรือ?”
“ใครจะรู้ล่ะ” เมิ่งซู่ส่ายหัว ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เขาก็พยายามจะตัดใจจากกู้อ้าวเวย
และช่วงนี้เขากำลังวุ่น กู้อ้าวเวยก็ปรึกษาหารือเรื่องเกี่ยวกับโรวหมอกับซู๋โหย่วเว่ย และก็หวังว่าจะซู๋โหย่วเว่ยสามารถร่วมมือกันมาเปิดโรงหมอที่นี้ได้ โดยที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับร้านขายยาจี้ซื่อถาง เพราะเขารับหน้าที่สอนให้คนใช้สมอง ส่วนร้านจี้ซื่อถางนั้นรับหน้าที่รักษาคนป่วย
ซู๋โหย่วเว่ยรับปากแล้ว ในที่สุดเขาก็ต้องรับเงินจากกู้อ้าวเวย
ห้องเหรินซินได้แขวนป้ายพระราชทานให้กับชายาอ๋องจิ้ง ซ่านจินจื๋อเองก็มานั่งอยู่พักหนึ่ง
กู้อ้าวเวยก็มัวยุ่งกับการเขียนตัวอักษร และในตอนที่ตั้งใจอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดูรีบร้อน
กุ่ยเม่ยที่นั่งหลับอยู่ก็พลันลืมตาขึ้น ก็มองเห็นซ่านเซิ่งหานใส่ชุดขุนนางยืนอยู่ แล้วก็ค่อยๆ เดินเข้ามา หน้าตาดูซีดเซียว ในใจเขาก็พลันคิดได้ว่าคงจะเป็นฝีมือของเมิ่งซู่ แต่ว่าเขาก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น พลางพูดขึ้น: “พระองค์ทรงรีบร้อนแบบนี้ มีเรื่องอะไรหรือ?”
“วันนี้เมิ่งซู่ได้นำเรื่องขุนนางที่ทุจริตกราบทูลฝ่าบาท และในตอนนี้ เรื่องของซูพ่านเอ๋อเองก็ยังจัดการไม่ได้” ซ่านซ่งหานเล่าเรื่องขุนนางที่ทุจริตเล่าจนหมด แถมยังละเอียดกว่าของในมือเขาที่นำมาด้วย และยังมีพยานที่เขาไม่เคยมาก่อนด้วย
“ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงทำได้ค่พูดออกมา แต่ว่าเรื่องนี้นั้นไม่ใช่ฝีมือข้า” ” องค์ชายสามขมวดคิ้วอย่างกังวล คิดไม่ถึงว่าเมิ่งซู่ก็อยากได้ผลงานเหมือนกัน
กู้อ้าวเวยหันมาสบตากับกุ่ยเม่ย ด้วยสายตาที่ทนไม่ได้ พลางพูดขึ้น: “ในเมื่อพูดแบบนี้แล้ว แสดงเมิ่งซู่ก็เป็นศัตรูตัวฉกาจ วันหลังต้องระวังเป็นพิเศษ”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องของซูพ่านเอ๋อร์…..”
“ข้าจะเขียนจดหมายตอนนี้ แล้วส่งคนไปรับพยานมา อย่างน้อยท่านก็จะได้ผลงานบ้าง” กู้อ้าวเวยรีบหยิบกระดาษทันที แล้วก็เขียนลงไป
ซ่านเซิ่งหานถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างหายห่วง แต่กุ่ยเม่ยนั้นกลับมองดูนางอย่างละเอียดจากด้านหลัง
ไม่รู้ว่านางจะรู้หรือยัง ว่าเรื่องในราชสำนักนั้น ตอนนี้ได้ตกมาอยู่ในมือของนางแล้ว และคนที่เดินเกมตอนนี้ก็มีเพียงนางกับซ่านจินจื๋อ แต่นางนั้นกลับไม่ได้รู้สึกมีความสุข แต่กลับทุกข์ใจมากกว่า