บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 489
บทที่ 489 รู้ตื่น
“เรื่องนี้ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว ในเมื่อเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งเอ่อตาน อยู่ในชางหลานของข้าย่อมไม่อาจละเลยได้อยู่แล้ว”
ต้วนโฉงกลับคิดไม่ถึงว่ากู้อ้าวเวยจะเปิดปากพูดอย่างตรง ๆ ในดาบเดียว จึงพายเรือไปตามน้ำ กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ในเมื่อพระชายารองมีทั้งความสามารถและคุณธรรม ก็จะแต่งตั้งขึ้นเป็นพระชายาเอก ประทานยศเอกขั้นสองให้ เช่นนี้พอใจหรือไม่”
กู้อ้าวเวยหยัดตัวลุกขึ้นทำความเคารพ “ขอบพระทัยฝ่าบาทยิ่งนัก”
สิ่งที่เรียกว่างานกินเลี้ยงในครอบครัวนั้นเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น หลายคนยังไม่ทันตอบสนองกลับมาว่าคนผู้นี้เป็นใคร ฮ่องเต้ก็ตรัสรับสั่งราชโองการลงไปเสียแล้ว ซ่านจินจื๋อพาซูพ่านเอ๋อไปโขกศีรษะขอบพระคุณ ส่วนกู้จี้เหยาถูกลดขั้นเป็นพระชายาต่อหน้าต่อตา
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ กู้อ้าวเวยทำเพียงนั่งอยู่บนตำแหน่งของตนอย่างราบเรียบ วางมือลงบนผิวโต๊ะอย่างเกียจคร้าน ส่วนมืออีกข้างค้ำอยู่ที่พวงแก้ม เล่นกับจี้อันนี้ ก่อนจะเลิกผ้าคลุมหน้าขึ้นมาทานอาหารสองสามคำเป็นครั้งคราว หลังจากนั้นคล้ายกับไม่รู้จักมารยาท จึงนั่งลงอย่างเงียบเชียบ
สีหน้าของซ่านจินจื๋อแทบจะสามารถฆ่าคนได้ ซูพ่านเอ๋อกลับคิดไม่ออกว่ากู้อ้าวเวยคิดจะทำอะไรอีกกันแน่
จนกระทั่งงานเลี้ยงครอบครัวสิ้นสุดลง กู้อ้าวเวยจึงรู้สึกว่าขาสองข้างเริ่มไม่สบายเล็กน้อย หยิบยาเม็ดออกมายัดเข้าไปในปาก พลางทุบเบา ๆ ที่ต้นขา และก็ไม่รู้ว่าเพราะหน้าหนาวของชางหลานหนาวเหน็บกว่าเอ่อตานมากมายหรือไม่
ตลอดทางนี้มีซ่านจินจื๋อตามอยูตลอด นางกระทั่งไม่ได้สังเกตถึงสภาพขาทั้งสองของตนเลย
เรื่องราวทำไปได้ใหล้เสร็จแล้ว นางจึงหยัดตัวลุกขึ้นและใช้ข้องอ้างว่าป่วยในการกล่าวลา กลับได้ยินฮ่องเต้ปริปากเอ่ยตรัสเบา ๆ “ในเมื่อร่างกายไม่สบาย ก็ให้อ๋องจิ้งพาเจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด ไปตำหนักอ๋องจิ้งแล้ว เจ้าก็จะได้มีเวลาอยู่ร่วมกับพี่น้องได้มากขึ้น”
ต้วนโฉงตัวดี
สายตาสองคู่สบประสานกัน กู้อ้าวเวยนั้นมีแววตาเย็นชากว่ามาก
ต้วนโฉงคนนี้เพียงแค่เห็นว่านางเป็นภัยคุกคามอย่างหนึ่งเท่านั้น ปล่อยเสือกลับภูเขา ไม่สู้ให้นางช่วยบีบซูพ่านเอ๋อออกไปแล้วค่อยอยู่ต่อ หากเป็นเช่นนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับแคว้นเอ่อตาน
เดิมนางอยากปฏิเสธ แต่ซ่านจินจื๋อได้มีความสงสัยเต็มช่องท้องไปตั้งนานแล้ว รีบสาวเท้าเดินมา กระทั่งพากู้จี้เหยาและซูพ่านเอ๋อออกไปพร้อมกัน
ช่วงที่กลับไป ทั้งสี่คนโดยสารรถม้าคันเดียวกัน คนที่ปริปากเอ่ยเป็นคนแรกก็คือซูพ่านเอ๋อ “กู้อ้าวเวย เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ข้าไม่ใช่องค์หยิงเอ่อตานเสียหน่อย”
“ข้าไม่อยากพูดคุยกับคนโง่อย่างเจ้าหรอก” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นป้องปากกระแอมไอ และเหลือบเห็นรอยแดรงค่อนข้างมากโดยเหนือความคาดหมาย ทำเพียงดึงผ้าคลุมหน้าลงมาโยนไปด้านข้าง และหยิบยาหนึ่งเม็ดยัดเข้าไปในปาก
เดิมซ่านจินจื๋อยังคิดจะไถ่ถามเป็นมั่นเป็นเหมาะสักเที่ยว ทว่าตนกลับยกมือขึ้นหมายจะไปคว้านางเอาไว้เสียแล้ว
“เพียะ…”
กู้อ้าวเวยตบมือของเขาออกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ในรถม้ามืดสลัวแห่งนี้ดวงตาคู่หนึ่งกลับยังส่องประกาย
“ทำไม? ครั้งนี้ยังคิดอยากจะยืมมือของข้าดึงเอ่อตานเข้าไปเอี่ยวอีกหรือ” กู้อ้าวเวยสบสายตาอย่างเย็นชา แต่หัวใจในทรวงอกกลับเริ่มเต้นระส่ำเร็วขึ้น
คนในรถม้าคันนี้ ต่างก็เคยทำร้ายนางทั้งนั้น
“ข้าเพียงแต่อยากดูว่าเจ้ากินยาอะไร” มือของซ่านจินจื๋อแข็งค้างอยู่กับที่
“ท่านแค่ต้องตรวจสอบค้นหาถ้อยคำที่ข้าพูดเมื่อกี้โดยละเอียดทุกอย่างก็สมหวังดั่งปรารถนาแล้ว” หัวใจดวงนี้ของกู้อ้าวเวยเต้นระส่ำ ร่างกายที่กระเพื่อมมาเนิ่นนานก็พลอยดิ้นรนขึ้นมาด้วย
รถม้ายังไม่ทันนิ่ง นางก็ดึงม่านรถออกแล้วรีบร้อนกระโดดลงไปอย่างรวดเร็ว
ครั้นพอตกลงพื้น ความเจ็บปวดที่แพร่เข้ามาจากข้อเท้าทำเอานางเปลี่ยนสีหน้า ทว่าออกจากคนกลุ่มนั้น นางกลับรู้สึกสงบใจหาใดเปรียบ ทำเพียงเอ่ยปากปลอบใจคนที่ตกอกตกใจจนหยุดชะงัก “ข้าเดินกลับเองก็ได้ เจ้าไปส่งพวกเขากลับเถิด”
“เอ่อ…” คนขับรถม้าย่อมรู้สถานะของคนผู้นี้ ไหลเลยจะกล้าทิ้งนางเดินเตรีบนถนนในยามราตรีไร้ผู้คนเช่นนี้
ซ่านจินจื๋อก็กระโดดตามลงมาติด ๆ
ฝนยามปกติถึงแม้เขาจะคุ้นเคยกับการรักใคร่ปรองดองกับซูพ่านเอ๋อ แต่ในเวลานี้ก็สามารถมองเห็นถึงความผิดวิสัยในยามปกติของกู้อ้าวเวย
บัญชาคนขับรถม้าให้พาพระชายาทั้งสองไปก่อน เขาจึงค่อย ๆ รั้งข้อมือของกู้อ้าวเวยเอาไว้ ถึงได้ค้นพบว่าบนข้อมือของนางรื้นเหงื่อบางออกมาหนึ่งชั้น คำถามที่หมายจะเอ่ยเมื่อครู่ติดแหงกในลำคอ
ลมราตรีค่อนข้างเย็น ทั้งสองประจัญบานกันเนิ่นนาน กู้อ้าวเวยจึงรู้สึกว่าเมื่อครู่ตนถูกการกระทำของซ่านจินจื๋อทำเอาตกใจสะดุ้งโหยง นางกู่สติกลับมา ก่อนชักมือของตนออก พลางเอ่ยเสียงต่ำ “เมื่อครู่ข้าตื่นเต้นไปหน่อย”
“เจ้ากำลังกลัว” ปลายนิ้วของซ่านจินจื๋อวางบนหลังคอของนางตั้งแต่แรกแล้ว
ถูกใครบางคนรั้งเอาไว้ กู้อ้าวเวยกลับยากจะสงบลงมา อาศัยแสงจันทร์ ทั้งสองอยู่กันโดยลำพัง เมื่อเทียบกับการแสดงความอ่อนแอของตนต่อหน้าเขาแล้ว ไม่สู้พูดธุระปะปังจะดีกว่า
“ข้าเคยรับปากท่านแล้ว ขอเพียงท่านละทิ้งตำแหน่งฮ่องเต้ ข้าก็จะกลับไปอยู่ข้างกายท่านอีกครั้ง แต่จะไม่เป็นชายาของท่านอีก วันหน้าหากสนิทสนมกันแบบนี้แล้วถูกคนคนเห็นเข้า ก็เลี่ยงถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้” กู้อ้าวเวยน้ำเสียงเรียบเฉย มือที่ผลักออกยังเจือความเย็นอยู่
โทษก็แต่นางกินยาระงับพิษต่อหน้าของซ่านจินจื๋อ กลับยิ่งทำให้มันแย่ลงกว่าเดิมอีก
ฮ่องเต้ให้นางเข้าวัง แต่กลับไม่อนุญาตให้นางอยู่เพื่อเตรียมตัวยาแม้สักวัน ตอนนี้คงทำได้เพียงหาขั้นบันไดแล้วนั่งลงไป “สิ่งที่ข้าบอกท่านไปเมื่อครู่นั้นไม่ใช่เรื่องเท็จ ท่านสามารถหาหลักฐานได้ทุกเมื่อ อีกอย่าง การกลับมาครั้งนี้ ข้าจะต้องไม่ปล่อยให้ซูพ่านเอ๋อจากไปโดยยังมีชีวิตอยู่แน่นอน”
“ระหว่างพวกเรา ทำไมต้องพูดถึงแต่นางอยู่เรื่อย” ซ่านจินจื๋อถลกเสื้อผ้าขึ้นแล้วนั่งลงไป รูปร่างของเขาแข็งแกร่งกว่ากู้อ้าวเวยมากมายนัก ในหน้าหนาวสวมเพียงชุดบางตัวเดียวก็ไม่ได้หนาวเหน็บเลย ดวงตาคู่หนึ่งในเวลานี้กลับสว่างพราวราวกับกลุ่มหมาป่านักล่าที่อยู่ท่ามกลางหิมะก็ไม่ปาน
ถูกคนที่อยู่ข้างกายบังลมให้ จึงกล่าวกลั้วหัวเราะเบา ๆ “ระหว่างท่านกับข้า มีชะตาร่วมกันเพราะนาง ชะตาดับก็เพราะนาง ท่านปกป้องนางข้าพอเข้าใจ แต่วันนั้นท่านให้ความช่วยเหลือศัตรูทุกสิ่งทุกอย่าง วันหน้าข้าต้องเอาคืนแน่นอน หากรอวันที่ข้ากับท่านถือเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเรายังพอจะเดินร่วมเรียงเคียงกัน เช่นนั้นชั่วชีวิตที่เหลือของข้าก็เป็นของท่านแล้ว”
กู้อ้าวเวยใช้เวลาเนิ่นนาน และก็คิดอย่างถ่องแท้แล้ว
วันนั้นไม่ว่านางจะวางไม่ลงอย่างไร ก็คิดเพียงแต่อยากตัดรากเหง้าแห่งความรัก ทว่าตอนนี้ดูแล้ว คงไม่สู้ใจเย็นปรับตามสถานการณ์ดีกว่า อย่างไรเสียโฉมหน้าที่แท้จริงของซูพ่านเอ๋อก็ใกล้จะถูกเปิดโปงในไม่ช้า บางทีระหว่างนางกับซ่านจินจื๋อยังพอมีความเป็นไปได้อยู่
ก็แม้แต่ซ่านจินจื๋อเองยังเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตนโดยตรง เหตุใดนางจะทำไม่ได้กันเล่า
ซูพ่านเอ๋อในใจของซ่านจินจื๋อถึงแม้จะแตกต่างจากในอดีต แต่ท้ายที่สุดเขาก็เชื่อว่านางจะฆ่าท่านอาจารย์กับอาจารย์หญิงได้ จึงทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และกล่าวว่า “เช่นนั้นทำไมเจ้าต้องบอกว่านางเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งเอ่อตานด้วย เจ้าก็รู้ถึงสิทธิพิเศษข้อนี้ วันหน้านางก็จะร่ำรวยและเป็นที่น่าเชื่อถือนะ”
“ยิ่งปีนขึ้นไปสูงเท่าไร ตกลงมาก็ยิ่งน่าสังเวชเท่านั้น แม้ข้าจะบอกท่านว่าถึงเวลานั้นข้าจะผลักให้นางเป็นแพะรับบาป ท่านเองก็ห้ามข้าไว้ไม่ได้หรอก” กู้อ้าวเวยลูบน่องขาของตนเบา ๆ ฟังความเงียบงันของซ่านจินจื๋อเป็นเวลานาน จึงทำเพียงกล่าวต่อไป “ท่านคงรู้แต่แรกแล้วว่าซูพ่านเอ๋อไม่ได้ง่ายดายเหมือนภาพลักษณ์ภายนอกขนาดนั้น และฮ่องเต้ก็ไม่ชอบนางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากท่านละทิ้งตำแหน่งฮ่องเต้ พี่ชายที่เอ็นดูท่านคนนั้นย่อมไม่อาจกลบฝังหายนะข้างกายท่านได้แน่ ไม่เช่นนั้นหากว่าเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ กล่าวแต่ว่าท่านจะถูกลากเข้าตะรางตั้งแต่เนิ่น ๆ”
“นี่เจ้ากำลังเป็นห่วงข้า?” ในเวลานี้ซ่านจินจื๋อกลับทำเพียงหัวเราะหยัน ปลายนิ้วทรงพลังกลับกดลงที่จุดขมับ ในใจยุ่งเหยิงอลหม่านตั้งแต่ทีแรกแล้ว
“ปีนั้นท่านหลงใหลในซูพ่านเอ๋อ ทำเรื่องผิดตั้งมากมาย ตอนนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะชดเชย” กู้อ้าวเวยสูดลมหายใจหนึ่งเฮือก หยัดตัวลุกขึ้นยืน พลางยิ้มอย่างจนปัญญา “ระหว่าพวกเรา นานแล้วที่ไม่ได้พูดคุยกันอย่างเงียบสงบแบบนี้ ท่านก็ลองคิดดูเอาเถิด”
“ท้องฟ้ามืดค่ำแล้ว เจ้ายังจะไปไหนอีก” ซ่านจินจื๋อแม้จะปวดหัว แต่กลับรีบตามไปอย่างระวัง
“ไปโรงหมอหน่อยสักเที่ยว ในเมื่อท่านเชื่อคำของข้าแล้ว ข้าก็ควรจะเชื่อท่านบ้างเหมือนกัน” กู้อ้าวเวยโบกมือให้กับเขา