บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 507
บทที่ 507 เปิดฉากคลื่นใหญ่
กู้เฉิงจัดการงานทุกอย่างอยู่ตลอด ผ่านไปไม่กี่วัน ก็ได้ตัดสินใจเรื่องการเข้าวังแล้ว
ตั้งแต่ฮ่องเต้ที่ยังไม่เคยพบได้ตัดสินใจจัดงานเลี้ยง เรียนเชิญขุนนางเสนาบดีเข้าวังมาชุมนุมกัน แต่ดูเหมือนว่าทางซ่านจินจื๋อจะไม่ดำเนินการใด ๆ กู้เฉิงเองก็มีความกังวลกับการกระทำของซ่านจินจื๋อ อีกทั้งยังสงสัยว่าแผนการของตนเองถูกคนจับได้ ทุกวันจึงยุ่งไม่หยุด
ล่ายเสวียนและอ้ายจือไม่ได้คุยอะไรกับนางอีก กลับมีแต่กู่เซิงที่ที่เข้ามาสอนนางเล่นหมากรุก
เพียงเพราะนางเก่งในกลยุทธ์ แต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหมากรุกเลย
วันนี้นางกำลังจะต้องเข้าวัง ระหว่างรอจึงเล่นหมากรุกกับกู่เซิงไปพลางก่อน ไม่ทันได้คาดคิดตัวหมากก็ไม่เหลือสักตัวเดียว นางไม่ได้หงุดหงิด แต่รู้สึกแปลกใจและมองไปบนกระดานหมากรุก “เพราะเหตุได้ข้าถึงเข้าประตูไม่ได้ ข้ายังไม่เข้าใจกติกาสักเท่าไร”
“พรสวรรค์แต่กำเนิด” กู่เซิงก็คิดไม่ออก เมื่อเห็นว่ากู้อ้าวเวยคิดยังจะเล่นอีกกระดาน จึงมองไปยังท้องฟ้า และพูดขึ้น “วันนี้จะต้องเข้าวังแล้ว เจ้ายังต้องเตรียมอะไรอีกไหม”
“ไม่มีอะไรต้องเตรียม ทำทุกอย่างตามที่อยากทำ” กู้อ้าวเวยเก็บมือของนาง แล้วให้สาวใช้มาเก็บกระดานหมากรุกไป
“เจ้าจะไม่ทำอะไรเลยจริงหรือ”
“เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร” กู้อ้าวเวยเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไร กู้อ้าวเวยโบกแขนเสื้อและเดินออกไป เตรียมตัวเข้าวัง
ล่ายเสวียนบอกกับกู่เซิงอยู่ทุกวัน เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทั้งหมดของกู้อ้าวเวย แต่นอกจากอ่านหนังสือแล้วนางก็เล่นหมากรุก นอนหลับไม่มาก แต่กลับชอบนั่งนิ่งๆจ้องมองต้นหญ้า อีกทั้งชอบนั่งบนขั้นบันไดแทนที่จะนั่งบนเก้าอี้
มันทำให้เขามองไม่ออกว่าสิ่งใดที่กู้อ้าวเวยชื่นชอบ อย่างดีที่สุดเท่าที่รู้คือนางชอบขนมอบ แม่ชอบของมีรสขม นั่นกลับทำให้เป็นจุดบอดของตัวยาที่มีรสขมและรสฝาด
สถานะของเขาไม่มีพอที่จะเข้าวัง ได้แต่เพียงเฝ้าดูเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลง
และกู้เฉิงเองก็ได้พากู้อ้าวเวยเข้าวังด้วยตนเอง ทั้งสองคนบนรถม้าต่างเงียบ จนกระทั่งได้นั่งลงในงานเลี้ยง ทุกอย่างเป็นไปตามแผน กู้อ้าวเวยนั่งอยู่ด้านข้างคนเดียว แสดงออกอย่างสุภาพเรียบร้อย
องค์หญิงมานั่งอยู่ตามลำพัง ทำให้ผู้คนยิ่งมีข้อสงสัย
ฮ่องเต้ก็คอยเฝ้าดูนางเช่นกัน แต่กลับไม่ได้คาดคิด กู้อ้าวเวยไม่เพียงแต่ลิ้มรสของเครื่องดื่ม แต่ยังมองไปยังฮ่องเต้ แล้วขมวดคิ้ว “ช่วงนี้ฮ่องเต้คงนอนไม่หลับตลอดคืน จิตใจไม่ค่อยสงบหรือ”
“ทำไมรึ องค์หญิงรู้วิชาแพทย์หรือ”
“ชำนาญ” กู้อ้าวเวยกล่าวโดยไม่เขินอาย แล้วลุกขึ้นยืน “หากฮ่องเต้ไม่รังเกียจล่ะก็ ข้าสามารถจะตรวจชีพจรฮ่องเต้ดูก็ได้”
ฮ่องเต้หัวเราะอย่างพอใจ มันเป็นการแสดงการตอบรับ อยากจะลองดูว่าองค์หญิงองค์นี้จะคุยโวโอ้อวดหรือไม่ หรือจะเป็นอย่างไร
กู้อ้าวเวยก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจชีพจรของเขา โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่น ทันทีที่จับชีพจร ก็เงยหน้าขึ้น “ฮ่องเต้ต้องให้รางวัลข้าแล้ว”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย พวกขุนนางผู้ใหญ่ยังไม่ปริปากพูดอะไร กู้อ้าวเวยเงยหน้าเล็กน้อย แล้วพูดออกไปเสียงดัง “ฮ่องเต้ถูกวางยาพิษมาสองปี ครึ่งปีก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะถูกพิษเพิ่มอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นพิษเรื้อรัง มันไม่ได้ทำให้ฮ่องเต้แค่รู้สึกอ่อนเพลียไม่สบายตัวเท่านั้น แต่พิษทั้งสองรวมเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดอาการโรคนี้ขึ้นมา”
พวกขุนนางหลายคนเริ่มส่งเสียงร้องอุทาน เวลานี้กู้อ้าวเวยยังคงเพิ่มระดับเสียง ลุกขึ้นยืนและกวาดสายตามองขุนนางที่อยู่ตรงหน้า “ไม่เพียงแค่นั้น พิษนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไร แม้แต่หมอทั่วไปก็ยังตรวจพบได้ เหตุใดหมอแต่ละคนถึงไม่รู้เรื่องนี้ ข้าคิดว่าคงจะไม่ใช่ท่านผู้ใหญ่คนไหนจะเป็นผู้ร้ายนะ”
หลังจากพูดสิ่งนี้จบ เสียงตะโกนสาปแช่งก็ดังขึ้นเซ็งแซ่ หนึ่งในนั้นถึงกับลุกขึ้นยืนและชี้ไปยังกู้อ้าวเวยพร้อมเอ่ยปาก “พูดจามั่วซั่ว! เจ้าก็แค่องค์หญิงจอมปลอม วันนี้ยังจะมาใส่ร้ายบรรดาขุนนางผู้มีความดีความชอบ….”
“ข้าเป็นองค์หญิง ต่อให้ใส่ร้ายทุกคนแล้วจะทำไม” กู้อ้าวเวยเชิดหน้า ทำให้ขุนนางนั้นโกรธจนหน้าแดง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ขณะนี้ สีหน้าฮ่องเต้ซีดเซียว ส่งเสียงตำหนิออกไปให้เรียกคนของโรงหมอหลวงเข้ามา
กู้เฉิงเห็นเรื่องกำลังวุ่นวายจึงรีบไปเตือนกู้อ้าวเวย แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ข้าแค่ให้เจ้ามาพูดเรื่องพวกนั้น ทำไมถึงได้สร้างความวุ่นวายแบบนี้”
“ข้าเป็นคนอำมหิต แต่กลับขี้เล่น กลับถูกผลักไสไล่ส่ง” กู้อ้าวเวยตอบด้วยเสียงต่ำ ปัดมือของกู้เฉิง “ที่ข้าพูดมาล้วนเป็นความจริง พวกผู้ใหญ่พวกนี้จะมาขอให้ข้าพูดเรื่องที่ไม่มีจริงไม่ได้ หากไม่เชื่อ เพียงแค่เรียกหมอในยุทธภพด้านนอกมาสักคน ก็จะรู้เอง”
กู้เฉิงรู้สึกอับอาย ผู้คนล้วนรู้สึกว่าองค์หญิงคนนี้ไม่รู้จักกาลเทศะ ทำให้หลายคนเริ่มเปลี่ยนสีหน้า
และกู้เฉิงเองกลับรู้สึกแปลกใจ ทำไมถึงมีพิษสองชนิด
กู้อ้าวเวยนั่งลงแต่โดยดี ในที่สุดในงานเลี้ยงก็เงียบสงบลง ช่วงนี้มีข่าวคราวการฆ่าตัวตายในโรงหมอหลวง ฮ่องเต้รู้สึกกระวนกระวาย ในเวลานี้มีหมอเพียงสองคนเท่านั้นที่เข้ามา และบอกความจริง “ในโรงหมอหลวง ดูเหมือนว่าจะมีพวกใต้เท้ามาซื้อตัวหมอหลวงสองคนที่ถวายการรักษาฮ่องเต้ไป พวกเราไม่เคยพบหลักฐานมาเลยก่อนหน้านี้จึงไม่กล้าจะพูดออกไป เพียงแต่รู้สึกว่าพวกเขาอยากจะเอาใจฮ่องเต้ เพื่อค่าตอบแทน ก็ยิ่งไม่กล้าพูดอะไรเลย”
ในเวลานี้ฮ่องเต้โกรธมาก ทันทีที่หมอพวกนั้นฆ่าตัวตายครอบครัวก็จะถูกลดระดับลงไปเป็นทาษ
ในเวลานี้ทั้งงานเลี้ยงได้เงียบสงัดลง ฮ่องเต้กำลังต้องการจะสืบสวนเรื่องนี้ต่อ ขุนนางหลายต่อหลายคนลุกขึ้นยืน “คนๆนี้ไม่ใช่องค์หญิงแคว้นเอ่อตาน ฮ่องเต้ลองถามนางได้ และไม่ควรถือว่านางเป็นแขก ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็นความจริง เมื่อสักครู่นี้นางก็อาจจะเพิ่งวางยาท่านก็ได้”
น่าขันเสียจริง
กู้อ้าวเวยยิ้มอย่างไม่แยแส ได้แต่รับฟังคนเหล่านั้นผลัดกันพูดอย่างตั้งใจจดจ่อ
ดูราวกับว่าจะโยนเรื่องการวางยาพิษนี้มาให้นางโดยตรง หรืออาจจะกำลังบอกว่าต้องมีขุนนางคนไหนที่พานางมาพูดหลอกลวง และตอนนี้ตำแหน่งพระชายาของแคว้นชางหลานต่างหากที่เป็นของจริง
คำพูดและการกระทำ ไม่เพียงแต่จะดึงตัวตนของนางลงมา แต่ยังเป็นการดึงเอากู้เฉิงผู้ที่เพิ่งจะปกป้องนางลงมาด้วย
กู้อ้าวเวยยังคงไม่แยแส ดูเหมือนว่ากำลังคิดหาทางออก
กู้อ้าวเวยมีแผนการของตนเอง รอจนกระทั่งคนสุดท้ายพูดจบ นางก็เพิ่งจะสังเกตเห็นขุนนางคนหนึ่งซึ่งมีหน้าตาคล้ายกับอ้ายหยินมาก แต่ก็รู้ว่าคนๆนั้นเป็นคนของตระกูลอ้ายที่รับราชการอยู่เมืองหลวง เริ่มที่จะพูดถึงการแต่งกาย เดินเข้าไปตรงหน้าของคนๆนั้น “เจ้าบอกว่าพระชายาของแคว้นชางหลานคือองค์หญิงตัวจริง และยังบอกว่าข้าเป็นลูกสาวบุญธรรมเหรอ และยังพูดอีกว่าข้าคือคนที่ใต้เท้าคนนั้นเชิญตัวมาพูดจาหลอกลวงใช่ไหม”
“หากไม่เป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงสามารถเดินทางมาเจรจาถึงแคว้นเจียงเหยี่ยนของข้าโดยไม่มีผู้ติดตามคุ้มกันล่ะ ดูไม่จริงใจเอาเสียเลย”
เมื่อเขาพูดคำที่ดูจุกคอนั้นจบ ก็รู้สึกเหมือนใบหน้าปวดไปทั้งซ้ายขวา ร้อนชาไปหมด
กู้อ้าวเวยยังไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้จะถูกตบหน้าด้วยคำพูดนั้น ยิ่งเหวี่ยงมือไป “แม้แต่เสด็จพ่อยังไม่กล้าพูดกับข้าแบบนี้”
“เจ้า!” คนๆนั้นหลบหน้า ทุบโต๊ะเสียงดัง
“เสียมารยาทแบบนี้ ข้าเริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าไม่ได้สนใจเรื่องที่ฮ่องเต้ถูกวางยา แต่กลับตอแยวนเวียนอยู่กับสถานะของข้า จะเป็นไปได้ไหมว่าเจ้าส่งคนไปวางยาพิษ พยายามที่จะแย่งชิงบัลลังก์” กู้อ้าวเวยมองไปอย่างเย็นชา
คำพูดที่ดูไม่เคารพยำเกรงนั้นทำให้ทุกคนตกอยู่ในความสงบอีกครั้ง
แม้แต่ขุนนางตระกูลอ้ายก็ยังไม่กล้าพูดอะไร กลับได้เห็นกู้อ้าวเวยทำความเคารพฮ่องเต้ “หากฮ่องเต้ไม่เชื่อในสถานะตัวตนของข้า ก็เพียงแค่ส่งใครสักคนไปยังแคว้นเอ่อตาน หากแต่ใต้เท้าท่านนี้วางพิษจริง ๆ แต่กลับใช้เรื่องของสถานะของข้ามาช่วยเปลี่ยนเรื่อง หรือว่าแคว้นเจียงเหยี่ยนไม่คาดหวังต่อความช่วยเหลือของแคว้นเอ่อตาน”
กู้เฉิงบีบแก้ง สีหน้าอมยิ้ม
ทุกการเคลื่อนไหวของกู้อ้าวเวย นางเป็นผู้หญิงที่เย่อหยิ่งและโอหังเสียจริง
คำพูดแต่ละประโยค กลับพูดทุกอย่างด้วยเหตุผล มองไม่ออกว่าล้วนมาจากคำยุยงของเขา