บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 53
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
ตอนที่ 53 มิตรภาพของพี่น้อง
ต้นหญ้าเหินนั้นพิษร้ายแรงและเสริมด้วยสมุนไพรอย่างอื่นก็จะเป็นการใช้พิษล้างพิษ
เดิมทีนางยังคิดว่าพิษของโหวเซ่อนั้นร้ายแรงอย่างที่สุดแล้ว เพียงแต่เสียดายที่คนที่นี่นั้นรู้จักวิธีใช้พิษของมัน แต่กลับไม่รู้ว่าพิษเพียงน้อยนิดสามารถนำไปทำเป็นยาได้ แต่เครื่องปรุงยาเพียงน้อยนิดกลับกลายเป็นยาพิษที่คร่าชีวิตคนได้เช่นกัน
“ต้นหญ้าเลือดมังกร ถุงน้ำดีหงส์สรรพคุณตรงข้ามกัน” มือหนึ่งปิดหนังสือโบราณลงอีกมือหนึ่งหยิบกระดิ่งเหล็กที่ย้อมไปด้วยน้ำหมึกขึ้นมากลิ้งเช็ดไปบนกระดาษ
“หญ้าไป่เหยาเป็นยอดเขาสูง บนยอดเขานั้นมีหญ้าอยู่หนึ่งชนิด ปลายคิมหันต์ถ้านำมาบดให้ละเอียดและนำให้ขวดหยกที่มีเหล้างูภายในสามวันก็จะกลายเป็นยา” นางอ่านจบถึงตรงนี้ก็ปิดและนำไปเก็บไว้ในชั้นหนังสือ
เพียงแค่นำต้นหญ้าไร้นามมารวมกับตำรายาผีบอกเพียงเท่านี้ก็สามารถยืดต่ออายุขัยได้แล้ว
และลวดลายบนกระดิ่งเหล็กถูกพิมพ์ลงบนกระดาษและมองเห็นอย่างเลือนรางว่าเป็นลายต้นหญ้าเลือดมังกรและสมุนไพรเล็ก ๆนิดอื่น นางคิดอยู่สักพัก ควรที่จะหาตำรายาเล่มอื่นจากสมุนไพรที่มาจากกระดิ่งเหล็กใบเล็กนี้
นางยกยิ้มมุมปากที่หลิ่งหนานตระกูลหยุนมันไม่ใช่เรื่องที่ง่าย
นางนั้นนั่งคิดมาจนถึงยามค่ำคืนนั้นนอนไปได้สองชั่วยามก็รีบตื่นขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบสบายๆและกลับไปยังร้านยาเหย้าอีกครั้ง ฉีหลินอ่านตำราแพทย์ที่อ่านข้างไว้เมื่อเห็นว่านางกลับมาก็เชิญให้ร่วมทานอาหารเช้าด้วยกัน
“วันนี้มาก็ยังมีเรื่องให้เจ้าช่วย” กู้อ้าวเวยทานเสี่ยวหลงเปาไปด้วยพลางหยิบกระดาษจากสาบเสื้อตรงอกออกมาส่งให้ฉีหลิน “ตำรายาของตระกูลหยุน ข้าทำความเข้าใจไปได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น”
ฉีหลินจับกระดาษบางในมืออ่างระมัดระวัง “ตำรายาของตระกูลหยุน? หรือว่านี่คือ….”
“ตำรายาของตระกูลไม่ได้อ่านเข้าใจง่ายได้ขนาดนั้นเจ้าลองเปิดดู” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆและเท้าคางพลางคิดว่าตอนนั้นที่ไปเก็บสมุนไพรว่านางนั้นเอาหญ้าเลือดมังกรและถุงน้ำดีหงส์วางไว้ที่ไหน?
นางกางกระดาษในมือสมองว่างเปล่า “นี่…สมุนไพรสองชนิดนี้ไม่ใช่ต้านกันหรอกหรือ? มันจะใช้ได้อย่างไร?”
“มีสมุนไพรหลายชนิดในตำรายาข้าอยากที่จะเข้าใจเพิ่มมากขึ้นเลยมาหาเจ้า” กู้อ้าวเวยดื่มน้ำอุ่นเข้าไปมากเพราะร่างกายนั้นยังมีพิษเหลืออยู่ วันหลังที่ทดลองยาอาจจะใช้ยาที่ทำให้เกิดอาการจิตหลอนเมื่อตนนั้นสติสัมปชัญญะเลื่อนลอย ถ้ากดิตำรายานั้นผสมกันขึ้นมานั้นมันจะทำให้ยากที่จะจัดการ
“เจ้าเชื่อข้าขนาดนั้นเชียวหรือ?” ฉีหลินรับของมาอย่างระมัดระวัง
“มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่ข้าจะเชื่อ มิเช่นนั้นข้าคงไม่นำสิ่งนี้มาให้เจ้า” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ “ช่วยข้าเก็บรักษาตำรายาแล้วข้าจะช่วยเจ้ากับพี่สาวของเจ้าได้เข้าสำนักเหยีนยหยู่เก๋อ ข้าอยากที่จะทำการค้าหาเงินกับเจ้า”
“ท่านนี่คำนวณมาอย่างดีเสียจริงๆ” ดวงตาเบิกกว้างมองไปทางนางฉีหลินน้อยใจเล็กน้อย
กู้อ้าวเวยยิ้มออกมา “แน่นอนไม่ทรยศก็ค้าขายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ข้าควรจะส่งเจ้ากลับด้วยตัวข้าเอง”
ฉีหลินพยักหน้า เมื่อวานที่จวนเฉิงเสี่ยงและตระกูลฉีนั้นได้ยกเลิกงานแต่งนั้นเป็นเรื่องราวที่ถูกโจษจันกล่าวขานไปทั่ว คนส่วนมากบอกว่ากู้จี้เหยานั้นดูหมิ่นดูแคลนเด็กเอาแต่ใจแห่งเมืองเทียนเหยียน และคนของตระกูลฉีก็ไม่สามารถปิดบังการตาหาตัวลูกชายชั่วร้ายที่หนีออกจากบ้านได้ พวกเขาไม่ได้กลัวว่าจะถูกจวนเฉิงเสี่ยงจับได้
และมีกู้อ้าวเวยพระชายาคนนี้เป็นเพื่อนความกล้าหาญของฉีหลินก็เพิ่มขึ้นมามากมาย
บนถนนกู้อ้าวเวยเจาะจงให้เฉิงยีไปเอาเสื้อผ้าหรูหรามาให้นางเปิดประตูและเข้าไปนั่งในรถม้า เฉิงยีเฉิงเอ้อแยกกันไปขี่รถม้าฉีหลินจึงได้โอกาสถามด้วยเสียงเบา “พิษในร่างของเจ้า….”
“ข้าหาวิธีถอนพิษได้แล้ว แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่พูดมันออกไป” กู้อ้าวเวยทำท่าทางบอกให้เงียบไว้ ฉีหลินพยักหน้าตอบรับอย่างจริงจังแต่กลับไม่คิดว่ากู้อ้าวเวยจะเชื่อใจนางแบบนี้
เมื่อมาถึงประตูหน้าจวนตระกูลฉี ฉีหมิงได้ยินเสียงลมที่หน้าประตูก็มาต้อนรับ
กู้อ้าวเวยนำของของพระชายาจิ้งลงจากรถม้าพลันสายตาก็เห็นท่าทางกระฉับกระเฉงของฉีหมิงเขานั้นมีรูปร่างค่อนข้างท้วมทว่าท่าทางกลัวว่องไวกระฉับกระเฉง ข้างหลังก็ยังมีบุตรธิดายืนอยู่ล้วนแต่มีท่าทางหยิ่งยโสมีเพียงแค่ฉีหรัวเท่านั้นที่ดูปกติเรียบง่ายยืนอยู่ด้านหลังและจ้องมองมาทางนาง
“พระชายาจิ้ง ก่อนหน้านี้ได้ยินจากท่านอ๋อง โชคดียิ่งนักที่ได้พระชายาจิ้งผู้เป็นแพทย์น้ำใจงามรักษาลูกชายหัวรั้นไม่ฟังความของข้าให้หายได้ ช่างเป็นพระกรุณายิ่งนัก!” ฉีหมิงรีบทำความเคารพ
กู้อ้าวเวยขมวดคิ้วไม่เคยรู้ว่าก่อนว่าซ่านจินจื๋อจะเคยมาแวะเวียนที่นี่ด้วยจึงไม่ได้เจาะกระดาษให้เป็นรูและทำตามที่ซ่านจินจื๋อพูดไว้ “โทษข้าเถอะที่ออกมาข้างนอกน้อยนักไม่ได้รู้จักคุณชายผู้สูงศักดิ์นี่ก็ล่าช้ามีเป็นวันแล้ว”
“พระชายาจิ้งพูดเกินไปแล้ว ถ้าไม่ถือสาอะไร เชิญท่านเข้ามาดื่มชาสักแก้วเถิด” ฉีหมิงรีบนำคนมาเปิดถนนเคารพนบนอบต่อนาง
กู้อ้าวเวยก็ไม่ได้ปฏิเสธและเดินตรงเข้าไปผ่านฉีหรัวจึงได้จับมือของเขามาตรวจชีพจรและขมวดคิ้ว “นายท่านฉี ท่านนี้…”
“คนนี้เป็นลูกสาวคนที่สองของข้าร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก ๆแล้วขอรับ” ฉีหมิงลืมตามองมา “ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าพระชายา…”
“ข้าเข้าใจความหายของนายท่านฉี ถ้าหากว่าท่านไม่ว่าอะไร ให้คุณหนูรองไปยังเรือนเล็กของข้าสักสองสามวันได้หรือไม่? ระหว่างทางข้าได้ฟังจากคุณชายฉีหลินมาว่าพี่รองของเขานั้นมีความรู้มากนัก ข้าอยากที่พูดคุยกับนางเสีหน่อย” กู้อ้าวเวยพูดความประสงค์ออกไปคล้ายกับเหมือนรู้จักกันมานาน
ฉีหรัวกระแอมออกมาไม่รอให้ฉีหมิงได้พูดก็ทำความเคารพต่อกู้อ้าวเวย “ขอบพระทัยพระชายาจิ้ง”
ทั้งสองนั้นเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยฉีหมิงก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไรจึงได้ตอบตกลงไปแต่โดยดี
เมื่อดื่มชาไปได้สักพัก ลูกสาวคนโตของฉีหมิงมีรูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามจนผู้คนตะลึงก็เดินมาพูดคุยด้วยเสียหลายครั้งแต่ก็ถูกกู้อ้าวเวยเมินเฉยหลบหลีกตลอด นางนั้นชอบคนที่มีความทะเยอทะยานทว่าแต่ต้องไม่ใช่คนกดขี่ผู้อื่นคนแบบนี้นางไม่ชอบยิ่งนัก
เมื่อต้องออกจากที่นี่นางก็ไม่ลืมที่จะพาฉีหรัวขึ้นรถมาไปด้วยกัน
ระหว่างทางนั่งบนรถมาฉีหรัวก็ยกยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้ “คิดไม่ถึงว่าแม่นางเว่ยเอ๋อจะเป็นพระชายาจิ้ง ไม่แปลกใจเลยที่กล่อมข้าได้”
“ข้าไม่เพียงแต่เกลี้ยกล่อมเจ้าแต่ฉีหลินก็ด้วย เขามักจะตั้งใจศึกษค้นคว้าเมื่อใดที่ได้สำนัก เหยียนหยู่เก๋อได้ก็จะส่งต่อให้เจ้า” กู้อ้าวเวยเปิดม่านและมองไปยังสายตากังวลของฉีหลินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงทุ้มออกมา “ฉีหลินเต็มใจทำทุกอย่างให้เจ้า แต่เจ้ากลับเอาแต่ทุกข์และไม่ยินยอมบังคับให้เขาได้เรียน”
“เขาเป็นเพียงญาติพี่น้องคนเดียวของข้า ถ้าเขาสามารถถือตัวได้ตลอด จะเป็นคุณชายชั่วร้ายก็ไม่มีอะไรไม่ดี ข้า…ก็ไม่อยากที่จะบังคับเขา” ฉับพลันสายตาของฉีหลินก็อ่อนโยนลงคนอื่นคงจะต้องการให้เขาเป็นใหญ่เป็นโตแต่สำหรับนางเพียงหวังว่าน้องชายของนางจะสามารถเป็นอิสระได้ตลอดไป
“ทว่าเขานั้นเกลียดท่าทีที่โศกเศร้าของเจ้า” กู้อ้าวเวยหยิบกำไลหยกเขียวไสออกมาจากกระเป๋ามาสวมให้เขาพรางกระพริบตาปริบๆ “เขาบอกว่านี่คือกำไลที่เจ้าชอบที่สุด ก่อนหน้านี้ทำหายไปไม่กี่วันก่อนเขาออกไปข้างนอกกับหยินเชี่ยวก็บังเอิญเจอกำไลนี้เลยหากลับมาคืนให้เจ้า”
ฉีหรัวลูบกำไลที่ข้อมือของตัวเองเบาๆนางเงียบไปครู่ใหญ่และจึงพูดออกมา “ช่างเป็นน้องชายที่โง่เขลาเสียจริง นี่ก็สิบกว่าปีแล้ว…ก็ยังจะเอาแต่ล้อเล่นอยู่ได้”