บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 569
กู้อ้าวเวยฟังแล้วก็แปลกๆ
ภาระอะไรกัน?
สีหน้าหยุนหว่านเปลี่ยนไป จื่อก็เข้ามาลากนางออกมา “เจ้าก็พูดง่าย ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ ตอนที่เจ้าใส่ร้ายตระกูลหยุนนั้น พวกเราก็คงจะตายกันไปหมดแล้ว เพียงคุณหนูรับมือต่อได้ พวกเราก็มีโอกาส”
พอพูดถึงเรื่องเก่า ซ่านจินจื๋อก็ต้องยอมรับว่าตนเองถูกหลอกใช้ หยุนหว่านมองเขา “เจ้าไม่รู้รายละเอียดข้างใน แล้วจะพูดออกมาได้อย่างไร?”
“ของที่เจ้าส่งมา ข้าตรวจสอบหมดแล้ว” ซ่านจินจื๋อหน้านิ่ง “ยาอมตะนั่น ก็แค่ความหวังที่ตระกูลหยุนและตระกูลต้วนเหลือไว้ลูกหลาน ตอนนี้เจ้าเรียกข้ากับเวยเอ๋อมา ปากบอกว่าจงรักภักดี หรือว่าไม่ใช่จะให้พวกเราไปรับภาระต่อจากเจ้าหรอกหรือ รับช่วงตำบลเหยสุ่ยต่อ”
หยุนหว่านสีหน้าไม่ค่อยดี
กู้อ้าวเวยก็ยังคิดไม่ตก ซ่านจินจื๋อก็จับมือของนางแล้ว แล้วเอานางมากอด พูดว่า “เวยเอ๋อ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมคนตระกูลหยุนตายไปแล้วไม่ได้เข้าฝังในสุสานหลวง?”
คำพูดง่ายๆ คำเดียว นางก็ถึงบางอ้อทันที
นางมองหยุนหว่านอย่างไม่มั่นใจ “ไม่ใช่นางปีศาจเสียหน่อย เพราะว่าคนพวกนั้นรับดูแลตำบลเหยสุ่ย ไม่ว่าฮ่องเต้คนต่อไปจะเป็นลูกหลานตนเองหรือไม่ ก็ต้องจงรักภักดี”
ดังนั้นคนตระกูลหยุนไม่เคยตายตก เพราะมีค่าในการปกป้องราชบัลลังก์แคว้นชางหลาน
ก็เลยต้องมาอยู่พื้นที่อันเน่าเฟะแบบนี้เพื่อชุบเลี้ยงทหารเดนตายเพื่อราชสำนัก
ดังนั้นก็เลย………..
“ดังนั้น คนตระกูลหยุนด้านนอก ก็เป็นตัวประกันของฮ่องเต้ ตระกูลหยุนที่อยู่ด้านนอก ผู้หญิงที่ตายก็ต้องเปลี่ยนชื่อแซ่ทั้งหมด เพื่อตั้งกองทัพให้ฮ่องเต้ ” กู้อ้าวเวยหน้าเจื่อน “ดังนั้น พี่น้องตระกูลจูก็จะรู้ที่อยู่ที่นี่ และคนอื่นก็จะไม่รู้ที่แห่งนี้”
“ใช่ เพราะว่าตระกูลจูเหมือนกับตระกูลหยุนเรา แต่น่าขำที่พวกเขาไม่ได้รับช่วงต่อหน้าที่ที่น่าขยะแขยงแบบนี้ แล้วยังจะหน้าด้านจะมาเอาสูตรยาจาดเจ้าอีก” เฒ่าแก่เนี๊ยะหัวเราะออกมา แล้วก็หยิบบุหรี่ตนเองขึ้นมา “พวกเรามักจะได้รับนักโทษประหารหรือพวกคนชั่วๆในยุทธภพ ยาพิษของพวกเราสามารถควบคุมพวกเขาได้”
“ในโลกนี้ ไม่มีตระกูลใหญ่ๆที่ไหนเขาทำกัน”
ตอนนี้หยุนหว่านมายืนตรงหน้ากู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยหุบคอหลบเข้าตัว แล้วก็รู้สึกว่าหลังเย็นๆ เหมือนจะคิดอะไรออก แล้วก็ถามออกไป “ตอนนั้น ท่านพ่อก็ตรวจสอบอะไรพวกนี้ได้ ก็เลยเข้าใกล้ท่าน จากนั้นต้วนโฉงก็เลยไม่ใช่ในความจงรักของท่าน ทั้งสองตระกูลก็เลยต้องจบข้อแลกเปลี่ยนกันที่นี่”
สีหน้าของหยุนหว่านและซ่านจินจื๋อเปลี่ยนไป
นางน่าจะเดาถูกต้อง
นางไม่รู้ความแค้นของหยุนหว่านและฉูหลี่มาก่อน แต่ทั้งสองมักจะพูดตอนที่นางไม่อยู่ วันนี้กลับมากันตรงๆ ก็เลยเดาออกบ้าง
แต่ซ่านจินจื๋อไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ กู้อ้าวเวยออกมาจากอ้อมกอดเขา “ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะยอมรับงานนี้ไว้ ข้าช่วยคนตั้งมากมาย ตอนนี้ก็แค่มาอยู่เป็นเพื่อนพวกคนชั่วๆ ต่อให้ยมบาลจะคิดบัญชีกับข้า ก็ต้องเอาชีวิตมาแลก”
หยุนหว่านอึ้ง โดยไม่คิดว่าคำพูดพวกนี้จะหลุดออกมาจากปากของกู้อ้าวเวย
เพราะในความจำของนาง ลูกสาวคนนี้เป็นดี
แต่ตอนนี้ สายตาของกู้อ้าวเวยไม่ได้จะหลอกลวงคน แต่เป็นคนแข็งแกร่งขึ้นเยอะ
“แต่ว่านี่มันเรื่องเล็ก ท่านแม่ไม่ต้องจริงจัง”
นางยิ้มเข้าใส่ แล้วจับที่คอของแม่ตน หัวเราะพูดว่า “ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ถือว่าเป็นโชคดีของข้า ตอนนั้นข้าสามารถหนีไปจากที่นี่ วันนี้ได้เป็นคนใหม่ ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว”
สองแม่ลูกไม่มีอะไรจะพูด หยุนหว่านตาแดงก่ำ แล้วก็ตบๆที่หลังของนาง
“เพียงแต่ ข้าก็ยอมจงรักต่ออ๋องจิ้ง ” เสียงของกู้อ้าวเวยเข้าไปยังหูของหยุนหว่าน “แต่ก็เหมือนกัน เขาต้องรับรองว่าคนของทิงเฟิงเก๋อของท่านและคนในตระกูลจะต้องปลอดภัย”
ซ่านจินจื๋อเองก็ได้ยินชัดเจน “ในเมื่อไม่ต้องมีความภักดีจากเจ้า……….”
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรฟรีๆ เจ้าติดหนี้ข้า สักวันก็ต้องคืนให้ข้า วันนี้ข้าหาเจ้าให้ช่วย ภักดีต่อเจ้าก็ไม่มีอะไรเสียหาย ” กู้อ้าวเวยออกมาจากอ้อมกอดหยุนหว่าน แล้วเอียงตัวมายิ้มกับซ่านจินจื๋อ “ตอนนี้ เจ้าจะมามองข้าว่าเป็นหญิงสาวที่น่าสงสารงั้นหรือ?”
“เป็นดังเจ้าหวัง ” ซ่านจินจื๋อก็หัวเราะ แล้วหันมองหยุนหว่าน “ท่านจะพาพวกเราไปดูอะไรหรือ?”
เฒ่าแก่เนี๊ยะอ้าปากมองทั้งสองคน
นี่มันคือเรื่องใหญ่ แต่ทำไมพอมาถึงช่วงกู้อ้าวเวยและซ่านจินจื๋อกลับกลายเป็นเรื่องเล็กที่คุยกันง่ายๆ
ถ้าเทียบกับความตกใจของทุกคน ซ่านจินจื๋อไม่ค่อยตกใจกับเรื่องนี้
กู้อ้าวเวยสามารถเห็นจุดสำคัญได้ แล้วก็เปรียบเทียบเรื่องที่สำคัญที่สุด แล้วสุดท้ายก็เอาเรื่องสำคัญที่สดมาตัดสิน โดยที่ไม่เคยคิดถึงตัวเอง
นี่ก็คือจุดที่ซ่านจินจื๋อชอบนาง
“อยากจะพาพวกเจ้าไปดูอะไรบางอย่าง อีกสองสามวัน ไม่ต้องแล้ว ตอนนี้เลย ” หยุนหว่านก็ลากแขนกู้อ้าวเวยเดินเข้าไป
เฉิงซานก็พาคนของตนเองขึ้นชั้นสองไปพัก จื่อและเฒ่าแก่เนี๊ยะก็ห้ามไม่ให้คนตามไป
หยุนหว่านพาพวกเขาขึ้นรถม้าไป แล้วก็มีคนตาแก่อายุครึ่งร้อยเป็นคนขับรถม้า
“ต้องเดินทางนานนานหน่อย” หยุนหว่านบอกเปรยๆเช่นนี้ แล้วก็จับมือของกู้อ้าวเวยที่เย็นเฉียบ พอจับเรื่อยๆ นางก็หลบไปซบตัวซ่านจินจื๋อ “เขาตัวอุ่น”
ดูออกว่านางไม่อยากให้แม่ตนเองรู้ว่าแขนตนเองเป็นอะไร หยุนหว่านมองขวางซ่านจินจื๋อ
เดินทางทั้งวัน จนถึงเช้าของอีกวัน รถม้าก็หยุดที่ตีนเขา
ใช้เวลาสองชั่วยามเดินขึ้นมากลางเขา กู้อ้าวเวยก็พบว่าที่นี่มีค่ายกล หยุนหว่านก็ควักกุญแจออกมาเปิดประตูหิน มีเสียงดังขึ้นมาก
สิ่งที่เห็นคือห้องโถงโค้งใหญ่ แล้วยังมีสีสันสวยงาม
กู้อ้าวเวยก็กลืนน้ำลาย พอแสงส่องมายังตรงกลาง ก็เป็นรูปปั้นผู้หญิงครึ่งท่อนบน ในมือนั้น มีม้วนคัมภีร์อายเก่าแก่ ผุพังเล็กน้อย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
กู้อ้าวเวยเดินเข้าไปใกล้ ยืนอยู่กลางห้องโถง รอบด้านเป็นแสงเทียน และภาพวาดเพดานนั้น เป็นรูปที่ไม่ควรมาอยู่ที่นี่ มันคือ กามเทพ
นกพิราบปีกสีขาวเต็มไปหมด ส่วนบนเสาเป็นตัวหนังสือจีนที่มีในสมัยของนาง
“ที่แท้ก็ไม่มีข้าเพียงคนเดียว” นางหยุดอยู่หน้ารูปปั้นนั้น แล้วมองด้านล่าง สลักตัวอักษรจีนแบบย่อ “สายเลือดมังกรอยู่ที่นี่ เจิ้งสุยเป็นตัวแบ่งเขต”