บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 590
บทที่ 590 จุดประกายตำนาน
บรรพบุรุษของตระกูลหยุนมาจากอนาคต
แต่ในความทรงจำของกู้อ้าวเวย ไม่เคยมีราชวงศ์ใดที่สามารถทำให้สถานการณ์โดยรวมไม่เปลี่ยนแปลงและทวีคูณเป็นเวลาหลายร้อยหรือหลายพันปี เร็วที่สุดเมื่อมาถึงที่นี่ นางควรจะตระหนักว่ามีบางอย่างแปลก ๆ ในพื้นที่แห่งนี้
แต่บัดนี้ได้ทราบข่าวนี้ แต่นางกลับรู้สึกว่ามีมือใหญ่คู่หนึ่งคอยทำให้สถานการณ์มีเสถียรภาพ
ไม่ว่าจะเกิดความวุ่นวายก็ชั่ง ขยายอาณาเขตก็ชั่ง สถานการณ์โดยรวมของทั้งสามแคว้นนี้ไม่เคยแตกสลายจริงๆ และเมื่อคิดอย่างรอบคอบ มันไม่ใช่ผลงานของเทพองค์ใด แต่ขึ้นอยู่กับผู้คนที่อยู่บนพื้นแผ่นดินใหญ่
กู้อ้าวเวยเอนตัวอยู่ในอ้อมอกของซ่านจินจื๋ออย่างปลื้มปริ่ม ค่อยๆ ยิ้มออกมา “สถานการณ์โดยรวมในใต้หล้า เดิมทีก็ไม่ใช่ว่าเจ้าและข้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่โลกนี้ใหญ่มาก แต่ส่วนใหญ่เป็นคนเงียบขรึม เกรงว่านี่จะเป็นเหตุผลพื้นฐานที่สุดสำหรับสามแคว้นนี้”
แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดกู้อ้าวเวยดีใจ ซ่านจินจื๋อได้แต่อุ้มคนเอาไว้ทันที พูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “อาจารย์พ่อก็เคยรู้สึกว่าเรื่องนี้บังเอิญมากเกินไป แต่บัดนี้ยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปี ก็ไม่มีคนสงสัย แต่ใครจะไปรู้ว่าแคว้นเจียงเยี่ยนจะถูกแคว้นเอ่อตานชางหลานกลืนกินหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราต้องกลายเป็นประวัติศาสตร์ทางสงคราม”
“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล งั้นข้าก็ยังหัวเราะมาเร็วขนาดนี้ไม่ได้ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจโจมตีเต็มกำลังอย่างสำเร็จ อำนาจของทั้งสามแคว้นก็ถูกทำลาย ตอนนั้นต้องวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ ถึงจะถูก” กู้อ้าวเวยหดรอยยิ้มนั้นลง รู้สึกได้ว่าซ่านจินจื๋อปีนมาที่ด้านหลังของตน จึงนึกที่จะถามขึ้นมาได้ว่า “ผู้เฒ่าซวีให้ของขวัญขนาดใหญ่แก่ข้าเช่นนี้ ข้าต้องใช้แน่นอน แต่การบุกโจมตีด้วยกำลังที่เจ้าพูดนั้น บัดนี้มีองค์ชายเก้าคอยยับยั้งขัดขวาง จะสำเร็จหรือ”
“เรื่องที่ข้าอยากทำ ก็จะไม่มีใครสามารถยับยั้งขัดขวางได้” ครั้งนี้ซ่านจินจื๋อเอากู้อ้าวเวยมาไว้ที่ด้านหน้าร่างกายของตน มือข้างหนึ่งโอบเอวของนางไว้แน่น น้ำเสียงเคร่งขรึมนุ่มลึก “เพื่อความปลอดภัยของสาวงามอย่างเจ้า บุกโจมตีหนึ่งแคว้น เหลือไว้เป็นประวัติศาสตร์ เจ้าว่าเป็นเรื่องดีหรือแย่ล่ะ”
“ไม่ว่าดีร้าย เจ้าก็คือเจ้า ต่างกันไหม” กู้อ้าวเวยหัวเราะอย่างเยาะเย้ยหนึ่งเสียง “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจทำให้แคว้นเจียงเยี่ยนสงบสุขเพื่อข้าแล้ว ข้าก็ย่อมเอาชื่อเสียงเสียหายบันทึกไปในประวัติศาสตร์ด้วย ไปลองพนันกันดูสักตั้งเพื่อความสงบสุข”
กู้อ้าวเวยหันหน้าไปตามสายลม สายตาคู่หนึ่งมองไปที่ซ่านจินจื๋อด้วยความเข้มแข็ง “ได้แค่มองระหว่างเจ้ากับข้า ที่แท้อำนาจจะตกอยู่ในมือของใครกัน”
“ได้” ซ่านจินจื๋อหัวเราะไปสองสามคำ ฟาดแส้ออกไป ควบม้าออกจากคอกไปทางสนาม
ไม่สนใจเสียงกรีดร้องในหูของตัวเอง ไม่ว่าแมลงมีพิษภายนอกจะเป็นอย่างไร มีเพียงสองคนที่มีดวงตาแน่วแน่
ในเมื่อตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไรบางอย่าง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหักห้ามไม่ให้ไปสนใจ
ตลอดเส้นทางที่มาถึงคอกสนาม กู้อ้าวเวยปิดตาลงอย่างว่าง่าย ใบหน้าที่ขาวซีดนั้นเอนอยู่ในอ้อมอกของซ่านจินจื๋อ หมอหลวงที่ถูกเรียกตัวไปแล้วเพราะแมลงมีพิษวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด “ฝ่าบาทถูกแมลงมีพิษกัดหรือ”
ซ่านจินจื๋อขว้างมีดเล่มเล็กไปที่เท้าของหมอหลวงด้วยใบหน้าที่น่ากลัว พูดอย่างเย็นชาว่า “ส่งคนไปอารักขาฮ่องเต้ ส่วนที่เหลือล้อมรอบคอกสนามไว้ ค้นหาบุคคลที่น่าสงสัยและฆ่าพวกเขาทันที”
ซ่านต้วนโฉงสีหน้าซีดไป ฮองเฮาที่อยู่ข้างกายก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “ยังไม่รีบไปพาองค์ชายเก้ากลับมาอีก”
“ไปให้พ้น” ซ่านจินจื๋อแสร้งทำเป็นโกรธและลงจากหลังม้า เพียงแค่กอดกู้อ้าวเวยที่กำลังเพ้ออยู่ในอ้อมแขนของเขา ก้าวย่างไปทางห้องที่อยู่ด้านข้าง
ซูพ่านเอ๋ออยากจะตามติดไปดู มีดพกของเฉิงยีที่อยู่ด้านหลังกลับจ่อไปที่หลังเอวของนาง
และชิงจือที่กำลังกินขนมอยู่ข้างๆ มองดูความวุ่นวายไปทั่วห้อง เป็นเรื่องแปลกที่ทำไมท่านแม่ถึงทำเป็นไม่ได้สติ ด้านนี้ยิ่งเป็นมีดพกในมือของเฉิงยี กลับไม่ตกใจด้วยซ้ำ ได้เพียงแต่ยิ้มให้ซูพ่านเอ๋อ “พี่สาว หากท่านขยับแล้วล่ะก็ พี่เฉิงยีอาจจะฆ่าท่านก็เป็นได้”
“เด็กบ้า……” คำพูดยังไม่ทันได้พูดจบ มีดพกเล่มนั้นก็เคลื่อนเข้ามาลึกอีกหลายเท่า ซูพ่านเอ๋อโมโหจนตกใจหันหน้ามา “ยังไงข้าก็เป็นพระชายาจิ้ง”
“นี่เป็นคำสั่งของท่านอ๋อง” เฉิงยียิ้มให้ชิงจืออย่างอ่อนโยน “แม้ไม่รู้ว่าความคิดของเจ้าคืออะไร แต่เจ้าคิดว่า ท่านอ๋องไว้ชีวิตเจ้าก็เพื่อสืบหาความจริงในตอนนั้นหรือ”
ซูพ่านเอ๋อกำหมัดแน่น มองไปที่เนินสูงที่ฮองเฮากำลังปลอบประโลมซ่านต้วนโฉงอยู่
หรือว่าท่านพี่จื๋อจะพบอะไรเข้าแล้วจริงๆ
……
ในห้อง กู้อ้าวเวยเอายาที่พกมาค่อยๆ ทาลงไป ปริมาณเยอะจนน่าตกใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่านจินจื๋อรู้ว่ากู้อ้าวเวยหลายวันนี้ต้องกินยาเยอะเช่นนี้ เดิมทีก็รู้ว่านางเป็นหมอ จึงไม่จำเป็นต้องกังวล แต่คิดว่ากู้อ้าวเวยไม่เพียงกินยา ยังจะกินยาเป็นข้าวอีก เลยอดไม่ได้ที่จะออกปาก “ไม่ว่ายาอะไรก็มีผลข้างเคียงทั้งนั้น……”
“เจ้าก็ไม่ใช่หมอ จะมาชี้แนะอะไรกัน” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ “บัดนี้หลายสิ่งหลายอย่างผสมกันไปหมดแล้ว ชีวิตของซูพ่านเอ๋อเจ้าจะให้ข้าหรือไม่”
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยึดติดเช่นนี้” ซ่านจินจื๋อเลิกคิ้วขึ้นโดยไม่คาดคิด
“เรื่องอื่นข้าไม่สนใจ แต่ชีวิตนี้แม้ว่าจะเอากลับมาไม่ได้ ข้าก็ไม่สามารถให้เขาอยู่ข้างกายคนรักของข้าได้อีก” กู้อ้าวเวยหัวเราะอย่างเย้ยหยัน ไม่ว่าในปากจะเต็มไปด้วยกลิ่นยาที่ขมมากเพียงใด จูบไปที่ริมฝีปากบางๆ ของซ่านจินจื๋อโดยตรง เห็นความบึ้งตึงของเขา ก็ได้แต่ยิ้มและถอยให้หน่อย “ดุอาการป่วยทั้งตัวของข้า ล้วนเป็นไปตามที่นางแช่งไว้”
ในปากมีรสขม ซ่านจินจื๋อกลับรู้ดีว่านางชอบกินขนมหวานมัน ไม่ชอบให้ปากมีรสขม
ยังอยากจะเอาคนเข้ามาในอ้อมกอด คนที่อยู่ด้านหลังหลับถอยออกไปสองสามก้าว ยิ้มไม่หุบ “จะว่าไปข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าพบอะไรที่นั่นบ้าง”
“เซียวไห่ทำได้แนบเนียนมาก น่าเสียดายที่คนของเขาทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ ที่จริงก็คือเขา ที่นั่นมีวัชพืชสีเขียวบางชนิดที่ไม่ควรมี” ซ่านจินจื๋อพูดไปเรื่อยๆ ในที่ชื้นเช่นนั้นมีเพียงมอสส์เท่านั้นถึงจะถูก
“ดุไปแล้ว ตอนที่เซียวไห่ไปจะเร่งรีบไปหน่อย ปล่อยแมลงมีพิษไว้เพื่ออะไรกัน” กู้อ้าวเวยพิงอยู่ข้างโต๊ะครึ่งตัว พูดด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “มีดเล็กนั้นในเมื่อเป็นของผู้เฒ่าซวี ถ้าเช่นนั้นซู๋ฮองเฮา ซูพ่านเอ๋อและเซียวไห่ก็ควรยืนอยู่ข้างเดียวกัน”
“ซูพ่านเอ๋อก็อยู่แค่ปรายตาข้านี่เอง เซียวไห่ไม่น่าจะเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ หรือในนี้อาจมีผู้ร่วมมืออีก เป็นเมี่ยวหาร” ดวงตาของซ่านจินจื๋อเริ่มมืดมน ลุกขึ้นยืน “เจ้าคิดไม่ถึงว่าผู้ชายจะยึดติดกับผู้หญิงมากขนาดนี้แน่นอน”
“เหมือนกับเจ้าที่แม้ตายก็ไม่เปลี่ยนใจต่อข้าหรือ” กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วไปมา ไอสองครั้งโดยไม่มีเหตุผล ผลักไหล่ของเขา “เจ้ารีบออกไปแสดงต่อไป ส่งคนไปสืบเรื่องนี้ให้ดี ข้าทางนี้จะแกล้งป่วย เลี่ยงไม่ให้คนจับเราได้ บอกว่าข้าฝีมือแพทย์ดีเยี่ยม ยังไงก็ไม่พบแมลงมีพิษเหล่านี้”
ซ่านจินจื๋อพยักหน้า ให้คนมาเก็บกวาดยาในห้อง ถือโอกาสพาหมอหลวงที่ซื้อตัวมาจากในวังมาด้วย ให้พูดความเท็จ นี่ก็เป็นความยินยอมของฮ่องเต้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องธรรมดา
เขาเพิ่งจากไป กู้อ้าวเวยก็นั่งลงบนเก้าอี้ด้านหน้าทันที ต่อหน้าต่อตาเริ่มมืดมนขึ้น
จากความรีบร้อนก่อนหน้าสู่ความสงบตอนนี้ นางยังไม่สามารถยอมรับความจริงที่ว่านางเหลือเวลาไม่มากนัก นางยังอยากจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้โดยไม่ต้องกินยา
“ลืมมันซะ งั้นก็อย่าไปโกหกเขาอีก” ยิ้มขมขื่นอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร กู้อ้าวเวยบดขยี้ยาในมืออย่างยอมรับชะตากรรมของตัวเอง เอาเข้าปากไปตามอำเภอใจ ขมวดคิ้ว “ยังไงขนมก็ดีกว่าเยอะเลย”