บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 598
บทที่ 598 อาหลานร่วมมือกัน
ข้างกายองค์ชายมิได้ขาดแคลนอาชาพันธุ์ดีให้ควบขี่
หากไม่ใช่เพราะโรงม้านี้มีฝูงชนจำนวนมาก สุดท้ายก็ยังพอหยุดยั้งม้าป่าบ้าดีเดือดตัวนี้เอาไว้ได้ กู้อ้าวเวยกลัวเพียงแต่ไม่รู้ว่าควรลงมาอย่างไรดี
มีองครักษ์ประคับประคองนางลงจากม้า กู้อ้าวเวยไม่สนใจว่าเรียวขาสองข้างจะโรยแรง ตบลำแขนของคนผู้นั้นด้วยเหงื่อกาฬเต็มหน้า “ม้าตัวนี้วิ่งเร็วจริง ๆ ”
ถ้อยคำง่าย ๆ ไม่กี่คำนี้ทำให้องครักษ์ในโรงม้ากลั้นยิ้ม องครักษ์ที่พยุงนางไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ ก็พลอยมีสีหน้ายุ่งเหยิงไปด้วย ก่อนสั่งคนไปหยิบน้ำชาขนมอบมาส่วนหนึ่ง และเอ่ยเสียงแผ่ว “พระองค์ วายุนิลนี้เป็นยอดอาชาดุดันไม่ค่อยเชื่อง ทั้งยังเป็นม้าที่จำเจ้านายได้ เมื่อครู่ท่านออกแรงสะบัดบังเหียนมากเกินไป มันจึงวิ่งเร็วขนาดนั้น”
นั่นไม่ใช่อยากอวดศักดาต่อหน้าซ่านต้วยเฟิงหรอกหรือไงเล่า
กู้อ้าวเวยกลับพยักหน้าอย่างจริงจัง พลางคิดว่าเดิมที่ผู้หญิงอย่างนางก็ไม่ค่อยได้ขี่ม้าเร็วสักเท่าไร ไม่รู้สึกเสียหน้าเลยสักนิด ก่อนหันไปดื่มน้ำสะอาดหนึ่งคำดับความตื่นตระหนก ทอดสายตามองเห็นซ่านจินจื๋อซึ่งกำลังมองดูชิงจือที่สวมอาภรณ์สีดำขลับเหมือนเขาไม่ผิดเพี้ยนวิ่งเข้ามาแต่ไกล จากนั้นก็กอดเขาสู่อ้อมอกด้วยแววปลื้มปีติ “อาภรณ์ชุดนี้ช่างสง่างามจริง ๆ ”
ชิงจือถูกชมจนหน้าเรื่อแดงในบัดดล ซบลงสู่อ้อมอกของกู้อ้าวเวยโดยไม่พูดจา ปล่อยให้กู้อ้าวเวยช่วยเขาปัดฝุ่นบนกายออก พลางสำรวจว่าเด็กตัวน้อยคนนี้สวมอาภรณ์รัดรูปขึ้นมาหน่อยแล้วจะส่งผลให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นหรือไม่ ยังไม่ทันลองรัดผ้าคาดเอวเลย มือก็ถูกซ่านจินจื๋อฉวยไปก่อน “ไม่จำเป็นต้องลองแล้ว หากไม่พอดีตัว ก็มีชุดใหม่อยู่แล้ว”
“ท่านยังเห็นว่าชิงจือเป็นอ๋องน้อยที่เพิกเฉยต่อเรื่องเล็ก ๆ ทางโลกจริง ๆ เชียวนะ คิดจะซื้ออาภรณ์ขนาดนี้ นั่นคงเป็นการสูบเงินโดยเปล่าประโยชน์แล้ว” กู้อ้าวเวยช้อนสายตาปราดมองเขา “หากในภายหน้าบนตัวเขามีกลิ่นฉุนของผลประโยชน์มาก่อนเชาวน์แม้แต่น้อย ข้าจะคิดบัญชีกับท่านแน่”
ถูกกล่าวว่าเช่นนี้ ซ่านจินจื๋อทำเพียงปล่อยมือแต่โดยดี ก่อนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ยื่นคันธนูหักในมืออีกข้างให้กับคนรับใช้ “ไปเอาคันใหม่มาอีก”
“ท่านแม่ ท่านพ่อถึงขั้นง้างคันธนูจนหักเลยนะ” จู่ ๆ ชิงจือก็เงยหน้าขึ้น
“นี่เรียกว่ากำยำดุจโคอย่างไรเล่า หากเขาเป็นนักล่าน่าสังเวชคนหนึ่ง ต่อให้ไม่ไปล่ากระต่ายตัวนั้นมาได้ หักไปก็คงไม่อาจทำลายการดำรงชีวิตอยู่ต่อไปของตนได้” กู้อ้าวเวยลูบกระหม่อมของเขาเบา ๆ เห็นซ่านจินจื๋อเดินไปทางสนามม้าตรงนั้นด้วยกลิ่นอายอันทรงสง่า จึงกล่าวถามต่อ “ละแวกนี้มีสนามล่าสัตว์ด้วยหรือ”
ซ่านจินจื๋อเลิกเรียวคิ้วข้างหนึ่งขึ้น ทำสัญญาณมือให้นางหนึ่งที
กู้อ้าวเวยพยักหน้าทันใด ดูเหมือนว่าถนนสู่โรงอาชานั่นจะเป็นทางผ่านที่นี่ เขาอ้างว่าพาชิงจือมาเที่ยวเล่น ก่อนจะมองสำรวจสี่ทิศว่าสามารถค้นหาร่องรอยอะไรได้บ้าง
“พระองค์ เมื่อครู่องค์ชายสามได้ข่าวว่าท่านตื่นตกใจ จึงหมายจะเข้ามาในไม่ช้านี้” สายตาของคนรับใช้มองสำรวจสามคนด้วยแววแปลกใจ
นับดูแล้ว องค์หญิงเอ่อตานผู้นี้จะเป็นชายารัชทายาทในอีกไม่ช้า และท่านอ๋องน้อยคนนี้ก็น่าจะเป็นฐานะทัดเทียมกับองค์หญิงแท้ ๆ เหตุใดจึงเรียกนางว่าท่านแม่ องค์หญิงผู้นี้เหยียบเรือสองแคม อย่างนั้นหรือ?
ไม่เพียงเขาเท่านั้น คนรับใช้บางส่วนที่อยู่ข้าง ๆ ล้วนคิดไม่ตกเช่นกัน
เดิมซ่านจินจื๋อคว้าคันธนูหมายจะออกไป ครั้นได้ยินถ้อยคำดังกล่าวพลันหมุนกายกลับมาทันที “ตื่นตกใจ?”
“ซ่านต้วยเฟิงยั่วโมโหข้า ข้าเลยชิงม้าของเขามาแทนการขอโทษ เพียงแต่ม้าตัวนี้ข้าขี่ไม่เป็น หากท่านชอบละก็ เอาไปได้เลย” กู้อ้าวเวยกล่าวอย่างสบายอารมณ์ หยัดตัวลุกขึ้นอุ้มชิงจือขึ้นมา “ไปพบพี่ชายเจ้าเป็นเพื่อนแม่หน่อย ดีหรือไม่”
หัวคิ้วของซ่านจินจื๋อพลอยเลิกขึ้นมา นี่เป็นการแบ่งรุ่นอะไรกัน?
ตอนที่ซ่านเซิ่งหานรุดเข้ามาตามข่าว กู้อ้าวเวยได้ส่งชิงจือสู่อ้อมอกของเขาเป็นที่เรียบร้อย และยิ่งเรียกว่าพี่ชายด้วยเสียงหวานล้ำ ทำเอาซ่านเซิ่งหานตกใจมือไม้เป็นพัลวัน ก่อนกลอกตาใส่กู้อ้าวเวยหนึ่งที “หากนับกันแบบนี้ การแบ่งรุ่นก็ชุลมุนวุ่นวายไปหมดสิ”
“ท่านก็คิดเสียว่าชิงจือเป็นน้องชายของข้าสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย” กู้อ้าวเวยหัวเราะร่วน
“เจ้ากล้า!” ซ่านจินจื๋อเกือบจะง้างธนูคันใหม่ในมือหักสะบั้น มีเพียงชิงจือที่อยู่ในอ้อมอกของซ่านเซิ่งหานเท่านั้นที่หัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
สองอาหลานต่างจ้องกู้อ้าวเวยเป็นตาเดียว รู้ว่ากู้อ้าวเวยไม่ได้อยากพูดเรื่องของซ่านต้วยเฟิงเลยด้วยซ้ำ แต่ซ่านเซิ่งหานยังคงกอดชิงจือเต็มรัก และหยอกล้อกับเขา “เรียกว่าท่านพี่เหมือนเดิมนั่นแหละ”
“ได้เลย ท่านพี่” ชิงจือพยักหน้าอย่างจริงจัง
ซ่านเซิ่งหานถึงแม้จะมีใจทะเยอทะยาน แต่การปฏิบัติต่อพี่น้องแท้ ๆ ของตนเองนั้นนับว่าไม่เลวเลย ไม่แยแสท่าทีอึ้งตาค้างขององครักษ์ไม่กี่คนที่อยู่ด้านนอก ซ่านเซิ่งหานทำเพียงส่งเด็กน้อยตัวนุ่มนิ่มให้กับเยว่พาไปเล่นสนุก เขากลับไปมาที่นั่งสงบ ๆ กับซ่านจินจื่อและกู้อ้าวเวย
“ซ่านต้วยเฟิงไม่เรียบง่ายอย่างแน่นอน ปีนั้นข้าแค่ป้องกันเขาจะมีใจทะเยอทะยานเกินไป อุปนิสัยอำมหิตเอาไว้ล่วงหน้า ตอนนี้ดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว แม้เขาจะอายุน้อย ด้านนอกกลับมีคนรักถึงสี่คน สองคนรักนั้นในเรือนยังมีทาสและชนชั้นกระฎุมพีที่เป็นส่วยส่งมาจากเจียงเยี่ยนจำนวนมาก” ซ่านเซิ่งหานเอ่ยปากอย่างตรงไปตรงมา
ซ่านจินจื๋อกลับปั้นหน้าขรึม ปริปากเสียงเย็น “ไม่เพียงเท่านี้ เขาประจำการกองทหารที่ชายแดนระหว่างสองประเทศมาหลายปี ที่ข้าไม่ได้เปิดโปงมาโดยเฉพาะก็เพราะอยากดูว่าเขาคิดจะทำอะไร ตอนนี้กองทัพทหารกล้าแปดพันนายมุ่งสู่เทียนเหยียนเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างระยะนี้เสด็จพี่ก็ไม่แข็งแรงนัก หมอหลวงในสำนักก็ถูกติดสินบนไปด้วย”
“นี่ฮองเฮาจะ…” กูอ้าวเวยตกใจยกใหญ่
“ข้าบอกกับเสด็จพี่ไปแล้ว คืนนี้จะพาเจ้าไปด้วยตัวเองสักเที่ยว เผื่อปกป้องเหตุสุดวิสัย” ซ่านจินจื๋อตบหัวไหล่ของนาง “เหตุใดถึงไม่เคยเห็นเจ้าเป็นห่วงนี้แบบนี้บ้าง”
“ท่านเป็นแค่อ๋องเล็ก ๆ คนหนึ่งต่อให้ตายในสนามรบก็ลดตัวกีดขวางออกไปเท่านั้นแหละ เขาเป็นถึงฮ่องเต้ชางหลาน ผู้กำหนดความรุ่งโรจน์ตกต่ำแห่งแว่นแคว้นนะ” กู้อ้าวเวยง้างมือของเขาออกด้วยความรังเกียจ จ้องเขาเย็นชา “ไหนเลยจะเทียบชั้นได้”
ซ่านจินจื๋อส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
ซ่านเซิ่งหานกลับมองก็กู้อ้าวเวยอย่างเป็นกังวลปราดหนึ่ง นางไม่ได้มีความหวังต่ออนาคตแล้ว ตอนนี้กลับแข็งใจเอ่ยวาจาเย็นชาต่อคนที่รักอยู่อีก?
ทั้งสามหารือกันโดยละเอียดสักพัก กู้อ้าวเวยจำต้องออกไปอย่างเสียไม่ได้ตามคำร้องเรียกของชิงจือ
เหลือไว้เพียงพวกเขาสองคน ซ่านเซิ่งหานลังเลอยู่หลายหน ท้ายที่สุดก็ไม่ได้บอกเรื่องสุขภาพของกู้อ้าวเวยให้ทราบ แต่ไถ่ถามด้วยสีหน้าคร่ำเครียด “ท่านอา กองทัพของท่านอยู่ไม่ไกลเลยด้วยซ้ำ”
“ย่อมต้องทำตามถ้อยคำก่อนหน้านี้ ไม่ว่าเจ้ากับนางจะบรรลุข้อตกลงอันใดกัน หากบาดเจ็บขึ้นมา มหาทัพกว่าหมื่นนายนี้ก็จะลุยเข้าเทียนเหยียนเอง” ซ่านจินจื๋อพูดอย่างสบายอารมณ์ ทว่าในความเป็นจริงหลายปีก่อนเขายังไม่ได้พัฒนามาถึงจุดนี้เลยด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามหลายปีนี้ได้ลอบสำรวจมาแล้วไม่น้อย “ศึกระหว่างเจ้ากับซ่านต้วยเฟิงข้าไม่สามารถช่วยเหลือได้ แต่เจ้าจำต้องรู้ หาใช่ข้ามิอาจเอาบัลลังก์ฮ่องเต้มาได้ไม่ ก็แค่ไม่สมัครใจเท่านั้น”
“ท่านอา ท่านทำได้ถึงขั้นนี้เพียงเพราะผู้หญิงนางหนึ่งจริง ๆ หรือ? ไม่เกรงกลัวว่าวันหน้าจะมีการแสวงแก่งแย่งอำนาจขึ้นมาจริง ๆ เหลือทิ้งแต่ชื่อเสียงเสียหายหรือ?” ซ่านเซิ่งหานกำปลายนิ้วแน่น
“ชื่อเสียงเสียหายของข้ายังมีน้อยหรอกหรือ” ซ่านจินจื่อย้อนถามเขา “แม้ว่าคนทั้งโลกจะด่าทอข้า แต่ขอเพียงข้าหยัดตระหง่านต่อฟ้าดิน ไม่รู้สึกละอายใจต่อตนเอง เสียงล่ำคำลือจะเป็นสิ่งใดกัน”
เหมือนอุปนิสัยของกู้อ้าวเวยไม่ผิดเพี้ยน
ซ่านเซิ่งหานคิดสักพัก ทิ้งทวนไว้เพียงหนึ่งประโยคยาว ๆ ที่มีนัยยะลึกซึ้ง “วันหน้า ข้าจะบอกเรื่องบางอย่างแก่ท่านอาด้วยตัวเอง เรื่องของซ่านต้วยเฟิงคนนี้ รบกวนท่านอาช่วยข้าด้วยแล้วกัน”
แม้จะสงสัยว่าเป็นเรื่องใดกันแน่ แต่ตอนนี้เป็นดั่งผลประโยชน์ก็ไม่ปาน
ซ่านเซิ่งหานทำเพื่อบัลลังก์ฮ่องเต้ของตนเองมั่นคง ซ่านจินจื๋อกลับทำเพื่อความปลอดภัยของพี่น้อง นับดูแล้วเป้าหมายทั้งสองกลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ย่อมตกลงเป็นธรรมดา “