บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 619
บทที่ 619 ดื้อรั้น
“หากไม่ลงโทษใครเลย ในวังนี้คงไม่มีใครปฏิบัติตามกฏเป็นแน่” ซู๋ฮองเฮาจัดแขนเสื้อท่าทางนิ่งเฉย ทาสที่อยู่ข้างๆเข้าใจความหมายของนาง เดินขึ้นไป: “ทหาร เอาทาสพวกนี้ไปโบยสิบสี่ที”
“ฮองเฮาโปรดไว้ช่วยชีวิตด้วยพะยะค่ะ!” เหล่าขันทีทั้งหลายตะโกนกันขึ้นมา
โบยสี่สิบทีนี้ มีไม้หนาๆสองท่อนรวมกันโบยลงมา ถึงตอนนั้นคงไม่มีแม้แต่ลมหายใจแล้ว
บนเตียงชิงจือพยายามดิ้นไปมา อยากที่จะลุกขึ้นมานั่ง แต่ซ่านจินจื๋อใช้มืออีกข้างค่อยๆกดตรงไหล่เขาไว้ ส่วนอีกข้างมาสัมผัสกับหน้าผากของเขาว่ายังมีไข้อยู่หรือไม่ ดวงตากลมโตที่เหมือนของกู้อ้าวเวย มาพร้อมกับความรู้สึกเป็นห่วง
“ไม่ได้” ซ่านจินจื๋อพูดขึ้น เปิดม่านบางๆที่อยู่ข้างเตียง สายตาที่เย็นชาไปหยุดอยู่ที่ทาสรับใช้: “ทาสรับใช้เหล่านี้เป็นทาสรับใช้ของชิงจือ งั้นแสดงว่าเป็นคนของตำหนักอ๋องจิ้ง เกรงว่าไม่ต้องถึงมือฮองเฮาลงโทษหรอกพะยะค่ะ”
ทาสทั้งหลายโล่งอกทันที ฮองเฮากำมือแน่น ผ้าเช็ดหน้ากลายเป็นก้อนกลม และกัดฟัน: “ทาสในวังไปเป็นคนของตำหนักอ๋องจิ้งตั้งแต่เมื่อใดกัน? อ๋องจิ้งกำลังคิดทำอะไรอยู่หรือไม่ ถึงได้พูดจาเหมือนจะก่อกบฏเช่นนี้”
“ชิงจือเห็นทาสพวกนี้เป็นเหมือนเพื่อน งั้นก็ยิ่งแสดงว่าเป็นเหมือนแขกของตำหนักอ๋องจิ้ง มีตรงไหนผิดปกติ?”
ซ่านจินจื๋นขมวดคิ้ว ใบหน้าของฮองเฮาที่ไม่พอใจและเริ่มขาวซีด หันกลับมาถามชิงจือ: “เจ้าเห็นพวกนั้นเป็นอะไร?”
“เป็นเพื่อนขอรับ” ชิงจือยิ้มหวานๆลูบๆข้างๆของซ่านจินจื๋อ ไอขึ้นมาไม่กี่คำทันที พร้อมกับเบื่อหน่ายพูด: “ท่านแม่เคยพูดไว้ คนเราถึงจะกินครบห้าหมู่ ถึงยังไงก็ต้องป่วยอยู่ดี”
สีหน้าของซ่านจินจื๋ออ่อนโยนขึ้นเยอะ มือของเด็กน้อยเต็มไปด้วยเหงื่อ: “เมื่อคืนเจ้าไม่ฟังคำของเพื่อน มัวแต่เล่นจนทำให้ไม่สบาย แล้วท่านแม่เคยว่าอย่างไรบ้าง?”
“หลังจากหายดีแล้วต้องถูกสั่งสอน โดยต้องคัดหนังสือ สงบๆจิต” ชิงจือพูดถึงตรงนี้ พึมพำปาก ยื่นมือออกไปจับมือของซ่านจินจื๋อไว้: “ต่อจากนี้ข้าจะไม่มัวแต่เล่นแล้ว ท่านพ่ออย่าโทษพวกเขาเลย ท่านยังเคยพูดอีกว่าการบันดาลโทสะ เป็นการกระทำที่โง่เง่า ไม่สมควรทำ”
คำพูดของเด็กน้อยทำให้ไทเฮาและกุ้ยมามายิ้มกะทันหัน พูดจนทำให้ใบหน้าของซู๋ฮองเฮาขาวซีด
เจ้าเด็กนี่ริกอาจกล้าพูดนางว่าการกระทำโง่เง่า
“องค์ชายน้อยอายุยังน้อยนัก เลยไม่รู้กฎของในวังสักเท่าไหร่ อ๋องจิ้งท่านก็ไม่รู้เหมือนกันหรอ?” นางพ่นคำพูดออกมา อย่างตรงไป: “อ๋องจิ้งเข้ามาแทรกแซง จะไม่ให้เกียรติตราประทับของข้างั้นรึ?”
ชิงจือขมวดคิ้วขึ้นมา มุดเข้าไปในอ้อมแขนของซ่านจินจื๋น
ซ่านจินจื๋อทำได้เพียงอุ้มเข้าไว้แน่นๆ หัวของเด็กก็มุดเข้าไปในอ้อมกอด มืออีกข้างค่อยๆจำตรงท้ายทอยเขา พูดอย่างเย็นชา: “ข้าใช้อำนาจจนเคยชิน หญิงที่รักก็ยโสโอหัง แต่ไม่รู้ว่าตราประทับหรือยันต์เสือในมือข้า อันไหนจะมีฤทธิ์มากกว่ากัน”
คำพูดที่พูดออกมา คงกลายเป็นศึกของวาจา
แต่ซ่านจินจื๋อไม่เคยกลัวเรื่องพวกนี้ ในวันนี้ฮองเฮงสมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายเก้า ก็ยิ่งไม่กลัว
ลุกตัวขึ้นมา ยื่นตัวตรง อุ้มเด็กไว้เหมือนเดินแล้วเดินอย่างมั่นคง
ซู๋ฮองเฮาถอยหลังไปหนึ่งก้าว คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้แสดงสีหน้าที่เย็นชาแม้แต่น้อย มีเพียงแต่ใบหน้าอ่อนโยนที่มีต่อลูก แต่กลับมีความรู้สึกหนาวขึ้นมา เหมือนถูกงูรัดหายใจไม่ค่อยออก
“ในเมื่ออ๋องจิ้งพูดเช่นนี้แล้ว จะไม่ลงโทษเลยก็มิได้ อีกไม่กี่วันข้าจะไปอารามไป๋หม่าจุดธูป เจ้าพาชิงจือกลับไปที่ตำหนักสองสามวัน เห็นทาสที่แคว้นเจียงเหยียนถูกให้อภัยโทษ ทาสพวกนี้ควรถูกลงโทษโทษฐานที่ปล่อยปะละเลยในการดูแล ให้ทำงานหนักทุกวัน เป็นการลงโทษ” ไทเฮาถึงครานี้พึ่งพูดขึ้น เห็นอ๋องจิ้งไม่ลงโทษแน่นอน ตอนที่ลุกขึ้น มองฮองเฮาด้วยสายตาเย็นชา ปัดมือไปมา
ซู๋ฮองเฮาทำได้เพียงเดินจากไป บ่นพึมพำ
ทาสทั้งหลายต่างก็จำไว้ขึ้นใจ
แค่เพียงเรื่ององค์ชายน้อยเป็นไข้ อ๋องจิ้งพูดดื้อด้านไปแบบนั้น ต่อจากนี้ไปชิงจือกลับเข้าวังอีก ใครจะกล้าทำให้เขาโมโหได้ล่ะ?
รอจนฮองเฮาเดินจากไป ไทเฮาทำเสียงกระแฮ่มๆ: “ข้าอายุมากแล้ว ยุ่งไม่ไหวกับเรื่องในวัง หลังจากนี้เจ้าก็พาชิงจือมาเที่ยวบ่อยๆละกัน”
“ท่านแม่ หากไปอารามไป๋หม่าถวายธูป คงไปหลายเดือนเลยทีเดียว” ซ่านจินจื๋อตั้งใจพยักหน้า อุ้มชิงจือไว้ในอ้อมแขน พร้อมใช้สายตามองไปที่ไทเฮา และเดินออกนอกไป
ในวังมีกฎเยอะแยะ จะเหมาะกับชิงจือหรือเปล่าหากยังอยู่ต่อ
ที่น่าขันก็คือ ซ่านจินจื๋อเห็นด้วยกับวิธีสอนของกู้อ้าวเวยที่มีต่อชิงจือมากๆ ถึงแม้บางครั้งชิงจือไม่อยากทำตามชอบเล่นมากกว่า อย่างน้อยก็น่าจะเป็นบทเรียนให้เขาได้
แต่เพราะคำพูดของฮองเฮาที่พูดออกมาทำเอาชิงจือตกใจ เจ้าเด็กน้อยซบตรงอ้อมกอดของซ่านจินจื๋อไว้ ทำให้เช้าวันนี้ของเขาหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกค่อยๆอ่อนลง เดินมาถึงส่วนหนึ่งของวัง ถามด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นถามเขา: “กลัว?”
“ใช่ครับ กลัว” ชิงจือใช้มือจับปกเสื้อไว้ เห็นเขาที่เอาร่มมาจากขันทีกางขึ้นมา ถามขึ้น: ครั้งที่แล้วคุณน้าเคยพูดไว้ว่าในวังมีเพียงกงกง(ขันที)และกงนู่(นางในวัง)เป็นคนกางร่มได้เท่านั้น ทำไมเสด็จพ่อถึงทำได้ด้วย?”
ขมวดคิ้ว ซ่านจินจื๋ออุ้มเขาไว้: “เพราะว่าพ่อก็เป็นมนุษย์ คุณน้าคนนั้นไม่ได้เห็นกงกงหรือกงนู่เป็นมนุษย์”
คำพูดที่พูดออกไป ทำให้เหล่าขันทีและกงนู่ที่อยู่ด้านหลังตะลึงคำพูดเล็กน้อยมองแผ่นหลังของซ่านจินจื๋ออย่าระมัดระวัง
ท่านอ๋องจิ้งเด็ดขาดผู้นี้ เหมือนจะแตกต่างออกไป
สมองของชิงจือมึนๆงงๆ กลับไม่ได้ที่พูกมาทั้งหมด เพียงแค่ยิ้มเปิดปากพูด: “ปีหน้าข้าจะมีน้องชายหรือน้องสาวไหมครับ?”
“ทำไมถึงคิดมาถึงตรงนี้ได้?” ใจของซ่านจินจื๋อเต้นขึ้นมากะทันหัน
เขายังจำได้ว่ากู้อ้าวเวยทุกวันจะดื่มยาซุปและจะเพิ่มยาสมุนไพรบางอย่างลงไปด้วย แต่หลังจากนั้นกู้อ้าวเวยก็ไม่ได้ดื่มอีกเลย ทุกวันนี้ก็ไม่รู้……
“เมื่อคืนข้าฝันถึงด้วย เป็นน้องชาย เขาซนพอตัวเชียวนะ” ชิงจือที่มึนๆไอไม่กี่คำ
ซ่านจินจื๋อไม่ให้เขาพูดอีก กอดเขาไว้แน่นๆ และเอาชุดคลุมของตนเองคลุมไว้ที่หัว ยัดเจ้าเด็กนี่เข้าไปในอ้อมแขน พร้อมสั่งคนที่อยู่ด้านหลัง: “สั่งคนให้ส่งจดหมายไปที่ชายแดน ถามนางทุกวันนี้รู้สึกไม่สบายอะไรบ้างไหม”
“นางคือ……”คนข้างๆไม่รู้ว่านางเป็นใคร
“ส่งไปให้องค์ชายสี่” ซ่านจินจื๋อพูดเสียงต่ำ: “เขียนอีกว่า ชิงจือป่วยไม่สบาย คิดถึงท่านแม่มากๆ”
“ครับ ข้าน้อยจะไปเขียนเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”
คนนั้นหายไปไร้เงา ชิงจือที่สับสนมึนงงโผล่หัวออกมา: “ท่านพ่อโกหก ท่านนี้แหละที่คิดถึงแท้ๆ”
“ท่านแม่ดีกับเจ้ามากกว่า เลยต้องใช้ชื่อเจ้ามาอ้างเพื่อให้นางกลับมา” ซ่านจินจื๋อลูบๆหัวของเขา ไม่ร้อนแล้ว บีบเขาเบาๆ: “เจ้าอยากพักที่ตำหนักอ๋องจิ้งหรือว่าอยากไปหาโม่เหยียน?”
“ข้าอยากไปบ้านคุณอา” ชิงจือหดตัวเข้าไป มี เพียงดวงตากลมโตที่โผล่ออกมาเท่านั้น
ซ่านจินจื๋ออุ้มเขาไว้ เหยียบหิมะเดินออกจากวัง มองดูท้องฟ้าที่โปรยปรายไปด้วยหิมะ คิด: “จดหมายฉบับนี้ส่งไปถึง ตรงชายแดนหิมะคงตกเหมือนกันแล้วมั้ง”