บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 635
บทที่ 635 เอาตัวไปเสี่ยงอันตราย
กุ่ยเม่ยยื่นมือไปดึงพลทหารขึ้นมา พลางถามว่า “พวกเจ้ายังมีใครจำทางได้หรือไม่”
“ถ้าหากอยากพาคนที่เหลืออยู่เข้าไปละก็ ทำได้แน่นอน แต่กระแสน้ำบนทางเส้นนั้นค่อนข้างไหลเชี่ยว ตอนที่พวกเราขึ้นฝั่งก็ไม่เห็นพี่น้องหลายคนแล้ว…” นายทหารเช็ดหยาดน้ำตามใบหน้า อิริยาบถดูซับซ้อนยิ่ง
กู้อ้าวเวยนั่งลงกับพื้น ลังเลอยู่นานสองนาน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องส่งคนไปเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว เจ้าแค่นำสิบกว่าคนที่พกเชือกไปรับ ดูว่าพอจะพาตัวคนกลับมาได้หรือไม่ ส่วนคนอื่นๆ ให้รอฟังคำสั่งอยู่กับที่”
แววดีใจบนใบหน้าของนายทหารคนนั้นเกินคำบรรยาย จากนั้นจึงนำเชือกสองเส้นรัดรอบเอว หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่งก็พาคนกระโดดลงไปในน้ำ
น้ำใต้ดินของที่นี่ไม่หลายจุดทีเดียวที่แปลงรูปเป็นโพรงถ้ำเล็กๆ ย่อมพอมีจุดแวะพักตามรายทางอยู่บ้าง กู้อ้าวเวยหยัดตัวลุกขึ้นยืน ยังไม่ทันเอ่ยบัญชา พลันเห็นว่าฝูงนกนับไม่ถ้วนบินออกมาจากพงไพร
ศึกโจมตีเมืองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เสียงแห่งการเข่นฆ่าห่างจากจุดนี้ไปหลายลี้ ได้ยินแว่วๆ ไม่ชัดเจนนัก แต่กลับเรียกคนทั้งหมดในป่าให้ตื่นตัวได้
ฟ่านเฟิงได้พาคนเข้าไปในเมืองแล้ว กู้อ้าวเวยหย่อนกายสักระยะ เอาแต่รอเสียงก้อนหินกระทบพื้น เสียงกีบม้าดังขึ้นหลายเท่าคณานับ นางจึงปริปากเสียงแผ่ว “ยังมีกองทัพแกล้วกล้าอีกขบวนอยู่ทางตะวันตก สวมตะขอกรงเล็บแล้วตามพวกเขาไปปีนกำแพงเมือง ใช้ระเบิดลูกไฟเปิดทางตลาด ทุกคนดูทิศทางลมจากกองทัพย่อยแต่ละทัพ”
“รับทราบ!” เหล่าพลทหารลุกขึ้นยืนเกรียวกราว ในความมืดมิดผืนนี้ยังถือว่าตระเตรียมได้อย่างมีระเบียบแบบแผน แต่ต้นจนจบกลับเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง
พวกเขาต่างเข้าร่วมศึกสงครามเป็นครั้งแรก ทั้งหวาดกลัว ฮึกเหิม แล้วก็กังวลใจ
กู้อ้าวเวยก็พลอยเกร็งร่างกายไปด้วยเช่นเดียวกัน มองไปหลายทีด้วยความเป็นกังวล หัวใจทั้งดวงสั่นแขวนอยู่ตลอด ไม่ยอมโรยตัวลงมาเลยเป็นเวลาเนิ่นนาน
กุ่ยเม่ยยื่นเสบียงอาหารแห้งให้แล้วรุดหน้าไป “เรื่องทุกอย่างที่ท่านปรารถนาจะทำก็ทำมันสำเร็จแล้ว ต่อไปก็มอบหมายให้ข้า พวกเขาไม่อาจแบ่งเป็นหลายๆ ทัพได้”
“ไม่อนุญาตให้เจ้าไป” ตอนที่กุ่ยเม่ยหมายจะหมุนกายไปนั้นกู้อ้าวเวยได้คว้าเขาเอาไว้มั่น “นับดูแล้ว เจ้าเป็นข้าราชสำนักของรัชทายาทเอ่อตาน จัดการธุระต่างๆ ให้เขามากมาย ไม่ได้มีหน้าที่ต้องยืนหยัดเพื่อประชาชนของเจียงเยี่ยนเป็นสักนิด”
“กู้อ้าวเวยที่ข้ารู้จัก ไม่ใช่ผู้หญิงที่กังวลเกี่ยวกับการประกาศสถานะ” กุ่ยเม่ยดึงตัวออกจากมือของกู้อ้าวเวยได้อย่างง่ายดาย และยังฉุดดึงป้ายห้อยเอวที่ล่ายเสวียนมอบให้กู้อ้าวเวยลงมา พลางยืนเล่นมันอยู่ตรงหน้าของนาง “ข้าอยู่ข้างกายท่านก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่ถ้าหากเทียบฝีมือกัน ข้าไม่ด้อยกว่าแน่”
“เจ้า!” กู้อ้าวเวยหยัดตัวลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธเกรี้ยว กลับถูกถุงน้ำและอาหารแห้งกระทบเข้าเต็มเปา
กุ่ยเม่ยใช้ผ้าพันคอคลุมใบหน้ากว่าครึ่งของตัวเองเอาไว้ พลางโบกมือให้กับนาง “รถม้าและคนขับอยู่นอกป่าแล้ว ข้ากับล่ายเสวียนตกลงกันเรียบร้อยแต่แรกแล้ว”
“เจ้าไม่ได้ระหองระแหงกับล่ายเสวียนหรอกหรือ! เจ้าไม่ได้เคยบอกว่าจะอยู่เคียงข้างกายข้าหรอกหรือ!” กู้อ้าวเวยรีบร้อนตะกายขึ้นมาหมายจะคว้ากุ่ยเม่ยเอาไว้ “เจ้าเคยรับปากข้ากับชิงต้ายแล้ว เจ้าต้อง….”
“นี่คือเมืองที่ท่านต้องการโจมตี ถึงตอนนั้นข้าจะรวบหัวรวบหางและคอยท่านอยู่ด้านใน” กุ่ยเม่ยตบหน้าผากของกู้อ้าวเวย ผลักนางให้กับทหารที่อยู่ในมุมอับคล้ายกับนัดหมายกันเรียบร้อยแล้ว ส่วนตนก็ใช้ป้ายห้อยเอวชิ้นนี้ไปนำคนออกศึก
ทหารที่อยู่ตรงมุมใช้เพียงสองมือก็สามารถรวบนางเอาไว้ได้ ก่อนบังคับพานางออกไปจากจุดนี้
“เจ้าปล่อยข้านะ!” กู้อ้าวเวยเริ่มใช้สองมือสองเท้าในการขัดขืน
สงครามไร้สายตา! นางจะแน่ใจได้อย่างไรว่ากุ่ยเม่ยจะรอดชีวิตจากสงครามได้
“คุณหนู แม่ทัพล่ายเสวียนและใต้เท้ากุ่ยเม่ยหารือกันไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านมีหน้าที่ดูแลส่วนหลังเท่านั้น” นายทหารด้านหลังปริปากเอ่ยเสียงต่ำ มืออีกข้างพยุงแผ่นหลังของกู้อ้าวเวยเอาไว้อย่างระมัดระวัง “ท่านมีครรภ์อยู่ ไม่ควรกังวลใจเช่นนี้…”
เจ้ากุ่ยเม่ยสมควรตายผู้นี้!
ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าก่อนหน้านี้ทำไมกุ่ยเม่ยไม่คอยอยู่ข้างกายเลย และในที่สุดก็รู้ว่าภายหลังทำไมทุกครั้งที่ล่ายเสวียนเห็นนางเป็นต้องผุดสีหน้าปั้นยากอยู่เรื่อย เรื่องที่นางตั้งครรภ์ถูกกุ่ยเม่ยพูดออกมาจนหมดเปลือกแล้วนี่เอง!
แต่ตอนนี้ไม่ว่านางจะขัดขืนอย่าง ท้ายที่สุดก็มีเพียงถูกนายทหารพาตัวขึ้นรถม้าอยู่วันยังค่ำ
มือสองข้างล้วนถูกมัดด้วยแถบผ้าไขว้หลังไว้ ดวงตาของกู้อ้าวเวยเรื่อแดงและขดตัวอยู่ที่มุมรถม้า “ศึกสงครามของพวกเจ้าเกี่ยวข้องกับเขาตรงไหน เขาก็แค่มีพื้นเพเป็นนักฆ่ากระจ้อยร่อยคนหนึ่งเท่านั้น…”
นายทหารนั่งลงข้างๆ ด้วยสภาพหยาดเหงื่อท่วมศีรษะ ก่อนขมวดคิ้ว “อาจเป็นเหมือนกับท่านก็ได้ ชอบแส่หาเรื่องกระมัง”
“เจ้าระยำ!” กู้อ้าวเวยถีบเขาไปหนึ่งที “เจ้าสิที่แส่หาเรื่อง หากข้าอยู่ทัพหน้าก็จะสามารถช่วยชีวิตคนได้ตั้งเท่าไร เจ้ารู้หรือไม่!”
แผ่นหลังของนายทหารมีรอยเปื้อนโคลนดวงหนึ่ง ถูกถีบจนโซซัดโซเซก็ยังมิวายพูดอย่างอารมณ์ดี “หากท่านเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา กองทัพเอ่อตานคงจะมาเกยหน้าประตู พวกเราคงยิ่งจะพะอืดพะอมหนักกว่าเก่า”
ช่องท้องของกู้อ้าวเวยเริ่มปวดแปลบขึ้นมาอีกครั้ง
รอกุ่ยเม่ยกลับมา นางจะต้องสั่งสอนเขางามๆ สักฉาดอย่างแน่นอน
ความเจ็บปวดที่จู่ๆ ก็แผ่ทั่วช่องท้องนั้นทำเอานางตกใจจนต้องรีบผ่อนคลายลง สูดลมหายใจเต็มเฮือกทันที
นายทหารรีบกรูเข้ามา คิดสักพักแต่ยังคงคลายมือทั้งสองข้างของนางออก และเห็นกู้อ้าวเวยล้วงยาผงและยาลูกกลอนออกมาจากกล่องโอสถอย่างคล่องมือก่อนทานลงไป และฟุบตัวลงในรถม้าดวงตาสองข้างปรือปริบๆ
“ท่าน…”
“ข้าก็แค่กังวลเกินเหตุ” กู้อ้าวเวยฝังตัวลงไปในผ้าห่มผืนนุ่ม ปลายนิ้วยังคงสั่นระริกน้อยๆ
นางตั้งตารอให้สงครามยุติลงในเร็ววัน
อย่างไรก็ตามสงครามล้อมเมืองที่เริ่มในยามราตรีลากยาวต่อเนื่องจนถึงเที่ยงวันของวันถัดมา บรรดาทหารที่เดินเส้นทางน้ำตายไปกว่าครึ่ง แต่ยังคงยืนหยัดจนถึงเช้าตรู่ พวกเขายังคงพยายามบุกโจมตีฐานที่มั่นในเมือง โดยอาศัยพื้นที่สูงของกำแพงเมืองติดตั้งระเบิดลูกไฟสายฟ้าเพื่อทำการคุ้มกัน เปิดคุกที่ขังทาสทั้งหมดออก ตอนเที่ยงตรงก็บุกทะลวงประตูเมือง
กองทัพของล่ายเสวียนกรูเข้ามาเป็นแนว ทหารสามพันนายที่เหลืออยู่ในเมืองต่างลดอาวุธยอมจำนน
สงครามฉากนี้สิ้นสุดลงอย่างแท้จริงเมื่อเช้าตรู่วันที่สาม ล่ายเสวียนบัญชาให้คนจัดระเบียบคูเมืองอันรกหูรกตานี้
ศพที่ต้องเก็บกวาดกองรวมกันเป็นเนินเขาเล็กๆ บรรดาทหารที่ออกศึกเป็นหนแรกต่างลอบอาเจียนอย่างห่อเหี่ยวใจอยู่ที่ฐานกำแพง กลิ่นคาวเลือดถูกชะล้างนับครั้งไม่ถ้วนแต่เนิ่นนานก็ไม่ยอมเลือนหายไปเสียที
กู้อ้าวเวยเข้าสู่กลางเมืองในเวลานี้พอดี
เดินผ่านทหารนับไม่ถ้วนที่สูงโปร่งกว่าตนมาก นางรีบร้อนตามหาคนที่โจมตีเมืองก่อนหน้านี้ทันทีทันใด “กุ่ยเม่ยอยู่ที่ไหน เจ้าหาเขาพบหรือยัง”
“เขา…บาดเจ็บ ตอนนี้อยู่ในห้อง…”
“แล้วห้องไหนกันแน่!” เสียงของกู้อ้าวเวยสูงปี๊ดอย่างต่อเนื่อง
ฟ่านเฟิงที่ยังไม่ทันผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ไล่ตามกู้อ้าวเวยอย่างรวดเร็ว มองดูท่าทีเลือดขึ้นหน้าของนางแล้ว จึงรีบพานางไปที่ด้านข้างโรงหมอชั่วคราว ณ ที่แห่งนี้ ตรงนั้นยังมีห้องทรุดโทรมห้องหนึ่งที่ไม่สามารถใช้งานได้เลย แต่พอดีให้นางมาตั้งหลัก
“รีบไปเรียกท่านหมอเข้ามา แล้วหามกุ่ยเม่ยมาที่นี่” ข้อมือของฟ่านเฟิงถูกกู้อาวเวยบิดจนปวดตุบ
“ก็แค่ปวดท้องนิดหน่อย ตัวข้าเองมียา พาข้าไปพบกุ่ยเม่ย” กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมองฟ่านเฟิงด้วยอาการเหงื่อเย็นเต็มหน้า
ฟ่านเฟิงจะพาหญิงมีครรภ์นางหนึ่งไปสถานที่อันเต็มไปด้วยเลือดแบบนั้นได้อย่างไรกัน
ขณะที่ระส่ำระสายไม่สงบอยู่นั้น กุ่ยเม่ยที่ดูซวนเซทั้งกายก็เดินเข้ามาโดยใช้มือข้างหนึ่งพยุงกำแพงเอาไว้ มืออีกข้างยังกุมข้างเอวอยู่ “โตขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้จักดูแลตัวเองอีก”
เลือดไหลออกมาจากง่ามนิ้วของเขา
กู้อ้าวเวยกลับทำเพียงมองที่รอยยิ้มบนใบหน้าของกุ่ยเม่ย เบื้องหน้าวูบเป็นพักๆ “ถ้าหากเจ้าตายไป ข้าควรจะอธิบายกับชิงต้ายอย่างไรกันเล่า…”
“ถ้าหากท่านตายไป ข้าควรจะอธิบายกับท่านอ๋องอย่างไรกัน” กุ่ยเม่ยยังคงยิ้มพลางเดินเข้ามา คุกเข่าลงครึ่งกายต่อหน้าของกู้อ้าวเวย บีบเรียวแขนอันแข็งทื่อของนาง “ท่านเสียข้าไป แม้แต่ลูกทูนหัวของข้าก็ไม่สนใจแล้วหรือ หากว่าท่านอ๋องไม่มีท่าน คงจะไม่บ้าคลั่งหรอกหรือ