บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 640
บทที่ 640 ซางนิง
สิบวันให้หลัง กองทัพของล่ายเสวียนได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่
ในช่วงเวลาที่ปิดล้อมเมือง ผู้คนในเมืองต่างต่อต้านเพราะภาษีหนักอึ้งทับตัว จึงยึดครองเอาไว้ได้จากภายในจรดภายนอก
แม้จะเป็นเช่นนี้ กองทัพล่ายเสวียนก็ยังสูญเสียไปหนึ่งในสามส่วนอยู่ดี พลทหารที่เหลือรอดอยู่น้อยนิดต่างทำได้เพียงฝืนเฝ้าระวังสามคูเมืองเบื้องหน้า ไม่สามารถเข้าสู่การต่อสู้จบศึกอย่างรวดเร็วตามที่กู้อ้าวเวยกล่าวมาได้ ได้แต่เพิ่มผู้มีอุดมการณ์สูงส่งเข้าสู่กองทัพมากขึ้นเป็นการชั่วคราว
กู้อ้าวเวยกลับเขียนจดหมายปิดผนึกเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารกับล่ายเสวียนกว่าสิบฉบับตลอดทาง นางจะส่งคนลอบติดต่อท่านซูกับกู่เซิงอย่างลับๆ แต่จำเป็นต้องให้ล่ายเสวียนปลอบขวัญประชาชน เคี่ยวกรำกำลังทหาร อย่างน้อยหากทำได้ภายในสามเดือนก็จะไม่ถูกโค่นลง
รถม้าไม่หยุดเลยสักวินาที เมื่อครู่กู้อ้าวเวยลงมาจากบนรถม้า พลันเห็นบรรดาทหารในชุดเกราะชางหลานเดินรุดมาเบื้องหน้าอย่างเป็นระเบียบ ผู้ชายที่อยู่หน้าสุดดูแล้วอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี ถักเปียยาวสองเส้นพาดไว้บนไหล่ ผิวหนังกรำแดด ดูคล้ายกับเป็นชนเผ่าอื่น นัยน์ตาก็ทอประกายมรกต ช่วงเอวห้อยกริชสองเล่มและดาบสองคมค่อนข้างยาวเอาไว้เล่มหนึ่ง
หากเคยพบกันมาก่อน น่าจะมีความทรงจำอะไรบ้าง
แต่ผู้ชายคนนั้นเดินรุดหน้าเข้ามา โค้งกายเรียบง่ายนับว่าเป็นการทำความเคารพอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีท่าทางเหมือนทหารเลยสักนิด มองดูด้านหลังของกู้อ้าวเวยอย่างเกียจคร้าน “กุ่ยเม่ยเล่า?”
“เขาไม่ได้มา” กู้อ้าวเวยเดินไปข้างหน้าหลายก้าว เงยหน้าขึ้นมองผู้ชายรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่คนนี้ “ข้าควรจะเรียกขานท่านว่าอย่างไรดี”
“ข้าชื่อซางนิง เป็นอาจารย์ของกุ่ยเม่ยและเฉิงยีเฉิงเอ้อ” เงยหน้าขึ้นน้อยๆ ซางนิงชำเลืองมองสีหน้าของกู้อ้าวเวยแล้วดูมีแววปั้นยากขึ้นมา กระทั่งยกมือขึ้นมาเชิดปลายคางของนางขึ้นตรงๆ “ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“แค่เร่งเดินทางมากไปหน่อยเท่านั้น” กู้อ้าวเวยปริปากอย่างราบเรียบ “ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลย”
“หากท่านไม่ได้ตั้งครรภ์เลย ข้าก็คงไม่ออกมา แต่ว่าข้าไม่ได้มีตำแหน่งราชการอะไรหรอก” ซางนิงชักมือกลับมาและบีบที่หัวไหล่ของนางอีกครั้ง กระทั่งยกมือพาดไหล่ของนางเอาดื้อๆ ก่อนกึ่งลากนางเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมด้านข้าง “ไปทานอาหารสักมื้อก่อนเถิด”
“รสเปรี้ยวเย็นเผ็ดไม่กิน” กู้อ้าวเวยไม่อาจระวังใจกับคนประเภทนี้
ซางนิงเห็นนางมีท่าทีเฉยชาเช่นนี้ จึงพลอยหัวเราะขึ้นมา “ข้าได้ยินพวกเขาพูดกัน ยังคิดว่าท่านออกจะเจ้าอารมณ์เสียอีก”
“ข้าเป็นคนเจ้าอารมณ์จริงๆ นั่นแหละ แต่ก็ดูคนด้วย” กู้อ้าวเวยผละมือข้างหนึ่งของเขาออก และชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย พลางถามเขา “ซ่านจินจื๋อเรียกท่านเข้ามาทำอะไรกันแน่”
“ทำไมท่านไม่เรียกเขาว่าท่านพี่จื๋อเหมือนเด็กสาวแซ่ซูคนนั้นกันเล่า มันไม่เหมือนขี้ประจบเลยแม้แต่นิดเดียว” ซางนิงชักมือกลับมาลูบปลายคางที่มีเครารำไร หัวเราะหยอกเย้าพลางชะลอฝีเท้าเดินข้างๆ นาง
“เรียกไม่ลง อีกอย่างท่านพี่จื๋อก็มีสามคำเหมือนกัน มันต่างจากการที่ข้าเรียกชื่อเขาเต็มๆ ตรงไหน” กล่าวจบ กู้อ้าวเวยไม่อาจไม่ถามคำถามเมื่อกี้ซ้ำอีกรอบ
และครั้งนี้ซางนิงกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ก่อนลากนางเข้ามาในโรงเตี๊ยมและสั่งอาหารมาไม่น้อย ก่อนบัญชาคนให้ล้อมรอบโรงเตี๊ยมแห่งนี้อีกครั้ง ไม่อนุญาตให้ใครก็ตามเข้ามา
แต่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ แม้จะเป็นอาหารที่ดีที่สุด ในสายตาของซางนิงกลับไม่พ้นเป็นแค่อาหารปรุงเองตามบ้าน สายตาเย็นชาคู่หนึ่งมองไปทางหลงจู๊ที่อยู่ฟากนั้น กลับได้ยินเสียงชามตะเกียบกระทบกัน กู้อ้าวเวยกำลังหยิบตะเกียบของเขาขึ้นมา ยื่นใส่มือของเขา “ถึงท่านจะดูเหมือนคนถูกตามใจจนเสียนิสัยก็เถอะ แต่ต้องรู้ว่าที่นี่ในตอนนี้แค่มีเงินอย่างเดียวยังซื้อของไม่ได้ เครื่องปรุงและเนื้อผักพวกนั้นก็เช่นเดียวกัน”
“จากสถานะของท่านแล้ว ก็กินของพวกนี้ลงไปได้ด้วยหรือ” ซางนิงยังคงรับตะเกียบเอาไว้ด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “ตอนนั้นที่หัวของข้าถูกกับผ้ารัดเอวก็ยังไม่เคยกินของพรรค์นี้เลย”
กู้อ้าวเวยกลอกตา ทำเพียงก้มหน้าจดจ่อกินส่วนที่เป็นของตัวเองจนเกลี้ยง ตอนท้ายได้วางตะเกียบลงพลางเช็ดมุมปาก พลางชำเลืองเห็นซางนิงหันหน้าตรงมองข้าวขัดสีที่เพิ่งจะกินเข้าไปได้กึ่งหนึ่งในมือ พลางกระแอมไอเบาๆ หลายที “ท่านทานไปก่อนเถอะ ทานเสร็จแล้วพวกเราค่อยคุยธุระกัน”
“เอาเถิด เด็กสาวอย่างเจ้าไม่ได้เหมือนกับคำเล่าลือต่อๆ กันมาเลยสักนิด” ซางนิงก็วางตะเกียบลงตาม เพียงให้คนยกบะหมี่เนื้อมาให้อีกชามหนึ่ง คราวนี้จึงตบผิวโต๊ะปริปาก “ถึงแม้ข้าจะไม่มีตำแหน่งข้าราชการ แต่ปีนั้นคนที่ติดตามท่านอ๋องไปออกรบก็มีแต่ข้าคนเดียว เดิมทีข้ามีหน้าที่แค่รับผิดชอบเป็นลูกมือช่วยเขาฝึกคนในหุบเขาลำเนาลึกเท่านั้น และช่วยเขานำความไปส่งอยู่บ่อยครั้ง ที่มาในวันนี้ เพียงแค่มาอารักขาความปลอดภัยของท่านก็เท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ดีเลย กุ่ยเม่ยไม่อยู่ข้างกายข้า ยังขาดผู้ช่วยอยู่คนหนึ่งเชียว” กู้อ้าวเวยจิบน้ำอุ่นหนึ่งคำ ก่อนมองเขา “อีกอย่างข้าไม่ค่อยชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องเคารพผู้อาวุโสมากนัก หากท่านอยากจะช่วยเป็นลูกมือของข้าจริงๆ ข้าก็คงไม่ปรานีให้แน่”
ผู้ชายอายุสี่สิบกว่าเบื้องหน้าพลันมีสีหน้าแกมร้องไห้ทันที จับหูเกาท้ายทอยอยู่นานนม กว่าจะกอดอกด้วยมือสองข้าง “อีกไม่กี่วันท่านอ๋องก็จะมาถึงแล้ว ท่านไม่กลัวเขาต่อยท่านหรือ”
“ไม่ใช่ว่ามีท่านอยู่ทั้งคนหรอกหรือ พูดไว้ดิบดีว่าจะอารักขาความปลอดภัยของข้า” กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วขึ้นมองเขา วางเงินไว้ข้างมือก่อนจะลุกขึ้นยืน “ท่านทานไปก่อนเถิด ข้ายังต้องไปซื้อวัสดุยาและขวดกระป๋องอีกหน่อย รอประเดี๋ยวข้าจะมาหาท่านอีกที”
กล่าวจบ กู้อ้าวเวยก็ออกจากโรงเตี๊ยมโดยไม่เหลียวหลัง ไม่ได้นำองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูไปด้วยสักคน เพียงแค่สวมผ้าคลุมหน้าไปเอง เดินมุ่งไปสู่ตลาดด้วยความเร็วที่เนิบนาบยิ่งนัก
ซางนิงที่อยู่ชั้นสองมองดูนางเดินเข้าไปในโรงหมอ ส่วนเขาก็เคี้ยวตุ้ยๆ ทานบะหมี่ชามโตจนหมด จึงมีคนวิ่งเหยาะๆ เข้ามา คุกเข่าลงข้างๆ เขา “ใต้เท้า ท่านอ๋องรออยู่นานแล้วขอรับ ถามไถ่ท่านเกี่ยวกับสถานการณ์ของพระองค์หญิงผู้นั้นอยู่พอดี”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี เพียงแต่เด็กสาวคนนี้เหลี่ยมจัดยิ่งนัก” ซางนิงโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์
ในเวลานี้ กู้อ้าวเวยหอบวัสดุยาเต็มห่อสัมภาระเดินออกมาเป็นที่เรียบร้อย พลางล้วงใบรายการหนึ่งแผ่นออกมาจากช่วงเอว แล้วเดินเข้าไปในร้ายนาแห่งที่สอง เดินหิ้วห่อเล็กๆ เพิ่มออกมาอีกใบ คราวนี้จึงเดินกลับเข้ามาชั้นสองของโรงเตี๊ยมอีกครั้งอย่างนวยนาด วางข้าวของลง ก่อนมองเขา “ซื้อของเสร็จหมดแล้ว ไปกันเถิด”
“เรือนอยู่ถัดไปจากถนนเส้นนี้นี่เอง” ซางนิงคิดไม่ถึงว่านางจะวกกลับมาจริงๆ
กู้อ้าวเวยนิ่งไปหน่อยๆ เป็นอันดับแรก จากนั้นจึงหัวเราะ ก่อนออกแรงโน้มกายมามองเขา “ท่านไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของซ่านจินจื๋ออย่างเคร่งครัดโดยการพาข้ากลับไปหรอกหรือ? ให้กำเนิดบุตรอยู่ข้างกายเขาแล้วค่อยไปทำเรื่องที่ข้าอยากจะทำ?”
ซ่านจินจื๋อไม่ได้เอ่ยถึงคำร้องขอข้อนี้เลย เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้มีความคิดเช่นนี้ได้อีกกันเชียว
เมื่อมองไปที่ดวงตาสุกใสคู่นั้นของกู้อ้าวเวย ซางนิงกลับทำเพียงใช้มือข้างหนึ่งดึงนางมานั่งลงข้างกาย ก่อนสบมองนางตรงๆ “เขาไม่ได้ให้ข้าพาท่านกลับไป แต่จะเข้ามาด้วยตัวเองต่างหาก”
“ถ้าอย่างนั้นเขาก็เป็นบ้าไปแล้ว” กู้อ้าวเวยมองเขาด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนทึ่ม “นี่คืออาณาเขตของเจียงเยี่ยน ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องชางหลานสาปส่งคนหนึ่ง รอกระทั่งเขาเข้ามา กลัวแต่หลายๆ แคว้นนั่นต้องจ้องตาเป็นมันแน่ เผลอๆ ยังจะฉวยโอกาสชุลมุนนี้ฆ่าเขาทิ้งก็ได้”
“แต่เขาก็ยังเข้ามาเพื่อท่าน” ทันใดนั้นซางนิงพลันรู้สึกปวดเศียรขึ้นมา
“เช่นนั้นเขาก็เป็นเจ้าคนโง่คนหนึ่งแล้ว” กู้อ้าวเวยกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์เต็มประดา “ข้าไม่ได้ต้องการให้เขา…”
น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด นางก็มองเห็นคนในความทรงจำกำลังเดินเข้ามาจากนอกประตูเป็นที่เรียบร้อย ทั้งชำเลืองมองนางจากมุมสูง นัยน์ตาเคลือบแววเย็นเยียบ “ข้าคงต้องปรับวินัยเจ้าอย่างดีจริงๆ เสียแล้ว