บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 661
บทที่ 661 ถ้าหาก
“ไม่ว่าจะเป็นแผนของใคร ข้าคงไม่อาจหยิบยืมทหารของเอ่อตานนี้ได้ แม่นางเฟิงเยว่ก็ทานมื้อเช้าก่อน แล้วค่อยหาวิธีที่เหมาะควรไปช่วยชีวิตเจ้านายของท่านดีกว่ากระมัง”
น้ำเสียงสิ้นสุดลง สาวใช้ที่อยู่นอกประตูก็ได้ลำเลียงมื้อเช้ามาเป็นที่เรียบร้อย ซ้ำยังคอยปรนนิบัติเฟิงเยว่ยามรับประทานอาหารอย่างเคารพนบนอบอีกด้วย
กู้อ้าวเวยมวยเรือนผมที่เหลืออยู่ขดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ก่อนจะสวมเสื้อคลุมแล้วจึงเดินออกไปข้างนอก ไปสอนหนังสือต่อที่สำนักศึกษาในเรือน ทั้งยังคอยคิดหาเหตุผลที่ซ่านเซิ่งหานและเฟิงเยว่เป็นเช่นนี้อย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก
รอจนผ่านไปสองชั่วยาม ซ่านจินจื๋อนำกล่องอาหารมาด้วยตัวเอง และนั่งทางฝั่งตรงข้ามกับนาง ม่านไม้ไผ่สี่ทิศปกคลุมแสงสว่างในพื้นที่ส่วนใหญ่ไปสิ้น
“เฟิงเยว่ไปแล้วหรือ?” กู้อ้าวเวยจัดอาหารพร้อมกับเขาพลางกล่าวถาม
“รีบออกไปตั้งแต่หนึ่งชั่วยามก่อนแล้ว” ซ่านจินจื๋อพยักหน้า และเอาอาหารโปรดของนางมาวางไว้ข้างมือทั้งหมด ก่อนเติมข้าวจนพูนชามหนึ่งใบ ซ้ำวางบะหมี่ปลาไหลไว้ข้างมือของนางอีกด้วย ก่อนกล่าวว่า “เมื่อครู่ได้ยินอ้ายจือบอกว่าเจ้าอยากลองฝังเข็ม?”
“ต้องใช้การฝังเข็มร่วมกับเช่ออี้จื่อ พิษนี้ของข้าจึงจะทุเลาลงได้” กล่าวถึงตรงนี้ การเคลื่อนไหวของกู้อ้าวเวยก็หยุดชะงัก ก่อนมองเขาด้วยท่าทีระแวดระวัง “ถึงแม้จะใช้เข็มไม่กี่เล่ม แต่วันนั้นท่านก็ออกไปเดินเที่ยวอยู่ข้างนอกแล้วกัน อย่ามารออยู่ในเรือน”
“ทำไม? เจ้ายังมีอะไรที่ข้าไม่อาจรู้ได้อีกหรือ”
“ข้าคงเจ็บจนกรีดร้องออกมา ต่อหน้าท่านไม่ใช่ว่าขายหน้าออกจะตายไปหรือ” กู้อ้าวเวยกลอกตาเต็มแรงหนึ่งที และดึงบะหมี่ปลาไหลมาไว้ตรงหน้าก่อนเริ่มกินคำโตก่อนเป็นอันดับแรก
ขณะที่ตั้งครรภ์เดิมทีก็ไม่ควรฝังเข็มใช้ยาไปเรื่อย แต่ตอนนี้ร่างกายของนางผิดปกติ หากไม่ใช้วิธีฝังเข็มเสริมประสิทธิภาพเช่ออี้จื่อสักหน่อย รังแต่จะทำให้ใช้เช่ออี้จื่อที่เหลืออยู่น้อยนิดโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น
นางไม่ชอบแสดงความเปราะบางต่อหน้าของซ่านจินจื๋อ
วันนั้น ซ่านจินจื๋อไม่ได้ย่างกรายเข้าไปเลยสักนิดตามคำสั่งในวันนั้นของกู้อ้าวเวยจริงๆ
ในห้อง กู้อ้าวเวยนั่งอยู่ข้างเตียงปลดอาภรณ์บนเรือนกายออก เผยให้เห็นแผ่นหลังที่ไม่เคยเผยให้ใครเห็นเลย
แผ่นหลังที่เคยขาวเนียนในเวลานี้เหลือเพียงแต่รอยแตกสีดำอันน่าหวาดกลัว ปากแผลที่ท้องน้อยล้วนถูกฝังกลบอยู่ในรอยแผลเป็นเหล่านี้ แต่บนใบหน้าของนางกลับเจือรอยยิ้มบางๆ เงยหน้าขึ้นสะท้อนผ่านกระจกทองแดงที่อยู่ไม่ไกลนัก แล้วปลดอาภรณ์ลงมาอีกเล็กน้อย
บนท้องน้อยที่ปูดนูนก็มีรอยแตกเหล่านี้ลุกลามอยู่ทั่ว หากจ้องมองอย่างละเอียด จะยังมองเห็นปากแผลที่ถูกคมมีดเฉือนขนาดเล็กอยู่มากมาย
หัวสมองของอ้ายจือว่างเปล่าขาวโพลน “เหง้าของถุงน้ำดีหงส์ ก็มีลักษณะเช่นนี้หรือ?”
“หากที่เขียนลงหนังสือไม่ผิดพลาด น่าจะคล้ายคลึงกับรอยแผลนี้อย่างมาก” กู้อ้าวเวยรวบเรือนผมยาวไว้ด้านหลัง บริเวณลำคอที่ไม่เคยเปิดเผยก็มีรอยพวกนี้อยู่บนนั้นด้วยเช่นกัน
“ท่าจะคลอดได้จริงๆ หรือ…”
“เพราะข้าเป็นลูกหลานตระกูลหยุน ร่างกายที่ดื้อยานี้กลับจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง”
ก็แม้แต่ปากแผลยังสมานกันได้อย่างรวดเร็ว
มือของอ้ายจือลูบบนแผ่นหลังของนาง และรู้ทันทีว่าภายใต้ร่องรอยสีดำนี้เคยถูกมีดกรีดอยู่หลายครั้ง ปากแผลที่เดิมควรจะมีเลือดไหลซิบล้วนถูกปกคลุมไปด้วยความมืด ก่อนให้นางดื่มน้ำหนึ่งคำ “เขารู้ว่าท่านยังต้องเจาะเลือดล้างพิษอยู่หรือไม่?”
“ข้าจะให้เขารู้ได้อย่างไรกัน” กู้อ้าวเวยยิ้มพลางย้อนถาม “จนป่านนี้ ข้ายังไม่ได้ปัดเป่าจิตใจอันเปราะบางนั้นของเขาเลย”
“เขารักท่าน” อ้ายจือเค้นประโยคนี้ออกมาจากลำคอ
“ประโยคนี้ของเจ้าทำให้หัวใจข้าค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อย” กู้อ้าวเวยหัวเราะหยันอย่างจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง
อ้ายจือหยิบเข็มออกมาหนึ่งชุด ก่อนจะลงมือ นางยังคงถามเพิ่มอีกหนึ่งประโยค “ทำไมท่านถึงอยากเปิดสำนักศึกษา…”
“ข้าไม่อยากตายไปโดยไม่มีอะไรเหลือไว้เลย ทุกๆ วันที่มีชีวิตอยู่ ข้าต้องทำอะไรบ้างสักหน่อย” กล่าวสิ่งเหล่านี้จบ กู้อ้าวเวยก็เอาผ้าขนหนูที่ม้วนไว้อย่างดียัดเข้าไปในปาก แล้วก้มหน้าลงอย่างว่าง่าย
ในฐานะผู้หญิง บางทีอ้ายจือก็ควรชื่นชมการอดทนต่อความเจ็บปวดของนางเหมือนกัน
เข็มเล่มแรกแทรกเข้าไปที่จุดฝังเข็ม ความเจ็บปวดที่ถูกคมมีดกรีดเส้นประสาทนั้นทำให้ทั่วสรรพางค์กายของกู้อ้าวเวยเริ่มสั่นระริกขึ้นมา ยาชาปริมาณน้อยที่อยู่บนผ้าขนหนูทำให้นางยกมือขึ้นด้วยท่าทางสติเลื่อนลอย กำโครงเตียงเอาไว้แน่น ความรู้สึกที่เล็บจิกเข้าไปในเนื้อไม้ยิ่งทำให้หนังศีรษะของนางมึนชาขึ้น
“ข้าไม่สามารถถอนเข็มได้ในทันที” ความเจ็บปวดสะสมมากเกินไป ไม่ได้มีผลดีต่อทารกในท้องของนางเลยสักนิด
“อื้อ” กู้อ้าวเวยเปล่งเสียงรับทราบถือว่าเข้าใจออกมาเล็กน้อย ทำได้เพียงรอจนความเจ็บปวดระลอกนี้ค่อยๆ จางหายไป นางจึงจะแบกรับระลอกต่อไปได้
ความเจ็บปวดดุจดั่งเกลียวคลื่นสาดกระทบโขดหิน ตามมาด้วยเข็มแต่ละเล่มค่อยๆ ตกลงมา ในหัวสมองของนางปะทุกลายเป็นแสงสีขาวนับจำนวนไม่ถ้วน
ไม่รู้ว่าเมื่อใดการทรมานเช่นนี้จึงจะสิ้นสุดลง จนกระทั่งนางถูกอ้ายจือพยุงไปที่แท่นเตียงนอน และเริ่มรู้สึกตัวเลือนรางบ้างแล้ว ปล่อยให้อ้ายจือใช้หลอดไม้ไผ่เรียวยาวให้นางกลืนยาต้มที่เปลี่ยนปริมาณยาเหล่านั้นลงไปในท้องอย่างช้าๆ คราวนี้จึงค่อยๆ เบาใจลงมาหน่อย
อ้ายจือเปลี่ยนอาภรณ์ให้นาง คลุมผ้าห่มให้นางอย่างดี พลางเช็ดหัวไหล่ให้นาง “อาการเจ็บปวดเช่นนี้ แต่เดิมท่านควรจะตายไปตั้งนานแล้ว”
แผลเก่าแผลใหม่ พิษใหม่พิษเก่า ความอ่อนแอทางร่างกาย อ้ายจือสามารถจินตนาการได้ถึงว่าทุกครั้งเมื่อหน้าหนาวมาเยือน สองขาของนางจะหนักอึ้งราวกับหินมหึมา ทุกๆ ย่างก้าว เต็มไปด้วยก้อนหินขอบคมที่อาจจะส่งเสียงเสียดสีบนพื้นที่ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านไปทั่วร่างด้วยความเจ็บปวดอันต่อเนื่อง
“เลือดเนื้อตระกูลหยุนยังสามารถธำรงอยู่ได้นาน อีกอย่างข้าก็กินยาไม่น้อยเลย” กู้อ้าวเวยฝังหน้าลงในหมอนด้วยแววซีดขาว “อย่าบอกใครก็ตาม เรื่องที่ข้าอาจจะตายตอนคลอดลูก”
“ท่านคิดถึงข้อดีเสียบ้าง ข้ายังรอให้ท่านช่วยเหลือข้าอยู่นะ”
“คิดถึงข้อดี ถึงตอนนั้นข้าจะเอายาลับและเหล้าสมุนไพรเลือดมังกรมาต่อชีวิต แต่บางทีอาจจะเกิดเหตุการณ์ผิดปกติบางอย่างได้” มือของกู้อ้าวเวยยกขึ้น กดลงบนขมับ พร้อมกับถอนหายใจด้วยเสียงอันแผ่วเบาถึงขีดสุด “บางทีครั้งนี้ ข้าอาจจะสูญเสียดวงตาคู่นี้ไปก็ได้”
อ้ายจือไม่เข้าใจ “เพราะแผลเก่า?”
“ไม่ นี่คือผลพวงของการใช้เลือดมังกรเกินขนาด แต่ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้” กู้อ้าวเวยก็เคยอ่านเรื่องแบบนี้มาจากตำราโบราณ ถึงแม้จะไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเช่นนี้ แต่แน่นอนว่าก็มีบางคนที่เคยใช้เลือดมังกรแล้วสูญเสียการมองเห็น ไม่ก็ตายไปด้วยอาการทรุด
จากความพิเศษของร่างกายนี้ นางน่าจะไม่อาจทรุดไปทั่วร่างถึงจะถูก
“ในเมื่อยังมีความหวัง เพราะเหตุใดถึงไม่ให้ข้าบอกซ่านจินจื๋อ!” อ้ายจือส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ระหว่างพวกท่านสองคนนั้นไม่มีความเชื่อใจกันเลยสักนิดหรอกหรือ?”
“หากข้าบอกเขาละก็ เขาจะกอดการตัดสินใจที่จะถูกข้าเกลียดชังไปอีกครึ่งชีวิตที่เหลือ แล้วให้หมอมาเอาลูกของข้าไป ไม่ก็ตอนที่ข้าคลอด ก็จะกำจัดลูกคนนี้ทิ้งเสีย” กู้อ้าวเวยหัวเราะเย็นชา ก่อนจะหลับตาลงอย่างเนิบนาบ “เขากลัวว่าลูกคนนี้จะเอาชีวิตของข้าไป และหวาดกลัวว่ามือที่เปื้อนเลือดของเขาจะไม่คู่ควรมาโอบกอดลูกที่เป็นของตัวเอง ก็แค่….ไอ้ขี้ขลาด….ที่สมควรตายคนหนึ่ง…”
ความคิดล่องลอยไปแสนไกล ความมืดตรงหน้าถูกความทรงจำอันงดงามปกคลุมไปสิ้น
อ้ายจือเม้มปาก ก่อนจะออกจากห้องส่วนในอย่างเงียบๆ บัญชาเหล่าองครักษ์ให้ไปเรียกซ่านจินจื๋อกลับมา และสั่งอีกหนึ่งประโยค “นางน่าจะฟื้นตัวได้ไม่เลวเลย บอกท่านอ๋องว่าไม่ต้องกังวลใจไป”
“ที่ใต้เท้าอ้ายจือพูดมาเป็นความจริงหรือ?”
“ต้องจริงอยู่แล้วสิ ข้ากับนางล้วนเป็นหมอ จะไม่รู้ข้อมูลเหล่านี้ได้เชียวหรือ” ดวงตาของอ้ายจือมีลำแสงหม่นๆ เสี้ยวหนึ่งผุดผ่านไป กลับทำเพียงกล่าวเสียงแผ่ว “ให้ท่านอ๋องหยุดทะเลาะวิวาทกับนางก่อน ตอนนี้ร่างกายนางอ่อนแอ ไม่อาจบันดาลโทสะได้”
ก่อนจะจากไป อ้ายจือเหลือบมองบานประตูที่ปิดสนิทอีกแวบหนึ่ง มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางวาดขึ้น
หวังว่ากู้อ้าวเวยจะยังจำเรื่องที่ต้องช่วยเหลือนางได้นะ