บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 670
บทที่ 670 สตรีนางหนึ่ง
คำมั่นของพี่ชายที่แสนดีประโยคนี้ กลับแลกมาด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยันของซ่านต้วนเฟิง
โชคดีที่ปีนั้นเขายังคิดว่าพี่ชายท่านนี้ฉลาดโดดเด่น แม้ว่าจะก้าวเข้าสู่สนามรบเป็นครั้งแรกก็ยังกล้าหาญ ตอนนี้พอมองดูท่าทีปวดใจซ้ำยังพยามเกลี้ยมกล่อมตนของเขาแล้ว ในดวงตาของซ่านต้วนเฟิงกลับเหลือแต่เพียงความดูแคลน “ท่านคิดว่าตัวเองเป็นพี่ชายแสนดีของข้าอยู่อีกหรือ ท่านกับข้าไม่ได้เกิดกับมารดาคนเดียวกันเสียหน่อย ซ้ำยังเป็นอุปสรรคต่อการขั้นบัลลังก์ของข้าอีก”
สีหน้าของซ่านต้วนเฟิงซีดขาวไป หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด “น้องเก้า เจ้าน่าจะรู้ ความปรารถนาเดียวของเสด็จพ่อก็คือขออย่างให้พวกเราพี่น้องฆ่าแกงกัน…”
“เช่นนั้นเหตุใดในสายตาของเขาถึงได้มีแต่ซ่านเชียนหยวนที่ไม่เรียนไม่รู้วิชา และน้องชายที่มีอิทธิพลเป็นยอดฝีมือของเขาคนนั้นกันเล่า!” ซ่านต้วนเฟิงคว้าซี่กรงเหล็กเบื้องหน้าเอาไว้เต็มแรง สายตาเปี่ยมด้วยเลือด “ท่านกับข้าต่างเป็นองค์ชายที่เขาไม่เหลียวแล ไยต้องกตัญญูอย่างโล่เขลาต่อเขาด้วย ขอเพียงท่านสมัครใจ วันหน้าข้ารุ่งโรจน์ ข้าย่อมปันให้ท่านส่วนหนึ่งอยู่แล้ว”
ที่แท้ก็…
ซ่านเซิ่งหานแสร้งทำทีเป็นเบิกตากว้างด้วยความตระหนก มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “น้องเก้า นี่เจ้าหวังให้ข้าช่วยเจ้าอย่างไรนะ?”
“ยกองค์หญิงเอ่อตานให้ข้า ขอเพียงได้รับการสนับสนุนของนาง ข้ากระทั่งไม่จำเป็นต้องร่วมมือศัตรูกบฏประเทศ ก็สามารถยึดตำแหน่งฮ่องเต้นี้มาได้แล้ว” ซ่านต้วนเฟิงค่อยๆ สงบลง น้ำเสียงกลับแหลมขึ้นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น “นางเป็นองค์หญิงพระองค์เดียวแห่งเอ่อตาน ขอเพียงวันที่แต่งงานกัน ข้าตกลงเงื่อนไขกับนาง ตำแหน่งฮองเฮาในอนาคตข้าก็สามารถมอบให้นางได้”
แววเยียบเย็นในดวงตาของซ่านเซิ่งหานค่อยๆ ลุ่มลึกขึ้น
เขากลับค่อนข้างถวิลหาวันเวลาที่กู้อ้าวเวยยังเป็นพระชายาจิ้งอยู่ในตอนแรก ตอนนั้นนางตัวคนเดียวไร้กองหนุน กลับมีเพียงเขาซึ่งเป็นผู้ร่วมมือคนเดียวก็เพียงพอให้เชื่อใจกันได้แล้ว ทว่ารอกระทั่งตอนนี้ในมือของนางกุมอำนาจเอาไว้ ก็มีหมาป่าหิวโซโถมเข้ามาล่าอาหารนับไม่ถ้วน
“เช่นนั้นหากข้าขึ้นเป็นฮ่องเต้ ทุกอย่างที่เจ้าพูดมาในวันนี้ ข้าเองก็สามารถมอบให้นางได้เช่นกัน” ซ่านเซิ่งหานเงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า สบสายตาเข้ากับซ่านต้วนเฟิงพอดี “นางเป็นแค่องค์หญิงคนหนึ่งเท่านั้น หลังจากมีนางแล้ว เจ้ายังไม่อาจได้รับสิ่งของที่เจ้าต้องการอยู่วันยังค่ำ”
“ข้าไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย” ซ่านต้วนเฟิงกลับหัวเราะเบาๆ หนึ่งที “ท่านกับท่านอาต่างต้องการนาง แม้ว่าจะไม่ได้รับของที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ ตัวนางเองย่อมมีค่าพอให้ใช้ประโยชน์ได้บ้างอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้น…พวกท่านจะอยากได้นางถึงขนาดนี้ไปทำไมกันเล่า?”
มุมขมับของซ่านเซิ่งหานผุดเส้นเอ็นปูดโปนขึ้นมาทันที ได้แต่กำหมัดแน่น “ซ่านต้วนเฟิง เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้ตัวนางไปอย่างนั้นหรือ?”
“ขอเพียงทำให้นางท้องลูกของข้า กลายเป็นผู้หญิงของข้า ทุกอย่างก็เป็นไปได้ทั้งนั้น” สองมือของซ่านต้วนเฟิงผละออกจากรั้วกรงเหล็กแล้ว ก่อนวางไว้หลังกาย เจือเสียงหัวเราะฉายแววดูแคลน “ขอเพียงท่านสามารถคิดหาวิธีโน้มน้าวนาง ข้าก็สามารถปล่อยตัวท่านออกไปได้”
“นางกลับเอ่อตานไปตั้งนานแล้ว เจ้าจะให้ข้าไปโน้มน้าวนางที่ใดกัน?” ซ่านเซิ่งหานเองก็พลอยหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาด้วย
ผู้ใต้บัญชาในความมืดกำดาบในมือเอาไว้แน่นเป็นที่เรียบร้อย
สีหน้าของซ่านต้วนเฟิงเปลี่ยนไป พลทหารที่อยู่นอกกรงขังกลับพุ่งพรวดเข้ามาด้วยความรีบร้อน พลางกล่าวเสียงเข้ม “ในตำหนักองค์ชายสามมีแต่นางขับร้องคนหนึ่ง ผู้ที่พักอยู่ในห้องคืออนุขององค์ชายสาม แต่ไม่พบร่องรอยขององค์หญิงเอ่ตานเลยขอรับ”
“เจ้าปดข้า!” ซ่านต้วนเฟิงเหลียวหลังกลับไปเต็มแรง เบิกตากว้างด้วยความโกรธ
ซ่านต้วนเฟิงพยุงกำแพงหยัดตัวลุกขึ้นมา เหยียดแผ่นหลังตรง ใบหน้ากลับเจือรอยยิ้ม “ท้ายที่สุดนางก็ต้องเป็นของข้าเท่านั้น จะโทษ เจ้าก็โทษท่านอาที่ส่งตัวนางออกไปตั้งแต่ทีแรกแล้วเถิด”
ประตูเหล็กเบื้องหน้าถูกเขาผลักเปิดเบาๆ องครักษ์ด้านหลังซ่านต้วนเฟิงยังไม่ทันชักดาบยาวในมือออกมา ก็ถูกเชือดคอ กระแทกลงบนพื้น เหลือเพียงแต่เสียงฟองเลือดที่ดังกระฉูดออกมา
ซ่านต้วนเฟิงถอยหลังหนึ่งก้าวโดยสัญชาตญาณ ซ่านเซิ่งหานกลับเดินออกมาใต้แสงเทียน “เดิมข้าไม่คิดจะกระทุ้งตำแหน่งของเจ้าในเร็ววันเลย แต่ในเมื่อเจ้าคิดจะพากู้อ้าวเวยไป ข้าจึงไม่อาจไม่ลงมือได้”
“สตรีนางหนึ่ง…”
“สตรีที่สามารถแย่งชิงใต้หล้ามาให้ข้าได้นางหนึ่ง” เปลวเพลิงในดวงตาของซ่านเซิ่งหานถูกจุดประกาย แววสังหารที่เหมือนยืนอยู่ท่ามกลางสนามเริ่มก่อหวอด อีกมือหนึ่งกลับค่อยๆ ยกขึ้น สองขาของซ่านต้วนเฟิงปวดแปลบ และถูกคนกดไหล่ให้คุกเข่าลงกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย เลือดแดงฉานของผู้ใต้บัญชาเปื้อนหัวเข่าของเขา ดวงตาที่ยังไม่ทันลืมขึ้นดีมองเขาอย่างกลวงๆ
ซ่านเซิ่งหานกลับทำเพียงเดินสองมือไพล่หลังมุ่งหน้าไปด้านนอก “มัดเขาไว้แล้วต้อนรับเป็นอย่างดี ส่งคนไปแจ้งกู้เฉิงอีกที ชายแดนนี้เปลี่ยนมือแล้ว ส่วนคู่สมคบคิดของเขา ยังคงเป็นซ่านต้วนเฟิง องค์ชายสามแห่งชางหลานยังถูกกักขังอยู่ในคุกใต้ดินอย่างน่าสงสารอยู่”
“ท่านคิดจะยืมชื่อของข้าไปก่อกบฏหรือ!” ซ่านต้วนเฟิงร้องอย่างตระหนก หากเขาสมหวังขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นวันหน้าต่อให้เขาหนีออกจากที่นี่ กลัวแต่ว่าคงไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากอีกเป็นแน่
“ใครใช้ให้เจ้าคัดเลือกคนที่ร่วมมือกับข้าก่อน ซ้ำยังโลภโมโทสันอยากได้ผู้หญิงของข้ากันเล่า?” ซ่านเซิ่งหานหันร่างไป เหลือไว้เพียงแต่รอยยิ้มครึ้มใจ
ออกจากคุกใต้ดิน พลทหารทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นอิสระดั่งยามปกติ พลทหารที่ตื่นตระหนกเหล่านั้นกลับถูกพี่น้องที่อยู่ข้างกายอุดปากบิดคอ ตกสู่โลกใต้พิภพโดยยังไม่รู้ความจริง
ชายแดนชางหลานยังคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
แสงเทียนเสี้ยวสุดท้ายในคุกใต้ดินก็หายไปอย่างสมบูรณ์ เสียงร้องตะโกนของซ่านต้วนเฟิงยากจะเล็ดลอดออกมาได้เลยแม้เพียงครึ่งเสี้ยว
……
เริ่มจะง่วงเหงาหาวนอนขึ้นทีละน้อย ท้องนี้ก็พลอยโตขึ้นเรื่อยๆ ท้องของกู้อ้าวเวยดูเหมือนจะเล็กกว่าหญิงตั้งครรภ์คนอื่นๆ มาก นับว่าทำให้กู้อ้าวเวยไม่พร่ำบ่นถึงรูปร่างอัปลักษณ์ของตนอีก เพียงแต่วันๆ หลับไม่ค่อยสนิทใจ
หลายวันก่อนจางเหยียงซานเร่งรุดเข้ามา บอกว่าตนแอบหนีออกมาตอนที่ชายแดนกำลังปั่นป่วน และเป็นการลี้ภัยอย่างเป็นทางการ บอกเพียงว่าท้องของนางเล็กเป็นปัญหาจากร่างกายของนางเอง ไม่ได้มีอันตราย นอกจากนี้เวลาเปิดสำนักศึกษาในแต่ละวันก็ลดน้อยลงหน่อย เพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงต่างรับปากว่าจะมารับเด็กๆ กลับไปให้ตรงเวลา
วันนี้ฝนตก พวกเด็กน้อยกลัวแต่ว่าคงจะไม่มากัน กู้อ้าวเวยเพิกเฉยต่อกุ่ยเม่ยมาเป็นเวลานานแล้ว วันนี้มาชิมลางที่ห้องยาของจางเหยียงซานและอ้ายจือ กลับถูกไล่ตะเพิดออกไปอีก “หากไม่มีธุระจะทำแล้ว ก็ไปร่ำเรียนงานเย็บปักถักร้อย เขียนอักษรไป”
ครั้นนึกถึงงานเย็บปักถักร้อย นางก็ปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมา จะว่าไป นางแยกไม่ออกระหว่างไก่ดินกับหงส์ฟ้า และจิ้งจกกับมังกรด้วยซ้ำ โดยเฉพาะถ้าตนลงมือทำเอง ผ้าพกผืนนี้แทบจะเสียหายทันที ครั้งก่อนแม้แต่กุ่ยเม่ยยังถอนหายใจอยู่ข้างๆ “นี่มันความเชี่ยวชาญเสียที่ไหนกัน ใช้ยากยิ่งกว่ากีบเท้าหมูเสียอีก”
นึกถึงเรื่องนี้ นางก็แทบคลั่ง ทำเพียงหาคนมาอยู่เป็นเพื่อน คิดจะไปทานอาอาหารที่หอสุราด้านนอกเสียหน่อย
เถ้าแก่หัวเราะร่วนพลางต้อนรับนางขึ้นไปด้านบน สีหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม “ท่านระวังหน่อย”
“ข้าถูกจับตามองอยู่แต่ในบ้าน วันนี้เข้ามาฟังดนตรีเสียหน่อย” กู้อ้าวเวยสุ่มหาโต๊ะที่ชั้นหนึ่งก่อนหย่อยกายนั่งลง ก่อนจะให้องครักษ์ที่อยู่หลังกายนั่งลงด้วย จ้องพวกเขาเขม็ง “ข้าใหญ่หรือว่ากุ่ยเม่ยใหญ่ ฟังคำสั่งข้าหรือว่าฟังคำสั่งเขา?”
“ก่อนจะออกไป ท่านอ๋องให้พวกเราฟังบัญชาของใต้เท้ากุ่ยเม่ย และคำแนะนำการแพทย์ของใต้เท้าจางขอรับ” องครักษ์สองนายถึงจะนั่งลงแล้ว แต่ตอนที่เอ่ยถ้อยคำนี้ก็ยังแฝงรอยยิ้มอยู่หลายขนัด
กู้อ้าวเวยกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ ยังไม่ทันสั่งอาหาร เถ้าแก่ที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นว่า “ไม่จำเป็นต้องให้ท่านสั่งอาหาร ที่ยกมาให้ล้วนเป็นอาหารที่เลิศรสที่สุดของร้านเราแล้ว นายท่านของพวกท่านเคยบัญชาเอาไว้”
“ข้าอยากกิน….”
“ก่อนที่นายท่านจะออกไปยังบัญชาว่าไม่สามารถให้ท่านทานของหวานมันมากเกินไป ทางเราย่อมต้องช่วยเหลือท่านตามสถานการณ์อยู่แล้วขอรับ” เถ้าแก่กล่าวจบ ก็ยิ้มตาหยีวิ่งลับไปไม่เหลือเงาทันที เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์ข้างๆ ก็พลอยอุดปากยิ้มไปด้วย
กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นคิดอยากจะคว้าเถ้าแก่เอาไว้ กลับเห็นท่าทางกลั้นขำของเด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์จึงกระแทกมือลงด้วยความโกรธกรุ่น “ผู้ชายบนโลกใบนี้ช่างไม่มีอะไรดีเลย!”
“เขาเคยบอกว่า หากฮูหยินคิดจะระบายความโกรธ ให้ด่าพวกเราก็ได้” องครักษ์สองนายประชิดเข้ามา
“…” นางไม่ควรพูดมากจึงจะถูก